ร่างเล็กที่อยู่ในวงแขนของคนตัวโตค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นด้วยความงัวเงีย ร่างกายเริ่มรู้สึกอึดอัดกับแรงกอดที่คนข้างกายส่งมา ดารินมองใบหน้าหล่อเหลาของคนที่กำลังปิดตาสนิทอยู่ทีละจุดด้วยรอยยิ้มจางพร้อมกับขยับตัวให้อีกฝ่ายได้รู้ว่าเขากำลังกอดเธอแน่นจนแทบจะหายใจไม่ออกแล้วแต่ดูเหมือนว่ายิ่งเธอพยายามผละออกจากอ้อมกอดนั้น เขากลับยิ่งสวมกอดเธอแน่นกว่าเดิมราวกับกำลังแกล้ง อีกทั้งยังเปล่งเสียงออกมาอย่างกับเธอเป็นฝ่ายกวนใจเขา“อื้อ”“ตื่นค่ะ จะบ่ายโมงแล้ว คุณไม่ไปทำงานเหรอ” หญิงสาวเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนติดอยู่กับผนังซึ่งบอกเวลาเกือบบ่ายโมงด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าทั้งเธอและเขาจะหลับกันยาวนานถึงขนาดนี้“ไม่ไป ไม่ไหว จะนอน” น้ำเสียงงัวเงียถูกเปล่งออกมาจากริมฝีปากหนาพร้อมกับใบหน้าที่ซุกไปบริเวณหน้าอกเธอทั้งๆที่ดวงตายังคงปิดอยู่อย่างนั้น"กอดแบบนี้ ฉันหายใจไม่ออก”เธอพยายามดิ้นให้หลุดจากอ้อมกอดของเขาอีกครั้งด้วยความอึดอัด “นอนนิ่งๆ เถอะน่า”“แต่ฉันต้องลุกไปทำอาหารค่ะ”“ไม่เอา ค่อยไป”เขาส่ายหน้าอย่างเด็กเอาแต่ใจจนดารินต้องพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เข้มขึ้นเล็กน้อย“อย่ามาเอาแต่ใจนะคะ”“นี่คือคำสั่ง”“ไม่ฟังค
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”อคินเอ่ยลา เมื่อรับรู้ได้ถึงบรรยากาศรอบตัวที่ไม่ค่อยดีนักของคนทั้งสอง ภาคินัยได้สติรีบหันไปมองทางลูกน้องของตัวเองก็เห็นว่าเขายืนนิ่งราวกับว่าไม่กล้าไหวตัวไปไหนทางด้านดารินที่พึ่งหั่นแตงกวาเสร็จเห็นว่าไหนๆ อคินก็อยู่ด้วยจึงเอ่ยชวนเลขาหนุ่มร่วมรับประทานอาหารในมื้อนี้“อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนสิคะ”“เอ่อ…” เพราะบรรยากาศก่อนหน้านี้ทำให้คนที่ถูกเชิญชวนถึงกับอ้ำอึ้ง เขาควรจะตอบตกลงหรือปฏิเสธดี กระทั่งได้ยินเสียงเอ่ยชวนอีกครั้งที่ดังมาจากปากของผู้เป็นนายซึ่งฟังดูแล้วไม่รู้ว่าเป็นคำสั่งหรือกำลังขอร้องให้เขาอยู่ต่อกันแน่“อยู่ก่อนสิ”“ก็ได้ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขอเวลาพาคุณภามไปคุยเรื่องงานหน่อยนะครับ” อคินหันไปบอกดารินเป็นเชิงขออนุญาตโดยที่ภาคินัยได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างไม่เข้าใจ สรุปแล้วเลขาของเขาทำงานให้ใครกันแน่ ดูจะเกรงใจอีกฝ่ายเสียเหลือเกิน“ค่ะ”“เดี๋ยวผมมานะ” ภาคินัยเองก็ไม่ต่างกันเพราะก่อนที่จะเดินออกไปจากบริเวณนั้นเขาก็มิวายหันไปบอกกล่าวเธอก่อน แต่ครั้นได้ยินคำพูดของเขาเธอก็ไม่ได้ตอบอะไรแล้วก้มหน้าลงทำอาหารต่อไปสองหนุ่มหันไปมองหน้ากันแล้วพากันเดินออกไปจากตรงนั
สองเดือนต่อมา...“ชุดนี้แหละ เหมาะกับคุณที่สุดแล้ว”เสียงทุ้มของคนตัวสูงเปล่งออกมาอย่างถูกใจ เมื่อใช้สายตามองไปที่ร่างเล็กในชุดเดรสสีขาวเสมอเข่าดูเรียบร้อยกับรองเท้าส้นสูงสีดำเงา ทว่าใบหน้าหวานที่ถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางแบบบางเบากลับบูดบึ้งอย่างเห็นได้ชัดด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจ เนื่องจากเธอต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าไปหลายรอบแล้วโดยมีชายหนุ่มเป็นคนคอยเลือกและจัดแจงให้เสียทุกอย่างภาคินัยที่ถูกน้องชายอย่างภรัณยูรบเร้าให้ไปหาเขาที่คลับในค่ำคืนนี้ได้ชวนดารินไปด้วยเพราะอยากแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าเขาไม่ได้ออกไปเถลไถลอย่างที่เธอคิดแต่คนที่ถูกจับแต่งตัวราวกับตุ๊กตาก่อนหน้านี้รู้สึกหมดอารมณ์อยากไปเสียแล้ว จากการที่ชายหนุ่มเอาแต่เลือกชุดที่เขาถูกใจซึ่งมันไม่ใช่ชุดที่เธอถูกใจเลย“ให้ฉันใส่ชุดสูทไปเลยมั้ยล่ะคะ” คนตัวเล็กที่ยืนมองตัวเองในกระจกเอ่ยออกมาอย่างประชดประชัน ก็เสื้อผ้าในตู้นี้เลขาคนสนิทของเขานั่นแหละเป็นคนเลือกมาเองกับมือซึ่งมันไม่ได้โป๊ขนาดนั้นซะหน่อย!“ก็ดีเหมือนกันนะ” เขาตอบกลับอย่างเห็นด้วย ถึงแม้จะรู้ว่าหญิงสาวกำลังประชดอยู่ก็ตาม จากนั้นเอ่ยถามออกมาอีกครั้งเมื่อเห็นว่าถึงเวลาต้องออกเด
ดวงตาคู่คมมองไปยังใบหน้าหวานที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาแล้วรีบประกบริมฝีปากลงบนปากเธออีกครั้งพร้อมกับดึงคนตัวเล็กเข้ามาให้ในรถพร้อมปิดประตูจนเกิดเสียงดัง ภาคินัยเลื่อนมือไปกดปุ่มปรับเบาะให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า โดยมีร่างเล็กกำลังนั่งคร่อมอยู่บนขาทั้งสองข้างของเขา เรียวลิ้นร้อนไล่ต้อนลิ้นเล็กโดยไม่ยอมผละออกจากกันไปไหนมือใหญ่เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขลูบไล้ไปมายังผิวกายขาวนวลเนียนพร้อมกับถกชุดของเธอขึ้นจนเผยให้เห็นขาอ่อน เขาสัมผัสไปมาจนขนกายของเธอลุกซู่ ค่อยๆเลื่อนมือไปยังก้อนเนื้ออวบอิ่มทั้งสองข้างแล้วเคล้นมันอย่างแรง จนร่างเล็กต้องผละออกจากริมฝีปากที่กำลังดูดดื่มกันในตอนแรกเพื่อเปล่งเสียงหวานอย่างทนไม่ไหว“อะ อื้อ!”ดารินถูกชายหนุ่มกระตุ้นจนเธอรู้สึกร้อนรุ่มไปทั่วทั้งร่างกายรีบเลื่อนมือเล็กไปปลดเข็มขัดกางเกงยีนของเขาพร้อมกับรูดซิปลงมา คนที่มองการกระทำของเธออยู่ระบายรอยยิ้มอย่างพึงพอใจ เมื่อเห็นท่าทางเร่งรีบของคนตัวเล็ก ตอนนี้ดูเหมือนว่าคนที่กำลังรีบร้อนไม่ใช่เขา แต่เป็นเธอ!จากนั้นการกระทำของพวกเขาเริ่มเป็นไปอย่างรวดเร็วแต่กลับเต็มไปด้วยความวาบหวามและสร้างความตื่นเต้นให้กับ
“ไม่มีแกก็เหงาเหมือนกันนะเนี่ย” เสียงหวานละมุนเอ่ยพูดกับคนปลายสายผ่านหูฟังบลูทูธที่เสียบไว้ดารินในชุดเสื้อยืดสีครีมพอดีตัวกับกางเกงสกินนี่สีดำกำลังเดินเลือกอุปกรณ์การเรียนอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่ง ในช่วงสายของวัน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเปิดเทอมที่จะมาถึงในอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าและด้วยวันนี้เธอรู้สึกคิดถึงเพื่อนสาวเป็นพิเศษจึงโทรหาตั้งแต่มาถึงที่นี่พร้อมกับเดินเลือกซื้อของไปเรื่อยๆอย่างอารมณ์ดี(ฉันมีค่าเวลาแกเหงาสินะ คิดว่าอยู่กับผู้ชายจนลืมเพื่อนคนนี้ไปแล้ว) คนปลายสายที่อยู่อเมริกาแสร้งเอ่ยออกมาอย่างตัดพ้อผสมความรู้สึกน้อยใจถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ดารินมักจะโทรถามไถ่ข่าวคราวกับทอฝันอยู่เป็นประจำเพราะความคิดถึง แต่เพื่อนตัวดีก็ยังคงล้อไม่เลิกว่าเธอนั้นติดผู้ชายไปแล้ว“ฉันมีเพื่อนอยู่คนเดียวจะลืมได้ยังไง” หญิงสาวพูดน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ เท้าเล็กที่สวมรองเท้าผ้าใบสีขาวหยุดชะงักอยู่หน้าชั้นวางปากกาหลากหลายแบบละลานตา สายตากวาดมองไปเรื่อยๆ เพื่อเลือกอันที่ถูกใจพร้อมกับรอฟังคำพูดของคนปลายสาย(ก็คบกันอยู่แค่สองคน เออนี่แก! กลับไปฉันมีของฝาก รับรองว่าเห็นแล้วจะต้องร้องกรี๊ด) ทอฝันเอ่ย
ดารินที่ยืนนิ่งอยู่นานรวบรวมความกล้าเผชิญหน้ากับบิดาที่ดูน่าเกรงขามของเขาด้วยรอยยิ้มกว้างมือเล็กยกขึ้นไหว้อย่างนอบน้อมพร้อมเอ่ยแนะนำตัวเสียงหวาน โดยไม่ได้ใส่ใจคำพูดก่อนหน้านี้ของท่านมากนัก“สวัสดีค่ะ หนูชื่อดาริน หรือจะเรียก ดา เฉยๆ ก็ได้นะคะ”หญิงสาวถูกมารดาสอนไว้ว่า หากเจอผู้ใหญ่ให้ยิ้มสู้และอ่อนน้อมถ่อมตนไว้ก่อนถึงแม้ว่าเราจะประหม่าก็ตาม...“นั่งลงก่อนสิหนู” ครั้นภักดีได้ยินน้ำเสียงเจื้อยแจ้วและรอยยิ้มที่ดูเป็นธรรมชาติของเธอก็เอ่ยออกมาเบาๆเด็กสาวคนนี้เป็นมายังไงถึงมาอยู่กับคนอย่างลูกชายของเขาได้ คงต้องหาโอกาสเอ่ยถามเรื่องนี้เสียแล้ว “ขอบคุณค่ะ” ดารินเดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ซึ่งเว้นระยะห่างจากบิดาของชายหนุ่มพอสมควร“พ่อก็อย่าทำหน้าดุนักสิ เธอนั่งตัวเกร็งจนจะร้องไห้แล้วนั่น” ภาคินัยที่ยังคงยืนอยู่หันไปมองสีหน้าของหญิงสาวอย่างนึกสงสาร “ก็หน้ามันเป็นแบบนี้ จะให้ทำยังไงวะ”สองพ่อลูกที่กำลังพูดคุยกัน หันไปมองร่างบางของคนบนเตียงที่เริ่มไหวตัวเล็กน้อย อาจจะเพราะเสียงดังรบกวนจากการพูดคุยก่อนหน้านี้ของพวกเขาทำให้เธอลืมตาตื่นขึ้นมาชายหนุ่มรีบเดินเข้าไปหามารดาแล้วกดปรับเตียงให้ตั้งฉากขึ้น
“คุณป้าคะ ผลไม้ค่ะ” คนตัวเล็กวางจานผลไม้ลงบนโต๊ะตรงหน้ามัทนาพร้อมเอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แล้วลอบมองใบหน้าพริ้มเพราที่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ จนฉายชัดออกมาผ่านแววตาคู่นั้น “ขอบใจจ้ะ” คนที่พึ่งได้สติเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง แล้วจิ้มฝรั่งชิ้นพอดีคำในจานส่งเข้าปากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคอยสังเกตอิริยาบถของดารินที่เดินไปนั่งดูทีวีบนโซฟาอย่างให้ความสนใจกระทั่งเวลาล่วงเลยไปสักพัก ภาคินัยเดินเข้ามาในห้องพร้อมหอบหิ้วของพะรุงพะรัง เรียกความสนใจให้กับสองสาวต่างวัยจนต้องหันไปมอง ดารินเห็นอย่างนั้นก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วไปรับของมาจากมือเขาพร้อมถามขึ้น“ซื้ออะไรมาเยอะแยะคะ”“ของกินคุณไง ไว้เผื่อตอนดึกด้วย” เขาพูดแล้วเดินไปทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา“ขอบคุณนะคะ"หญิงสาวเอ่ยบอกเสียงหวานแล้วเปิดดูสิ่งของด้านในว่าเขาซื้ออะไรมาให้บ้าง แล้วก็ต้องเปล่งเสียงออกมาด้วยความดีใจ"ไอติม! คุณป้าชิมด้วยกันมั้ยคะ”มือเล็กหยิบกล่องไอศกรีมรสมินท์ออกมาจากถุงกระดาษพร้อมกับหันไปกล่าวชวนมัทนาซึ่งกำลังมองมาที่เธอพอดี“หยุด! กินข้าวก่อน”ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินมาดึงกล่องไอศกรีมออกจากมือเธออย่างรวดเร็ว แล้วยื่นกล่องข้าวให้แ
ภาคินัยฟังประโยคที่เปล่งออกมาจากปากของคนข้างกายก็เงียบไปครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ เอ่ยตอบออกมาเสียงแผ่ว ราวกับกำลังกระซิบกับตัวเองมากกว่า"ไม่รู้สิ"ดารินเห็นท่าทางของเขาก็รีบเปลี่ยนน้ำเสียงเพื่อไม่ให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกอึดอัดต่อกัน ริมฝีปากเล็กค่อยๆ เอ่ยออกมาอย่างสดใสอีกครั้ง ให้เหมือนกับว่าคำพูดก่อนหน้านั้น เธอแค่พูดเล่น"เรื่องนั้นช่างมันค่ะ เอาเป็นว่าเรามาใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีความสุขกันเถอะ"ชายหนุ่มมองหน้าเธอนิ่งแล้วค่อยๆ พยักหน้าเห็นด้วยกับประโยคล่าสุดที่เธอพูด เพราะเขาเองก็ไม่รู้ว่าอนาคตที่จะเกิดขึ้นนั้นเป็นอย่างไรเหมือนกันทั้งสองนั่งพูดคุยสัพเพเหระกันต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งภรัณยูโทรศัพท์มาบอกว่าตนเองจะกลับไปนอนที่บ้าน ทำให้พวกเขาต้องรีบลงไปเพราะคิดว่ามารดาอาจจะกำลังรออยู่แต่ครั้นไปถึง ภายในห้องกลับเปิดไฟไว้แค่สลัวๆ เท่านั้น ร่างของคนบนเตียงก็ดูเหมือนว่าจะหลับสนิทไปแล้ว ทำให้คนทั้งสองรีบจัดการตัวเอง โดยการอาบน้ำแต่งตัวให้เกิดเสียงเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากไม่อยากรบกวนคนที่กำลังหลับใหลอยู่ดารินหยิบผ้าห่มบนโซฟาของตัวเองมาดูก็เห็นว่ามันมีสองผืน จึงส่งให้ชายหนุ่มที่กำลังเดินมาทา
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ของโรงแรมสุดหรูสามารถมองเห็นหอคอยเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้อย่างเต็มตา ช่วงฤดูหนาวของเดือนแห่งความรักอย่างกุมภาพันธ์จึงมักจะเต็มไปด้วยคู่รักและบรรดาครอบครัวที่พากันมาเยือนเมืองสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างล้นหลามอุณหภูมิสองถึงห้าองศาด้านนอกเต็มไปด้วยม่านหมอกและหิมะขาวโพลนตกลงมาปกคลุมยอดหอไอเฟลขนาดใหญ่ทำให้ในยามค่ำคืนการนั่งจิบไวน์และมองดูวิวเป็นอะไรที่สวยงามไปอีกแบบ“สวย”“สวยมาก”“สวยเหลือเกิน”เสียงทุ้มเอ่ยชมไม่ขาดปากราวกับว่าถูกใจสิ่งที่กำลังมองอย่างสุดหัวใจ“ผมไม่คิดว่าปารีสตอนกลางคืนมันจะดีขนาดนี้มาก่อน”สภาพอากาศด้านนอกที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกนั้นไม่มีผลต่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ภายในห้องนอนสุดแสนจะอบอุ่น มันอบอุ่นจนค่อนไปทางร้อนเสียมากกว่า หากดูจากหยาดเหงื่อไหลย้อยที่เคลือบผิวกายของร่างเปลือยเปล่าทั้งสอง“ที่รักชอบมันหรือเปล่า”“อึก อื้อ!”ริมฝีปากเล็กกัดเข้าหากันจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นเสียงไม่ให้ดังจนเกินไปและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันครั้นภาคินัยเห็นว่าคำถามของตนไร้เสียงตอบรับใ
พิธีวิวาห์ของคู่รักต่างวัยถูกจัดขึ้นที่บ้านทางภาคเหนือของครอบครัวชายหนุ่ม โดยหญิงสาวเป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะรู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้มาสัมผัส ซึ่งทุกคนก็ต่างเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานครั้งอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตของนายภักดีกับคุณหญิงมัทนาและไม่คิดว่าอีกสามสิบปีต่อมาจะได้ใช้จัดงานมงคลอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายอย่างครั้งก่อน แต่บรรยากาศภายในงานล้วนอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก จากบรรดาแขกเหรื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวที่มักจะเป็นคนสนิทสนมกันเสียส่วนใหญ่แม้ว่าแขกทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีแค่ทอฝันกับสายหมอก แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความจริงใจและความเอ็นดูจากบุคคลแปลกหน้าที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนน้าสาวเพียงคนเดียวของเธอเผอิญติดธุระอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นดารินก็เข้าใจเพราะงานที่จัดขึ้นดูจะสายฟ้าแลบไปหน่อยก่อนหน้านี้พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานและเตรียมตัวเองแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่หญิงสาวสอบเสร็จพอดี และสุขภาพของเธอก็พร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือดาริน
ลัลล้า~ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มจาง หลังได้ออกจากโรงพยาบาลที่เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่นานกว่าสองสัปดาห์ ส่วนเขาเองก็ต้องนอนให้น้ำเกลือเพื่อดูอาการไปอีกหนึ่งคืนเลขาคนสนิทอย่างอคินเป็นคนทำหน้าที่ไปรับทั้งสองกลับมายังเพนต์เฮาส์ในช่วงเย็นของวันนี้ ถึงแม้ภาคินัยจะอาการยังไม่ค่อยปกติมากนัก แต่คนดื้อและเอาแต่ใจอย่างเขาก็รบเร้าคุณหมอเพื่อที่จะกลับบ้านให้ได้และผลก็อย่างที่เห็น เพราะชายหนุ่มมายืนอยู่ภายในลิฟต์ส่วนตัวของเพนต์เฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้วติ้ง ปัง ปิ้ว~เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จากเสียงพลุของเล่นที่ดังขึ้นพร้อมเศษกระดาษตกลงสู่พื้นประปราย สายตาสองคู่มองไปยังฝีมือของคนตรงหน้าก็เห็นว่าเป็นภรัณยูกับทอฝันกำลังยืนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "คิดถึงแกจังเลย"ดารินเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทมองมาที่เธอ"แหม พึ่งเจอกันเมื่อสองวันที่แล้วเองย่ะ"ทอฝันเบะปากใส่เพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจมากที่เพื่อนได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีนายภักดีและคุณหญิงมัทนายืนมองลูกชายคนโตกับว่าที่สะใภ
คนตัวเล็กฟังประโยคเหล่านั้นที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ส่วนคนที่อยู่ในท่าคุกเข่าเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไปและไม่ยอมตอบตกลง จึงเปล่งเสียงถามออกมาใหม่อีกครั้งพร้อมส่งสายตามองเธอเป็นเชิงว่าห้ามปฏิเสธ“แต่งงานกันนะครับ...”ดารินทำได้แค่พยักหน้าเร็วๆเพื่อเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากเล็กที่ค่อยๆเบะทีละน้อย อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีแค่น้ำใสๆรื้นขึ้นบริเวณขอบตาในตอนแรก บัดนี้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป จนอีกฝ่ายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเธอปล่อยโฮออกมา แล้วรีบสวมแหวนให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน“ฮึก ฮือ~”“ที่ร้องไห้นี่คือดีใจใช่มั้ย?”เขาแสร้งหยอกอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับบ่นกระปอดกระแปดพร้อมใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงบนอกของเขาไปสองที“คนบ้า! ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่าว่าจะขอแต่งงาน ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ”“เอ๊ะ! ที่ร้องไห้นี่...เพราะไม่ได้แต่งตัวสวยๆอย่างนั้นเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกก่อนแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ? แต่ก็เอาน่าเมียผมสวยตลอดอยู่แล้ว ขนาดร้องไห้ยังสวยเลย”คนปากหวานเอ่ยชมเธอ
สายลมเอื่อยๆ ยามค่ำคืนพัดสัมผัสผิวกายคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินบนเก้าอี้ตัวยาวบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล โดยมีร่างสูงนอนหนุนตักคนตัวเล็กพร้อมเงยมองใบหน้าหวานซึ่งริมฝีปากกำลังเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ปราศจากสายน้ำเกลือเชื่อมต่อรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้รับอิสระคืนมาอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลมาจะครบสองสัปดาห์แล้ว และคาดว่าน่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ ซึ่งอาจจะด้วยข่าวดีที่รู้มาว่าตนเองกำลังจะได้ออกจากที่นี่ทำให้คนช่างพูดช่างเจรจาส่งเสียงออกมาไม่ขาดสาย โดยมีผู้ฟังที่ดีนอนยิ้มให้กับท่าทางของเธอเป็นครั้งคราวดวงตากลมโตมองไปยังวิวเบื้องหน้าที่มีแสงสีส่องสว่างออกมาตามตึกสูงระฟ้า เสียงแตรจากรถราสัญจรไปมาดังเป็นระยะตามแบบฉบับของเมืองศิวิไลซ์ที่ค่อนข้างวุ่นวาย จนเธออดที่จะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนนั่งดูดาวกับชายหนุ่มที่ภาคเหนือไม่ได้อย่างน้อยๆ วันนี้คนข้างกายของเธอก็ยังคงเป็นเขาและการได้ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมดีกว่าต้องนอนอุดอู้ภายในห้องทั้งวัน และเหนือสิ่งอื่นใดกลับมีสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บนนี้มีการตกแต่งด้วยโค
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน...ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำของพะรุงพะรังพวกนั้นวางลงบนโต๊ะ หลังออกไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นมาจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วถือถุงอีกใบติดมือไปทางหญิงสาวที่เอนหลังดูทีวีอยู่โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย“ไม่สนใจกันเลยนะ” พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงหนังสือประมาณสี่ห้าเล่มออกมาจากถุง พร้อมวางลงบนตักเธอเบาๆ ซึ่งมีทั้งนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่มือใหม่และเครื่องประดับต่างๆ แต่เล่มที่ดูจะสะดุดตาเธอคงจะเป็นนิตยสารที่มีนักแสดงสาวชื่อดังอย่างแคนเดิลปรากฏอยู่บนหน้าปกในคอลเล็คชั่นถ่ายแบบชุดแต่งงานแบรนด์ดังดารินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะพึ่งเห็นนักแสดงคนโปรดถ่ายแบบชุดแต่งงานเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบรีโมทกดปิดทีวีอย่างรวดเร็วเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างที่รู้ๆกัน หากใครมีไอดอลในดวงใจและไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร เรามักจะชื่นชอบ ชื่นชมและยินดีในทุกเรื่อง“โห! สวยจัง”หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางนั้น‘เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตื่นเต้นอย่างกับได้ใส่ชุดพวกนั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่เธอดูมีความสุขเป
สัปดาห์ต่อมา...“มันไม่โหดไปเหรอคะ” ร่างเล็กที่นอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเอ่ยถามเสียงแผ่ว หลังจากเลขาคนสนิทของชายหนุ่มขอปลีกตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมากเป็นพิเศษ หลังจากทำการเซ็นยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ดูแลเธอได้ไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหากประโยคก่อนหน้าที่ดารินเอ่ยออกมาก็เพราะได้ฟังคำรายงานบางอย่างจากปากของอคิน ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของภาคินัยมีแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด และข่าวดีที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องราวที่เขาให้ไปจัดการตอนนี้คนก่อเหตุอย่างอันนากำลังได้รับโทษทางกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองก่อ และมันไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาขุดคุ้ยเบื้องหลังอันเน่าเฟะของบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนาจะมีคดีความติดตัวสองคดี และคาดว่าจะมีมาอีกเรื่อยๆเพราะมีคนบางกลุ่มออกมาฟ้องร้องถึงค่าเสียหายต่างๆ ที่เธอเคยฉ้อโกงไว้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็ไม่ต่างจากบุคคลล้มละลาย“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนเลย มันก็คู่ควรกับการกระทำของเธอ เพราะคนเราทำอะไรไว้ก็ย่อม