ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ณ เพนต์เฮาส์ใจกลางเมืองกรุงเทพฯชายหนุ่มในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมลงมาจนเห็นแผงอกแน่นนั่งพิงพนักเก้าอี้อยู่หลังโต๊ะทำงานดีไซน์เรียบหรู แขนทั้งสองวางลงยังที่พักข้างตัวพร้อมกับผ่อนคลายร่างกายตัวเอง สายตาคมกริบมองไปยังหญิงสาวในชุดเดรสสีดำรัดติ้วที่แทรกตัวอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้างของเขาซึ่งเธอกำลังทำหน้าที่ปรนเปรอโดยการใช้ลิ้นนุ่มโลมเลียไปทั่วแกนกายขนาดใหญ่พร้อมกับส่งมันเข้าไปในอุ้งปากร้อนแล้วดันเข้าจนสุดทาง หญิงสาวทำอย่างนั้นสลับไปมาเป็นเวลาหลายนาทีอย่างเอาใจอ๊อก อ๊อก!!กรามของเขาขบเข้าหากันอย่างสะกดกลั้นความกระสันเสียว เธอเห็นดังนั้นก็รีบเร่งจังหวะเข้าออกให้ถี่ขึ้นแล้วผ่อนลงตามการตอบสนองของร่างกายคนที่นั่งอยู่ ชายหนุ่มรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะถึงฝั่งฝันในไม่ช้า เขากำมือแน่นแล้วปล่อยอารมณ์ของตัวเองออกมาอย่างเต็มที่ ไม่นานร่างของเขาก็กระตุกแล้วฉีดน้ำรักอุ่นร้อนเข้าไปในโพรงปากของเธอจนหมดทุกหยาดหยดพร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงหญิงสาวดูดกลืนมันเข้าไปอย่างรู้งานแล้วเช็ดทำความสะอาดจัดการกางเกงแสล็กสีดำของเขาให้กลับไปเข้าที่เข้าทางเหมือนเดิมทว่าใจเธอกลับไม่อยากหยุดแค่นั้น ร่างอวบรีบลุกขึ้นแ
PP CLUB“Cheers!”สองสาวเพื่อนสนิทยกแก้วค็อกเทลสีหวานของตัวเองขึ้นมาชนกันเบาๆอย่างครื้นเครง วันนี้ทั้งสองรู้สึกสนุกและเบิกบานใจเป็นพิเศษ อาจจะเพราะพึ่งได้มาที่แบบนี้เป็นครั้งแรกในวัยยี่สิบเอ็ดปี“แก อย่าดื่มเยอะสิ"ริมฝีปากบางเอ่ยเตือนเพื่อนสาวที่กำลังยกแก้วขึ้นกระดกเข้าปากรวดเดียวดาริน หญิงสาวรูปร่างเล็กที่มีความสูงแค่หนึ่งร้อยห้าสิบห้ามาในชุดเดรสปาดไหล่สีครีมเสมอเข่า ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยถึงกลางหลังถูกปล่อยลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ ใบหน้าหวานถูกแต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางแบบอ่อนๆ ดวงตากลมโตราวกับตุ๊กตาคู่นั้นไม่ว่าใครเห็นเป็นต้องหลงใหลหญิงสาวเป็นนักศึกษาคณะบริหารธุรกิจ สาขาการจัดการทั่วไป ชั้นปีที่สามของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เธอสูญเสียบิดามารดาไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อสองปีก่อน ซึ่งเป็นวันแรกที่เธอเข้ามหาวิทยาลัยพอดี ทว่าหลังกลับมาจากเรียนก็ทราบข่าวร้ายที่ว่าพ่อกับแม่ของเธอได้จากโลกไปแล้วตลอดกาล ถึงแม้ตอนนั้นน้าสาวเพียงคนเดียวจะอยากพาเธอไปอยู่ด้วย แต่หญิงสาวกลับปฏิเสธและยืนกรานว่าจะอยู่ให้ได้ด้วยตัวเองความเศร้าเสียใจหลังการสูญเสียมันเป็นเรื่องที่ยากจะรับได้ก็จริง แต่วันเวลาก็
“คะ คุณคิดจะทำอะไร”ริมฝีปากบางเปล่งถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ดวงตากลมโตมองคนตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจเมื่อเห็นสีหน้าเจ้าเล่ห์ของเขาตอนนี้ความรู้สึกปั่นป่วนที่เกิดขึ้นกับร่างกายดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆและเป็นอะไรที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต จนอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองอาจจะแพ้แอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไป“คุณไม่เก่งถึงขนาดทนมันได้หรอก”ชายหนุ่มที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนมองอาการของเธอปราดเดียวก็รู้แล้วว่าหญิงสาวโดนยานั่นเล่นงานเหมือนกัน และไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถทนฤทธิ์เดชของมันได้อย่างแน่นอน“...” คิ้วเรียวงามเลิกขึ้นเป็นสัญลักษณ์คำถาม ตอนนี้เธอไม่เข้าใจอะไรเลย แม้แต่ความปั่นป่วนภายในร่างกายที่เป็นอยู่ มันรู้สึกทรมานเหมือนต้องการอะไรบางอย่าง ที่เธอเองก็ไม่สามารถรู้ได้ว่ามันคืออะไร“ร้อนใช่มั้ยล่ะ หืม?” เขาถามพร้อมกับต้อนเธอจนแผ่นหลังของร่างเล็กสัมผัสกับผนังห้องและไม่สามารถหลีกหนีไปไหนได้ ใบหน้าหล่อเหลาค่อยๆ โน้มเข้าใกล้คนที่ยืนประหม่าอยู่จนรู้สึกถึงลมหายใจของกันและกันหญิงสาวรีบหันหน้าหนีพร้อมกับพยายามเอาตัวเองออกจากวงแขนของคนตรงหน้า แต่ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะไม่ยอมปล่อยเธอไปง่ายๆดารินตั
สองเดือนต่อมา...“ฉันว่ารถคันนั้นมันคุ้นๆ นะ แกว่ามั้ย?”ทอฝันที่กำลังง่วนอยู่กับการพิมพ์งานวิจัยหน้าแล็ปท็อปในตอนแรกเงยหน้าขึ้นพร้อมกับใช้มือนวดหลังคอตัวเองเบาๆ เพื่อบรรเทาความเมื่อยล้าที่เกิดจากการจดจ่ออยู่กับงานเป็นเวลานานสายตาของเธอหันไปเห็นรถยุโรปสีดำเงาคันหรูซึ่งจอดชิดริมฟุตบาทอยู่ไม่ไกลจากใต้ตึกคณะบริหารธุรกิจที่พวกเธอกำลังนั่งอยู่พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกแปลกใจเจ้าของใบหน้าหวานที่กำลังจ้องหน้าจอแล็ปท็อปพร้อมกับจรดนิ้วเรียวลงบนแป้นพิมพ์อย่างตั้งใจในตอนแรกหยุดลง ดารินเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมองตามสิ่งที่ทอฝันพูด ครั้นพอเห็นรถคันนั้นเธอก็ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็จำได้ว่าเป็นคันเดิมที่มักจะมาจอดอยู่บริเวณนั้นประจำและทุกครั้งที่พวกเธอนั่งตรงนี้ก็จะเห็นทุกครั้ง“อืม ฉันก็เห็นรถคันนี้บ่อยเหมือนกัน”“เขาแอบมามองใครรึเปล่าวะ” ทอฝันมองหน้าดารินอย่างจริงจังแล้วพึมพำด้วยความสงสัย ทว่าอยู่ดีๆ เธอก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงกลั้นหัวเราะ“หรือว่าคนที่อยู่ในรถคันนั้นจะแอบชอบฉัน”“แหม~ แกแอบไปโปรยเสน่ห์ใส่ใครมารึไง”ดารินพูดพร้อมกับย่นจมูกใส่เพื่อนด้วยความหมั่นไส้“ฉันล้อเล่นน่า แกก็รู้ว่าฉันไม่ได้สนใจ
หลังจากภาคินัยพูดจบ เขาก็เดินออกไปจากห้องทันทีเพื่อให้หญิงสาวได้ใช้เวลาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ดารินยืนมองเสื้อผ้าแต่ละตัวด้วยความรู้สึกแปลกใจ เนื่องจากเธอเป็นคนรูปร่างเล็กและชุดต่างๆในตู้นี้ก็ล้วนแต่เป็นไซซ์เธอทั้งนั้น หญิงสาวไม่รอช้ารีบเลือกชุดที่คิดว่าใส่สบายที่สุดออกมาแล้วเปลี่ยนมันโดยใช้เวลาแค่ไม่นานและด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้เธอแอบเดินสำรวจห้องนั้นในเวลาต่อมา ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นห้องนอนของชายหนุ่ม แต่ทว่ามันกลับไม่ใช่อย่างที่คิดเพราะดูเหมือนห้องนี้แทบไม่ได้ใช้งานด้วยซ้ำ ดารินได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วเดินออกไปจากห้องหญิงสาวในชุดเสื้อยืดสีขาวพอดีตัวกับกางเกงวอร์มขายาวสีเทาเดินไปนั่งลงตรงข้ามภาคินัยที่กำลังมองเธออยู่อย่างไม่ละสายตา ดารินเห็นดังนั้นก็มองเขากลับเช่นเดียวกันพร้อมกับถามในสิ่งที่เธอรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก“ทำไมต้องให้คนของคุณคอยตามฉันด้วยคะ”ชายหนุ่มที่ได้ยินคำถามนั้นนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งในข้ออ้างที่เขาพึ่งคิดได้“ผมแค่อยากมั่นใจว่าไม่ได้มีลูกของผมติดท้องคุณไปด้วย”“ถ้าเป็นเรื่องนั้นสบายใจได้ค่ะ ไม่มีแน่นอ
“ไม่ ไม่ดื้อแล้ว”ดวงตากลมโตมองหน้าหล่อคมคายพร้อมกับส่ายหน้ารัวๆ“ดี! เข้าไปรอในห้องก่อน”ดารินพยักหน้าเข้าใจแล้วพาตัวเองเดินมุ่งหน้าไปยังห้องนอนตามที่เขาสั่งด้วยหัวใจสั่นระรัวจนแทบจะหายใจไม่ออกหญิงสาวเดินไปนั่งลงบนเตียงนุ่มสีขาวสะอาดแล้วยกมือขึ้นมาสัมผัสใบหน้าร้อนฉ่าของตัวเองเบาๆ พร้อมกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงเป็นการเรียกสติ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มกวาดมองไปยังข้าวของภายในห้องอีกครั้งเพื่อเป็นการฆ่าเวลารอชายหนุ่มดารินนั่งรอไปสักพักก็เริ่มรู้สึกหนาวจนขนกายชูชัน รีบดึงผ้านวมผืนหนาขึ้นมาคลุมไว้บนไหล่เพื่อให้ร่างกายอบอุ่น“ฮัดชิ่ว!”หญิงสาวจามออกมาอย่างแรงพร้อมกับใช้หลังมือถูไปมาที่จมูกจนแดงก่ำสักพักภาคินัยก็เดินเข้ามาพร้อมกับถ้วยใส่ยาและน้ำเปล่าอีกหนึ่งแก้วยื่นให้เธอ หญิงสาวรับมันมาส่งยาเข้าปาก จากนั้นก็เอ่ยขอบคุณเขาแล้วล้มตัวลงนอนเพราะเริ่มรู้สึกปวดหัว“โดนฝนนิดหน่อยก็ป่วยแล้ว เด็กน้อยจริงๆ”ชายหนุ่มที่ยืนมองเธออยู่พึมพำออกมาเบาๆ ทว่าหญิงสาวกลับได้ยินอย่างชัดเจน"ถ้าจะว่ากัน ทีหลังก็พูดเบาๆหน่อยสิคะ"ดารินพูดน้ำเสียงประชดเล็กน้อย ทว่าดวงตากลมโตมองไปที่ใบหน้าของเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณ อย่าง
หญิงสาวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างคนดีใจกับสิ่งที่พึ่งรับรู้มา มือเล็กกำแท่งพลาสติกไว้แน่นเพื่อจะเอาไปให้ผู้เป็นสามีดูและคิดว่าเขาต้องดีใจมากอย่างแน่นอน แต่ครั้นเดินไปหาบริเวณเตียงนอนที่เขาเล่นอยู่กับลูกสาวในตอนแรกก็พบเพียงความว่างเปล่า“อยู่ไหนกันนะ”ดารินพึมพำแผ่วเบาแล้วเดินไปในห้องของลูกสาวตัวน้อยก็ไม่เจอใคร จึงคิดว่าห้องสุดท้ายที่ทั้งสองน่าจะอยู่ก็คงหนีไม่พ้นห้องนั่งเล่นภาคินัยนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกซึ่งมีลูกสาวตัวน้อยนอนซบอยู่บนหน้าอกแกร่งดูเหมือนว่ากำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทราในเวลาไม่นาน ทำให้ชายหนุ่มที่เห็นคนตัวเล็กกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่างรีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นว่าลูกสาวสุดที่รักกำลังจะหลับ“ชู่ว”หญิงสาวถึงกับส่ายหน้าให้ท่าทางของเขาอย่างไม่จริงจังนัก เธอจึงเดินเข้าไปอย่างเงียบๆ แล้วก้มไปหอมแก้มลูกสาวเบาๆ ก่อนสามีหนุ่มจะทำแก้มป่องเป็นเชิงว่าตัวเองจะขอแบบนั้นด้วย หญิงสาวจึงก้มลงแล้วไม่ลืมที่จะให้เขาหอมแก้มเธอด้วย“ฉันมีข่าวดีจะบอกค่ะ”เสียงหวานเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกตื่นเต้น“ครับ ว่า?”“ลูกมาแล้วค่ะ”“อืม ฮะ!” คนที่บอกให้เธอลดเสียงในตอนแรกถึงกับอุทา
ร่างเล็กบนเตียงกว้างมีอาการสะลึมสะลือเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงรบกวนเข้าสู่โสตประสาท เนื่องจากเธอพึ่งจะได้นอนหลับไปแค่ไม่กี่ชั่วโมงเพราะโดนสามีหนุ่มคอยรังแกเกือบทั้งคืน ดวงตากลมโตค่อยๆ เปิดขึ้นทีละน้อยครั้นได้ยินเสียงสองของคนข้างกายที่มักจะใช้พูดคุยหยอกล้อกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะกำลังหัวเราะและส่งเสียงอ้อแอ้ออกมาอย่างชอบใจตามประสาเด็ก เสียงนี้เองที่ทำให้ร่างเล็กบนเตียงรีบลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปยังนาฬิกาบนผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้า และที่ประเทศไทยก็คงจะบ่ายโมงพอดีใบหน้าหวานมองชายหนุ่มที่นอนหันหลังให้เธอแล้วชะโงกไปยังจอสมาร์ทโฟนในมือเขาก็เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มของลูกสาวที่มีคุณแม่สามีเป็นคนถือกล้องให้ เด็กตัวน้อยกำลังมองมาที่ผู้เป็นพ่อตาแป๋วแล้วหัวเราะคิกด้วยความสดใสภาคินัยรับรู้ได้ว่าภรรยาสุดที่รักของเขาตื่นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็รีบนอนหงายเพื่อให้หญิงสาวเข้ามาร่วมจอด้วยกัน ก่อนจะทักทายแก้วตาดวงใจ“ไออุ่นจ๋า” เสียงหวานเรียกลูกสาวตัวน้อยเบาๆ พร้อมส่งยิ้มให้ด้วยความคิดถึง“เอิ๊กๆ” หนูน้อยไออุ่นวัยเก้าเดือนผู้มีใบหน้าจิ้มลิ้มและตัวจ้ำม่ำน่ากอดมองใบหน้าผู้ให้กำ
ภายในห้องนอนขนาดใหญ่ของโรงแรมสุดหรูสามารถมองเห็นหอคอยเหล็กกล้าตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางกรุงปารีสซึ่งเป็นแลนด์มาร์กสำคัญของที่นี่ได้อย่างเต็มตา ช่วงฤดูหนาวของเดือนแห่งความรักอย่างกุมภาพันธ์จึงมักจะเต็มไปด้วยคู่รักและบรรดาครอบครัวที่พากันมาเยือนเมืองสุดแสนจะโรแมนติกแห่งนี้กันอย่างล้นหลามอุณหภูมิสองถึงห้าองศาด้านนอกเต็มไปด้วยม่านหมอกและหิมะขาวโพลนตกลงมาปกคลุมยอดหอไอเฟลขนาดใหญ่ทำให้ในยามค่ำคืนการนั่งจิบไวน์และมองดูวิวเป็นอะไรที่สวยงามไปอีกแบบ“สวย”“สวยมาก”“สวยเหลือเกิน”เสียงทุ้มเอ่ยชมไม่ขาดปากราวกับว่าถูกใจสิ่งที่กำลังมองอย่างสุดหัวใจ“ผมไม่คิดว่าปารีสตอนกลางคืนมันจะดีขนาดนี้มาก่อน”สภาพอากาศด้านนอกที่แค่มองก็รับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือกนั้นไม่มีผลต่อคู่สามีภรรยาที่อยู่ภายในห้องนอนสุดแสนจะอบอุ่น มันอบอุ่นจนค่อนไปทางร้อนเสียมากกว่า หากดูจากหยาดเหงื่อไหลย้อยที่เคลือบผิวกายของร่างเปลือยเปล่าทั้งสอง“ที่รักชอบมันหรือเปล่า”“อึก อื้อ!”ริมฝีปากเล็กกัดเข้าหากันจนห้อเลือดเพื่อสะกดกลั้นเสียงไม่ให้ดังจนเกินไปและเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของอีกฝ่ายด้วยเช่นกันครั้นภาคินัยเห็นว่าคำถามของตนไร้เสียงตอบรับใ
พิธีวิวาห์ของคู่รักต่างวัยถูกจัดขึ้นที่บ้านทางภาคเหนือของครอบครัวชายหนุ่ม โดยหญิงสาวเป็นคนเลือกสถานที่แห่งนี้เพราะรู้สึกตกหลุมรักธรรมชาติตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้มาสัมผัส ซึ่งทุกคนก็ต่างเห็นด้วยกับการใช้สถานที่แห่งนี้จัดงานครั้งอดีตพื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นสถานที่จัดพิธีแต่งงานอย่างใหญ่โตของนายภักดีกับคุณหญิงมัทนาและไม่คิดว่าอีกสามสิบปีต่อมาจะได้ใช้จัดงานมงคลอีกครั้ง ถึงแม้จะไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายอย่างครั้งก่อน แต่บรรยากาศภายในงานล้วนอบอุ่นและอบอวลไปด้วยความรัก จากบรรดาแขกเหรื่อทางฝ่ายเจ้าบ่าวที่มักจะเป็นคนสนิทสนมกันเสียส่วนใหญ่แม้ว่าแขกทางฝ่ายเจ้าสาวจะมีแค่ทอฝันกับสายหมอก แต่เธอกลับรับรู้ได้ถึงความจริงใจและความเอ็นดูจากบุคคลแปลกหน้าที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนน้าสาวเพียงคนเดียวของเธอเผอิญติดธุระอยู่ต่างประเทศและไม่สามารถมาร่วมงานได้ แต่ถึงอย่างนั้นดารินก็เข้าใจเพราะงานที่จัดขึ้นดูจะสายฟ้าแลบไปหน่อยก่อนหน้านี้พวกเขามีเวลาจัดเตรียมงานและเตรียมตัวเองแค่หนึ่งเดือนเท่านั้น เนื่องจากเป็นช่วงที่หญิงสาวสอบเสร็จพอดี และสุขภาพของเธอก็พร้อมสำหรับงานวิวาห์ที่จะเกิดขึ้นแต่เหนือสิ่งอื่นใดเลยคือดาริน
ลัลล้า~ดวงตาคู่คมเหลือบมองคนตัวเล็กข้างกายที่ดูอารมณ์ดีเป็นพิเศษด้วยรอยยิ้มจาง หลังได้ออกจากโรงพยาบาลที่เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่นานกว่าสองสัปดาห์ ส่วนเขาเองก็ต้องนอนให้น้ำเกลือเพื่อดูอาการไปอีกหนึ่งคืนเลขาคนสนิทอย่างอคินเป็นคนทำหน้าที่ไปรับทั้งสองกลับมายังเพนต์เฮาส์ในช่วงเย็นของวันนี้ ถึงแม้ภาคินัยจะอาการยังไม่ค่อยปกติมากนัก แต่คนดื้อและเอาแต่ใจอย่างเขาก็รบเร้าคุณหมอเพื่อที่จะกลับบ้านให้ได้และผลก็อย่างที่เห็น เพราะชายหนุ่มมายืนอยู่ภายในลิฟต์ส่วนตัวของเพนต์เฮาส์เป็นที่เรียบร้อยแล้วติ้ง ปัง ปิ้ว~เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกทำให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้งเล็กน้อย จากเสียงพลุของเล่นที่ดังขึ้นพร้อมเศษกระดาษตกลงสู่พื้นประปราย สายตาสองคู่มองไปยังฝีมือของคนตรงหน้าก็เห็นว่าเป็นภรัณยูกับทอฝันกำลังยืนต้อนรับพวกเขาด้วยรอยยิ้ม "คิดถึงแกจังเลย"ดารินเอ่ยออกมาเป็นคนแรกด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อเห็นเพื่อนสาวคนสนิทมองมาที่เธอ"แหม พึ่งเจอกันเมื่อสองวันที่แล้วเองย่ะ"ทอฝันเบะปากใส่เพื่อนสาวอย่างไม่จริงจังนัก แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ดีใจมากที่เพื่อนได้ออกจากโรงพยาบาลเสียทีนายภักดีและคุณหญิงมัทนายืนมองลูกชายคนโตกับว่าที่สะใภ
คนตัวเล็กฟังประโยคเหล่านั้นที่ถูกเปล่งออกมาจากปากของเขาก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะความรู้สึกหลากหลายที่ก่อเกิดขึ้นภายในใจ ส่วนคนที่อยู่ในท่าคุกเข่าเห็นว่าอีกฝ่ายกลับแน่นิ่งไปและไม่ยอมตอบตกลง จึงเปล่งเสียงถามออกมาใหม่อีกครั้งพร้อมส่งสายตามองเธอเป็นเชิงว่าห้ามปฏิเสธ“แต่งงานกันนะครับ...”ดารินทำได้แค่พยักหน้าเร็วๆเพื่อเป็นการตอบรับพร้อมกับริมฝีปากเล็กที่ค่อยๆเบะทีละน้อย อีกทั้งดวงตากลมโตที่มีแค่น้ำใสๆรื้นขึ้นบริเวณขอบตาในตอนแรก บัดนี้มันไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้างของเธออย่างกลั้นไม่อยู่อีกต่อไป จนอีกฝ่ายรู้สึกตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นเธอปล่อยโฮออกมา แล้วรีบสวมแหวนให้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลุกขึ้นกอดคนตัวเล็กไว้ในอ้อมแขน“ฮึก ฮือ~”“ที่ร้องไห้นี่คือดีใจใช่มั้ย?”เขาแสร้งหยอกอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู แต่เธอกลับบ่นกระปอดกระแปดพร้อมใช้กำปั้นเล็กๆทุบลงบนอกของเขาไปสองที“คนบ้า! ทำไมไม่บอกกันก่อนเล่าว่าจะขอแต่งงาน ฉันจะได้แต่งตัวสวยๆ”“เอ๊ะ! ที่ร้องไห้นี่...เพราะไม่ได้แต่งตัวสวยๆอย่างนั้นเหรอ แต่เดี๋ยวนะ ถ้าบอกก่อนแล้วจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์เหรอ? แต่ก็เอาน่าเมียผมสวยตลอดอยู่แล้ว ขนาดร้องไห้ยังสวยเลย”คนปากหวานเอ่ยชมเธอ
สายลมเอื่อยๆ ยามค่ำคืนพัดสัมผัสผิวกายคนทั้งสองที่กำลังพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินบนเก้าอี้ตัวยาวบริเวณดาดฟ้าของโรงพยาบาล โดยมีร่างสูงนอนหนุนตักคนตัวเล็กพร้อมเงยมองใบหน้าหวานซึ่งริมฝีปากกำลังเปล่งเสียงเจื้อยแจ้วออกมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหญิงสาวในชุดผู้ป่วยที่ปราศจากสายน้ำเกลือเชื่อมต่อรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้รับอิสระคืนมาอีกครั้ง หลังจากใช้ชีวิตอยู่โรงพยาบาลมาจะครบสองสัปดาห์แล้ว และคาดว่าน่าจะได้กลับบ้านเร็วๆนี้ ซึ่งอาจจะด้วยข่าวดีที่รู้มาว่าตนเองกำลังจะได้ออกจากที่นี่ทำให้คนช่างพูดช่างเจรจาส่งเสียงออกมาไม่ขาดสาย โดยมีผู้ฟังที่ดีนอนยิ้มให้กับท่าทางของเธอเป็นครั้งคราวดวงตากลมโตมองไปยังวิวเบื้องหน้าที่มีแสงสีส่องสว่างออกมาตามตึกสูงระฟ้า เสียงแตรจากรถราสัญจรไปมาดังเป็นระยะตามแบบฉบับของเมืองศิวิไลซ์ที่ค่อนข้างวุ่นวาย จนเธออดที่จะคิดถึงบรรยากาศเก่าๆ ตอนนั่งดูดาวกับชายหนุ่มที่ภาคเหนือไม่ได้อย่างน้อยๆ วันนี้คนข้างกายของเธอก็ยังคงเป็นเขาและการได้ออกมาแบบนี้มันก็ย่อมดีกว่าต้องนอนอุดอู้ภายในห้องทั้งวัน และเหนือสิ่งอื่นใดกลับมีสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจอยู่อย่างหนึ่งก็คือ บนนี้มีการตกแต่งด้วยโค
ช่วงค่ำของวันเดียวกัน...ชายหนุ่มเดินเข้ามาในห้องพร้อมนำของพะรุงพะรังพวกนั้นวางลงบนโต๊ะ หลังออกไปเลือกซื้อของใช้ที่จำเป็นมาจากห้างสรรพสินค้าใกล้ๆ แล้วถือถุงอีกใบติดมือไปทางหญิงสาวที่เอนหลังดูทีวีอยู่โดยไม่สนใจเขาแม้แต่น้อย“ไม่สนใจกันเลยนะ” พูดพลางหย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วดึงหนังสือประมาณสี่ห้าเล่มออกมาจากถุง พร้อมวางลงบนตักเธอเบาๆ ซึ่งมีทั้งนิตยสารเกี่ยวกับคุณแม่มือใหม่และเครื่องประดับต่างๆ แต่เล่มที่ดูจะสะดุดตาเธอคงจะเป็นนิตยสารที่มีนักแสดงสาวชื่อดังอย่างแคนเดิลปรากฏอยู่บนหน้าปกในคอลเล็คชั่นถ่ายแบบชุดแต่งงานแบรนด์ดังดารินเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงเพราะพึ่งเห็นนักแสดงคนโปรดถ่ายแบบชุดแต่งงานเป็นครั้งแรก ก่อนจะหยิบรีโมทกดปิดทีวีอย่างรวดเร็วเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าอยู่ตรงหน้าแล้ว อย่างที่รู้ๆกัน หากใครมีไอดอลในดวงใจและไม่ว่าคนๆนั้นจะทำอะไร เรามักจะชื่นชอบ ชื่นชมและยินดีในทุกเรื่อง“โห! สวยจัง”หญิงสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น จนคนที่มองอยู่ถึงกับอมยิ้มให้กับท่าทางนั้น‘เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงดูตื่นเต้นอย่างกับได้ใส่ชุดพวกนั้นเอง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ดีใจที่เธอดูมีความสุขเป
สัปดาห์ต่อมา...“มันไม่โหดไปเหรอคะ” ร่างเล็กที่นอนติดเตียงอยู่เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มเอ่ยถามเสียงแผ่ว หลังจากเลขาคนสนิทของชายหนุ่มขอปลีกตัวออกไปข้างนอกเพื่อให้พวกเขาได้อยู่กันตามลำพังช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองจะดีขึ้นมากเป็นพิเศษ หลังจากทำการเซ็นยกเลิกสัญญาฉบับนั้นกันเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มยังคงทำหน้าที่ดูแลเธอได้ไม่ขาดตกบกพร่องอีกต่างหากประโยคก่อนหน้าที่ดารินเอ่ยออกมาก็เพราะได้ฟังคำรายงานบางอย่างจากปากของอคิน ซึ่งเป็นข่าวที่ทำให้ใบหน้าเรียบนิ่งของภาคินัยมีแววพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด และข่าวดีที่ว่าก็ไม่พ้นเรื่องราวที่เขาให้ไปจัดการตอนนี้คนก่อเหตุอย่างอันนากำลังได้รับโทษทางกฎหมายในสิ่งที่ตัวเองก่อ และมันไม่ใช่แค่นั้นเพราะเขาขุดคุ้ยเบื้องหลังอันเน่าเฟะของบริษัทที่เธอก่อตั้งขึ้นแบบไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้นอันนาจะมีคดีความติดตัวสองคดี และคาดว่าจะมีมาอีกเรื่อยๆเพราะมีคนบางกลุ่มออกมาฟ้องร้องถึงค่าเสียหายต่างๆ ที่เธอเคยฉ้อโกงไว้ ไม่ช้าไม่นานเธอก็ไม่ต่างจากบุคคลล้มละลาย“ไม่เห็นจะโหดตรงไหนเลย มันก็คู่ควรกับการกระทำของเธอ เพราะคนเราทำอะไรไว้ก็ย่อม