ร่างเล็กเดินออกจากบังกะโลของชายหนุ่มด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยกับการกระทำของเขา แล้วรีบมุ่งหน้าไปหาทอฝันที่คาดว่าน่าจะยังอยู่บริเวณเดิม ครั้นพอไปถึงก็เห็นว่าเพื่อนสาวกำลังยืนโพสท่าราวกับเป็นนางแบบชุดว่ายน้ำโดยมีอคินทำหน้าที่ถ่ายรูปให้สีหน้าของชายหนุ่มไม่แสดงอารมณ์ใดๆ จนดูไม่ออกว่าเต็มใจหรือไม่เต็มใจกันแน่ แต่ดารินคิดว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า คนตัวเล็กเดินเข้าไปหยุดยืนใกล้ๆแล้วมองหน้าคนทั้งสองสลับไปมาทอฝันที่เห็นเพื่อนหยุดยืนอยู่ตรงหน้าก็โล่งอกเป็นอย่างมาก เพราะก่อนหน้าเธอพยายามจะวิ่งไปช่วยดารินตั้งหลายครั้ง แต่ชายหนุ่มข้างๆกลับรวบตัวเธอไว้ทุกครั้งจนเหนื่อยอ่อนและยอมแพ้ไป อีกทั้งยังคิดว่าภาคินัยคงจะไม่ทำอะไรรุนแรงกับเพื่อนของเธอ“แกเป็นฝ่ายชนะล่ะสิ ถึงออกมายืนยิ้มแบบนี้”ดารินได้ยินดังนั้นก็ยักคิ้วแล้วขยิบตาส่งให้เพื่อน ส่วนชายหนุ่มที่ยืนฟังอยู่กลับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัยว่าทำไมเจ้านายของตนถึงปล่อยเธอออกมาง่ายดายขนาดนี้“คุณภามล่ะครับ”“ไม่รู้สิคะ คงนอนโอดครวญอยู่มั้ง” ดารินยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจอคินได้ยินดังนั้นก็วิ่งไปหาเจ้านายอย่างรวดเร็วเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนทั้
“แต่คุณจะทำแบบนั้นกับฉันไม่ได้นะคะ” พูดเสร็จก็รีบหมุนตัวเพื่อพาตัวเองออกไปจากตรงนั้นทว่าคนตัวสูงกลับรวบตัวเธอไว้จนแผ่นหลังบางชนเข้ากับหน้าอกแกร่งของเขาอย่างแรง ตามมาด้วยเสียงที่เปล่งถามอย่างไม่จริงจังนัก“ทำไมผมจะทำไม่ได้"“ก็..ก็มันยังไม่ถึงเวลาที่เราตกลงกันไว้นี่ ฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่ทำตามคำสั่งของคุณค่ะ” เธอพยายามหาข้ออ้างแล้วหยิบยกเรื่องสัญญานั้นขึ้นมาพูดอีกครั้งเพื่อเป็นการย้ำเตือน“ถ้าอย่างนั้น ผมจะเพิ่มเงินให้อีกห้าแสนแล้วนอนกับผม..เดี๋ยวนี้” เขาพูดอย่างออกคำสั่ง กระชับอ้อมแขนที่กอดเธออยู่ให้แน่นขึ้นจนหญิงสาวแทบจะหายใจไม่ออก“ไม่ค่ะ” เธอปฏิเสธอย่างหนักแน่นแล้วพยายามแกะมือของเขาออก แต่มันกลับไม่เป็นผลจนต้องดิ้นขลุกขลักอยู่อย่างนั้น ทว่าจู่ๆเธอก็อุทานออกมาเสียงดัง“โอ๊ะ!”ภาคินัยที่กระชับอ้อมแขนแน่นในตอนแรกค่อยๆ คลายออกแล้วหมุนคนตัวเล็กให้เผชิญหน้ากับเขา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัยว่าเธอจะเล่นตุกติกอะไรอีก“เป็นอะไร”“ฉันต้องรีบเข้าห้องน้ำค่ะ”“คิดจะหนีอย่างนั้นเหรอ” เขาถามอย่างนึกขันแล้วจับแขนเธอไว้แน่น คิดว่าหญิงสาวจะหนีเขาไปอยู่ในห้องน้ำนั่น“เปล่านะ ปล่อยก่อนสิคะ มันจะไ
ช่วงบ่ายของวัน...ดารินในชุดเดรสผ้าลินินสีขาวนั่งอยู่บนเก้าอี้ภายในร้านขนมหวานเล็กๆที่ตกแต่งด้วยโทนสีชมพูพาสเทลน่ารักกำลังตักเค้กเนื้อส้มชุ่มฉ่ำในจานขึ้นมาแล้วส่งเข้าปากอย่างอารมณ์ดีซึ่งแตกต่างจากเมื่อคืนอย่างเห็นได้ชัดราวกับเป็นคนละคนเส้นผมลอนยาวสีน้ำตาลอ่อนถูกเหน็บไว้หลังใบหูทั้งสองข้างจนเห็นใบหน้าหวานได้อย่างชัดเจนซึ่งกำลังหันไปมองวิวชายหาดทางขวามือของตัวเองอย่างเพลิดเพลินใจโดยมือยังคงถือช้อนอยู่อย่างนั้น“อารมณ์ดีแล้วสินะ”ครั้นได้ยินคำพูดของคนที่พาเธอมาก็ละสายตาจากสิ่งนั้นแล้วหันมาให้ความสนใจกับชายหนุ่มตรงหน้าที่อยู่ในชุดเสื้อฮาวายสีฟ้ากับกางเกงขาสามส่วนสีขาวซึ่งกำลังนั่งกอดอกพิงเก้าอี้มองเธออยู่ดวงตาคู่คมภายใต้แว่นกันแดดสีชามองเธออยู่ราวพักใหญ่ โดยที่หญิงสาวไม่ได้สังเกตเห็นว่าแววตาของเขาเต็มนั้นมันเต็มไปด้วยความเอ็นดูดารินยกแก้วชานมไข่มุกของตัวเองขึ้นมาดูดแล้ววางลงที่เดิม จากนั้นก็หันมาพูดคุยกับเขา หลังจากตนเองมัวแต่เพลิดเพลินกับขนมและทิวทัศน์ตรงหน้า“ไม่ชิมเค้กหน่อยเหรอคะ”“ผมไม่ชอบของหวานนะ” เขาตอบและยังคงจ้องใบหน้าหวานอยู่อย่างนั้น“แต่เค้กร้านนี้อร่อยมากเลยนะ ลองชิมดูค่ะ”
ภาคินัยมองใบหน้าแดงก่ำของหนูน้อยที่กำลังยืนร้องไห้อยู่อย่างทำอะไรไม่ถูก จึงตัดสินใจถอดแว่นกันแดดมาเหน็บไว้ที่คอเสื้อเพราะคิดว่าหากได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน เด็กคนนี้อาจจะกลัวน้อยลงแล้วเลิกร้องไห้ ทว่ามันกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิดไว้เพราะยิ่งเป็นการทำให้หนูน้อยร้องไห้หนักกว่าเดิมจนเขาเกรงว่าคนที่เดินผ่านไปมาบริเวณนั้นจะคิดว่ากำลังรังแกเด็ก จึงจ้องไปยังใบหน้าของคนที่กำลังร้องไห้เพื่อปรามให้เงียบ พร้อมความคิดที่ผุดขึ้นมาว่า เขาน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอ?ดารินเห็นสถานการณ์ไม่ค่อยดีจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากชิงช้าแล้วอุ้มหนูน้อยขึ้นพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณเพื่อหาผู้ปกครองที่เธอคิดว่าน่าจะอยู่แถวๆนี้เด็กผู้ชายวัยเกือบสามขวบเอียงคอมองคนที่กำลังอุ้มตนเองอยู่ก็ค่อยๆ ลดเสียงที่ตะเบ็งออกมาในตอนแรกให้เบาลง กระทั่งเหลือเพียงเสียงสะอึกสะอื้น มือป้อมยกมาปาดน้ำตาออกโดยมองไปที่ใบหน้าของดารินด้วยความรู้สึกอุ่นใจและปลอดภัยในเวลาเดียวกันจากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนศีรษะเล็กซบลงที่ไหล่ของดารินโดยมีสายตาของภาคินัยมองอยู่อย่างไม่ค่อยเข้าใจนักเพราะเด็กคนนั้นดูไว้วางใจหญิงสาวเสียเหลือเกินต่างจากเขาที่พร้อมจ
สัปดาห์ต่อมา...ร่างเล็กยืนทอดมองทิวทัศน์การจราจรที่สุดแสนจะวุ่นวายผ่านกระจกใสบานใหญ่ด้วยสายตาเลื่อนลอย สมองของเธอมีเรื่องราวต่างๆ มากมายที่หลั่งไหลเข้ามาให้ได้ขบคิด หลังจากย้ายเข้ามาอยู่ที่เพนต์เฮาส์สุดหรูหลังนี้ได้หนึ่งสัปดาห์เต็มๆ และเป็นหนึ่งสัปดาห์ที่เธอแทบจะไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากทำอาหารและรอชายหนุ่มกลับมาจากทำงานเพื่อรับประทานอาหารร่วมกันในทุกๆวันส่วนเรื่องงานเอกสารที่เขาเสนอมาในตอนแรกนั้นก็บอกแค่ว่า ตอนนี้ตัวเขากับอคินยังจัดการกันได้อยู่และให้เธอทำอะไรก็ได้ที่อยากทำไปก่อน ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ทำงาน เพราะมีงานให้ทำแน่ๆตั้งแต่วันแรกที่เธอย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ก็ต้องเจอกับความอัศจรรย์ใจที่ว่าเสื้อผ้า กระเป๋าและรองเท้าแบรนด์เนมพวกนั้นในตู้เป็นของเธอทั้งหมด!! จนทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากวันนั้นเธอปฏิเสธข้อเสนอของเขาไป ชายหนุ่มจะทำยังไง จะตามเธอต่อไปมั้ยนะ แต่แล้วเขาจะตามตื๊อเธอทำไมกัน? ซึ่งเป็นความคิดที่ค่อนข้างย้อนแย้งในตัวเธอเองอีกทั้งหญิงสาวพึ่งรับรู้มาว่าบริษัทที่เธอได้ส่งเอกสารไปเพื่อขอฝึกงานนั้นเป็นของครอบครัวเขาเอง ซึ่งมีผู้เป็นมารดาเป็นเจ้าของและกำลังคิดว่าจะยกให้กับลู
ภาคินัยไม่รอให้เธอได้ตอบรับใดๆ เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วรวบคนตัวเล็กเข้าหาตัวพร้อมก้มลงไปประกบริมฝีปากอย่างรวดเร็วโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว ได้แต่ยืนนิ่งให้เขารุกล้ำอยู่อย่างนั้นถึงแม้เธอจะพยายามขัดขืนเขาในตอนแรก แต่กลับให้ความร่วมมือในเวลาต่อมาอย่างน่าอายที่ไม่สามารถหักห้ามความรู้สึกของตัวเองได้และตอบรับสัมผัสนั้นไปอย่างไม่เป็นงานเท่าไหร่ ทว่ามันกลับทำให้ชายหนุ่มพึงพอใจเป็นอย่างมากจนเขารู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงแทบจะหายใจไม่ออกริมฝีปากของเขาค่อยๆ ผละออกอย่างอ้อยอิ่งพร้อมเปล่งเสียงทุ้มนุ่มที่เต็มไปด้วยความโหยหาออกมา ใช้หน้าผากแตะลงบนหน้าผากเล็กของเธอแผ่วเบาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อนของกันและกัน“ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง” สิ้นเสียงพูดริมฝีปากหนารีบประกบลงไปอีกครั้งแล้วสอดแทรกลิ้นร้อนเข้าไปอย่างดุดัน รอบนี้มันเต็มไปด้วยความร้อนแรงราวกับจะสูบเลือดสูบเนื้อจากกลีบปากหอมหวานนั้นอย่างหิวกระหาย“อื้ม" ดารินรู้สึกลมหายใจเริ่มติดขัดกับสัมผัสที่ชายหนุ่มมอบให้ คนตัวเล็กรีบส่งเสียงประท้วงแผ่วในลำคอและดูเหมือนว่าร่างกายภายในของคนทั้งสองเริ่มพลุ่งพล่านจนร้อนระอุพร้อมแผดเผาให้กระจุยไปตามแรงปรารถนาที่ถู
บทรักสุดร้อนแรงรอบแรกได้จบลงอย่างสวยงาม ทว่าคนอย่างภาคินัยซึ่งมีความต้องการไม่มีที่สิ้นสุดกับร่างกายสุดแสนจะน่าหลงใหลของเธอคนนี้ดูจะไม่ได้อยากหยุดอยู่แค่รอบเดียวเท่านั้น ในเมื่อมีหนึ่งก็ย่อมมีสองและอาจจะมีต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าร่างกายจะหมดแรงและยอมแพ้ไปเองเท่านั้น!ทำให้บทรักที่สองกำลังจะเริ่มขึ้นอีกครั้งโดยมีร่างเปลือยเปล่าของคนตัวเล็กกำลังนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นเย็นภายในห้องนอนของชายหนุ่ม ดวงตากลมโตมองคนตัวสูงที่ไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่ต่างจากเธอนั่งอยู่บริเวณขอบเตียงโดยเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยในท่าทีสบายเพื่อโชว์ความเป็นชายที่แข็งขึงอยู่ให้เธอได้เห็นเต็มสองตา และครั้งนี้ก็ถึงคราวที่เธอจะต้องเป็นฝ่ายทำให้มันสงบลงบ้างแล้ว“สัมผัสมันดูสิ” เขาเอ่ย เมื่อเห็นจังหวะการหายใจของคนที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเริ่มติดขัดจากการที่เธอลอบมองความเป็นชายของเขาเป็นระยะ จนก่อให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้นในสิ่งที่กำลังจะได้ลองทำ และยิ่งเธอเป็นแบบนั้นก็ยิ่งเป็นการทำให้เขารู้สึกว่าตอนนี้ตนยังคงเป็นฝ่ายควบคุมเกมโดยมีเธอเป็นบ่าวคอยรับฟังคำสั่งจากเขาและปฏิบัติตามมันทุกอย่างโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆหญิงสาวค่อยๆเลื่อนมือตัวเอ
ร่างเล็กที่อยู่ในวงแขนของคนตัวโตค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความงัวเงีย ร่างกายเริ่มรู้สึกอึดอัดกับแรงกอดที่คนข้างกายส่งมา ดารินมองใบหน้าหล่อเหลาของคนที่กำลังปิดตาสนิทอยู่ทีละจุดด้วยรอยยิ้มจางพร้อมกับขยับตัวให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขากำลังกอดเธอแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้วแต่ดูเหมือนว่ายิ่งเธอพยายามผละออกจากอ้อมกอดนั้น เขากลับยิ่งสวมกอดเธอแน่นกว่าเดิมราวกับกำลังแกล้ง อีกทั้งยังเปล่งเสียงออกมาอย่างกับเธอเป็นฝ่ายกวนใจเขา“อื้อ”“ตื่นค่ะ จะบ่ายโมงแล้ว คุณไม่ไปทำงานเหรอ” หญิงสาวเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนติดอยู่กับผนังซึ่งบอกเวลาเกือบบ่ายโมงด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าทั้งเธอและเขาจะหลับกันยาวนานถึงขนาดนี้“ไม่ไป ไม่ไหว จะนอน” น้ำเสียงงัวเงียถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากหนาพร้อมกับใบหน้าที่ซุกไปบริเวณหน้าอกเธอทั้งๆที่ดวงตายังคงปิดอยู่อย่างนั้น"กอดแบบนี้ ฉันหายใจไม่ออก”เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของเขาอีกครั้งด้วยความอึดอัด “นอนนิ่งๆ เถอะน่า”“แต่ฉันต้องลุกไปทำอาหารค่ะ”“ไม่เอา ค่อยไป”เขาส่ายหน้าอย่างเด็กเอาแต่ใจจนดารินต้องพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อย“อย่ามาเอาแต่ใจนะคะ”“นี่คือคำสั่ง”“ไม่ฟังค
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ของโรงแรมสุดหรูสามารถมองเห็นหอคอยเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้อย่างเต็มตา ช่วงฤดูหนาวของเดือนแห่งความรักอย่างกุมภาพันธ์จึงมักจะเต็มไปด้วยคู่รักและบรรดาครอบครัวที่พากันมาเยือนเมืองสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างล้นหลามอุณหภูมิสองถึงห้าองศาด้านนอกเต็มไปด้วยม่านหมอกและหิมะขาวโพลนตกลงมาปกคลุมยอดหอไอเฟลขนาดใหญ่ทำให้ในยามค่ำคืนการนั่งจิบไวน์และมองดูวิวเป็นอะไรที่สวยงามไปอีกแบบ“สวย”“สวยมาก”“สวยเหลือเกิน”เสียงทุ้มเอ่ยชมไม่ขาดปากราวกับว่าถูกใจสิ่งที่กำลังมองอย่างสุดหัวใจ“ผมไม่คิดว่าปารีสตอนกลางคืนมันจะดีขนาดนี้มาก่อน”สภาพอากาศด้านนอกที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกนั้นไม่มีผลต่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ภายในห้องนอนสุดแสนจะอบอุ่น มันอบอุ่นจนค่อนไปทางร้อนเสียมากกว่า หากดูจากหยาดเหงื่อไหลย้อยที่เคลือบผิวกายของร่างเปลือยเปล่าทั้งสอง“ที่รักชอบมันหรือเปล่า”“อึก อื้อ!”ริมฝีปากเล็กกัดเข้าหากันจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นเสียงไม่ให้ดังจนเกินไปและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันครั้นภาคินัยเห็นว่าคำถามของตนไร้เสียงตอบรับใ
พิธีวิวาห์ของคู่รักต่างวัยถูกจัดขึ้นที่บ้านทางภาคเหนือของครอบครัวชายหนุ่ม โดยหญิงสาวเป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะรู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้มาสัมผัส ซึ่งทุกคนก็ต่างเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานครั้งอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตของนายภักดีกับคุณหญิงมัทนาและไม่คิดว่าอีกสามสิบปีต่อมาจะได้ใช้จัดงานมงคลอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายอย่างครั้งก่อน แต่บรรยากาศภายในงานล้วนอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก จากบรรดาแขกเหรื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวที่มักจะเป็นคนสนิทสนมกันเสียส่วนใหญ่แม้ว่าแขกทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีแค่ทอฝันกับสายหมอก แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความจริงใจและความเอ็นดูจากบุคคลแปลกหน้าที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนน้าสาวเพียงคนเดียวของเธอเผอิญติดธุระอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นดารินก็เข้าใจเพราะงานที่จัดขึ้นดูจะสายฟ้าแลบไปหน่อยก่อนหน้านี้พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานและเตรียมตัวเองแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่หญิงสาวสอบเสร็จพอดี และสุขภาพของเธอก็พร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือดาริน
ลัลล้า~ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มจาง หลังได้ออกจากโรงพยาบาลที่เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่นานกว่าสองสัปดาห์ ส่วนเขาเองก็ต้องนอนให้น้ำเกลือเพื่อดูอาการไปอีกหนึ่งคืนเลขาคนสนิทอย่างอคินเป็นคนทำหน้าที่ไปรับทั้งสองกลับมายังเพนต์เฮาส์ในช่วงเย็นของวันนี้ ถึงแม้ภาคินัยจะอาการยังไม่ค่อยปกติมากนัก แต่คนดื้อและเอาแต่ใจอย่างเขาก็รบเร้าคุณหมอเพื่อที่จะกลับบ้านให้ได้และผลก็อย่างที่เห็น เพราะชายหนุ่มมายืนอยู่ภายในลิฟต์ส่วนตัวของเพนต์เฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้วติ้ง ปัง ปิ้ว~เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จากเสียงพลุของเล่นที่ดังขึ้นพร้อมเศษกระดาษตกลงสู่พื้นประปราย สายตาสองคู่มองไปยังฝีมือของคนตรงหน้าก็เห็นว่าเป็นภรัณยูกับทอฝันกำลังยืนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "คิดถึงแกจังเลย"ดารินเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทมองมาที่เธอ"แหม พึ่งเจอกันเมื่อสองวันที่แล้วเองย่ะ"ทอฝันเบะปากใส่เพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจมากที่เพื่อนได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีนายภักดีและคุณหญิงมัทนายืนมองลูกชายคนโตกับว่าที่สะใภ
คนตัวเล็กฟังประโยคเหล่านั้นที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ส่วนคนที่อยู่ในท่าคุกเข่าเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไปและไม่ยอมตอบตกลง จึงเปล่งเสียงถามออกมาใหม่อีกครั้งพร้อมส่งสายตามองเธอเป็นเชิงว่าห้ามปฏิเสธ“แต่งงานกันนะครับ...”ดารินทำได้แค่พยักหน้าเร็วๆเพื่อเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากเล็กที่ค่อยๆเบะทีละน้อย อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีแค่น้ำใสๆรื้นขึ้นบริเวณขอบตาในตอนแรก บัดนี้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป จนอีกฝ่ายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเธอปล่อยโฮออกมา แล้วรีบสวมแหวนให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน“ฮึก ฮือ~”“ที่ร้องไห้นี่คือดีใจใช่มั้ย?”เขาแสร้งหยอกอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับบ่นกระปอดกระแปดพร้อมใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงบนอกของเขาไปสองที“คนบ้า! ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่าว่าจะขอแต่งงาน ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ”“เอ๊ะ! ที่ร้องไห้นี่...เพราะไม่ได้แต่งตัวสวยๆอย่างนั้นเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกก่อนแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ? แต่ก็เอาน่าเมียผมสวยตลอดอยู่แล้ว ขนาดร้องไห้ยังสวยเลย”คนปากหวานเอ่ยชมเธอ
สายลมเอื่อยๆ ยามค่ำคืนพัดสัมผัสผิวกายคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินบนเก้าอี้ตัวยาวบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล โดยมีร่างสูงนอนหนุนตักคนตัวเล็กพร้อมเงยมองใบหน้าหวานซึ่งริมฝีปากกำลังเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ปราศจากสายน้ำเกลือเชื่อมต่อรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้รับอิสระคืนมาอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลมาจะครบสองสัปดาห์แล้ว และคาดว่าน่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ ซึ่งอาจจะด้วยข่าวดีที่รู้มาว่าตนเองกำลังจะได้ออกจากที่นี่ทำให้คนช่างพูดช่างเจรจาส่งเสียงออกมาไม่ขาดสาย โดยมีผู้ฟังที่ดีนอนยิ้มให้กับท่าทางของเธอเป็นครั้งคราวดวงตากลมโตมองไปยังวิวเบื้องหน้าที่มีแสงสีส่องสว่างออกมาตามตึกสูงระฟ้า เสียงแตรจากรถราสัญจรไปมาดังเป็นระยะตามแบบฉบับของเมืองศิวิไลซ์ที่ค่อนข้างวุ่นวาย จนเธออดที่จะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนนั่งดูดาวกับชายหนุ่มที่ภาคเหนือไม่ได้อย่างน้อยๆ วันนี้คนข้างกายของเธอก็ยังคงเป็นเขาและการได้ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมดีกว่าต้องนอนอุดอู้ภายในห้องทั้งวัน และเหนือสิ่งอื่นใดกลับมีสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บนนี้มีการตกแต่งด้วยโค
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน...ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำของพะรุงพะรังพวกนั้นวางลงบนโต๊ะ หลังออกไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นมาจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วถือถุงอีกใบติดมือไปทางหญิงสาวที่เอนหลังดูทีวีอยู่โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย“ไม่สนใจกันเลยนะ” พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงหนังสือประมาณสี่ห้าเล่มออกมาจากถุง พร้อมวางลงบนตักเธอเบาๆ ซึ่งมีทั้งนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่มือใหม่และเครื่องประดับต่างๆ แต่เล่มที่ดูจะสะดุดตาเธอคงจะเป็นนิตยสารที่มีนักแสดงสาวชื่อดังอย่างแคนเดิลปรากฏอยู่บนหน้าปกในคอลเล็คชั่นถ่ายแบบชุดแต่งงานแบรนด์ดังดารินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะพึ่งเห็นนักแสดงคนโปรดถ่ายแบบชุดแต่งงานเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบรีโมทกดปิดทีวีอย่างรวดเร็วเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างที่รู้ๆกัน หากใครมีไอดอลในดวงใจและไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร เรามักจะชื่นชอบ ชื่นชมและยินดีในทุกเรื่อง“โห! สวยจัง”หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางนั้น‘เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตื่นเต้นอย่างกับได้ใส่ชุดพวกนั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่เธอดูมีความสุขเป
สัปดาห์ต่อมา...“มันไม่โหดไปเหรอคะ” ร่างเล็กที่นอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเอ่ยถามเสียงแผ่ว หลังจากเลขาคนสนิทของชายหนุ่มขอปลีกตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมากเป็นพิเศษ หลังจากทำการเซ็นยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ดูแลเธอได้ไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหากประโยคก่อนหน้าที่ดารินเอ่ยออกมาก็เพราะได้ฟังคำรายงานบางอย่างจากปากของอคิน ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของภาคินัยมีแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด และข่าวดีที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องราวที่เขาให้ไปจัดการตอนนี้คนก่อเหตุอย่างอันนากำลังได้รับโทษทางกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองก่อ และมันไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาขุดคุ้ยเบื้องหลังอันเน่าเฟะของบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนาจะมีคดีความติดตัวสองคดี และคาดว่าจะมีมาอีกเรื่อยๆเพราะมีคนบางกลุ่มออกมาฟ้องร้องถึงค่าเสียหายต่างๆ ที่เธอเคยฉ้อโกงไว้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็ไม่ต่างจากบุคคลล้มละลาย“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนเลย มันก็คู่ควรกับการกระทำของเธอ เพราะคนเราทำอะไรไว้ก็ย่อม