“เก็บของ แต่ว่า…”“ข้าทำสีหกไปเล็กน้อย เจ้า…รีบไปเก็บของแล้วตามข้าออกมาเถอะ เกาหาน เราไปรอทางโน้นเถอะ”“พ่ะย่ะค่ะ”ฉินเกาหานหันไปมองหยุนเฟยที่เดินกลับไปเก็บของตามคำสั่งท่านอ๋องและหันมามองพระพักตร์ท่านอ๋องที่มองเขาเช่นกัน สายตาของความหวงนั้นไม่มีแววโกหกเลยสักนิดและท่านอ๋องก็เริ่มเปลี่ยนเรื่องคุย“วันนี้เจ้าไปปิดจวนสกุลฟ่งมางั้นหรือ เห็นว่าพบกับฟ่งลี่เซียน นางเป็นอย่างไรบ้าง”“เรื่องนี้ไม่หลุดรอดสายพระเนตรของท่านอ๋องเลยนะพ่ะย่ะค่ะ”“คนของข้าบังเอิญผ่านไปพบเท่านั้น”“นาง…เพียงแค่อยากเข้าไปร่ำลาที่จวนกระหม่อมก็เลย…”“เรื่องนั้นไม่โทษเจ้าหรอก เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว บาดแผลนางเหมือนจะหายดีแล้วสินะ”“เท่าที่ดูท่าทางนางวันนี้ก็ดูเหมือนจะยังไร้เรี่ยวแรงอยู่ น่าจะยังไม่หายดีเท่าไหร่พ่ะย่ะค่ะ พระองค์ไม่คิดว่า….”“นี่เจ้าคงกำลังนึกตำหนิข้าว่าไร้น้ำใจอยู่ใช่หรือไม่ที่ไม่แม้แต่จะไปเยี่ยมนาง หรือแสดงความรับผิดชอบกับนางเลย”“กระหม่อมมิกล้า”“แต่สายตาเจ้ามันบอกข้าเช่นนั้น แต่เอาเถอะข้าเข้าใจดี คนทั่วไปก็คงมองไม่ต่างกับเจ้า สตรีสูงศักดิ์งดงามมารยาทเพียบพร้อมมีความรู้ความสามารถ เสี่ยงชีวิตเข้าปกป้องข้า แ
“ท่านอ๋องเพคะ ถ้าหากว่าเรื่องราวมันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคิด พระองค์จะ….”“เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น เจ้าพูดเหมือนกับเจ้าสามารถรู้หรือคาดเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าได้กระนั้น”“มิใช่เพคะเพียงแต่หม่อมฉันเพียงแค่คิดเท่านั้น”“แม้ว่าเรื่องใดจะเปลี่ยนไป ข้าก็ยังมั่นใจว่าข้าไม่มีทางเปลี่ยนใจไปจากเจ้าอย่างแน่นอน”ท่านอ๋องกล่าวจบจึงดึงนางเข้ามาสวมกอดอีกครั้ง หยุนเฟยซบลงที่อกนุ่มของเขา จากนี้ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นนางก็เพียงแค่ตั้งรับร่วมกันกับเขาเท่านั้น หากพ้นฤดูใบไม้ร่วงนี้ไปได้ เหตุการณ์ต่าง ๆ ก็จะเปลี่ยนไปจากในนิยายโดยสิ้นเชิง ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่านางจะยังมีชีวิตอยู่และเรื่องในตอนนี้ก็จะหลุดกรอบจากนิยายที่เคยอ่านไปได้ในที่สุดจวนของฟ่งลี่เซียน“ว่าอย่างไรนะ ท่านอ๋องกับฟางหยุนเฟยจะหมั้นหมายกันงั้นหรือ”“ใช่ แต่ว่าข้าเห็นว่าเจ้ายังบาดเจ็บอยู่แต่ท่านอ๋องนอกจะไม่ได้มาเยี่ยมมาสนใจแล้วยังมีข่าวว่าจะหมั้นกับ...ฟางหยุนเฟย นี่ลี่เซียนข้าฟังมายังทนฟังแทบไม่ได้เลยนะเจ้าไม่คิดจะจัดการอย่างไรบ้างหรือ”ชุนลี่ถิงเอ่ยขึ้น หลังจากที่ลี่เซียนย้ายมาที่นี่ นางพึ่งจะได้มาเยี่ยมเพราะก่อนหน้านั้นลี่เซียนเอาแต่เก็บตัว
“แย่แล้ว หากยังอยากมีชีวิตอยู่ ข้าก็ไม่ควรไป ไม่ได้ ๆ หากไม่ไปจะยิ่งมีพิรุธแล้วอีตาอ๋องไม่น่าจะยอมเป็นแน่ เดี๋ยวก่อน!! ก็ข้าไม่ได้เป็นผู้วางยาเขานี่ จะต้องกลัวสิ่งใดอีกเล่า ครั้งนี้หากข้าไม่ลงมือ ท่านอ๋องก็ต้องปลอดภัยสิ ใช่ หากข้าไม่ทำเรื่องทุกอย่างก็จะไม่เกิดขึ้น มานั่งกังวลสิ่งใดกัน นอนดีกว่า”ฟางหยุนเฟยล้มตัวลงนอนได้อย่างสบายใจเมื่อสรุปเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ แม้ว่าฝันนั้นอาจจะมาบอกลางบอกเหตุอะไรสักอย่างแต่เมื่อนางตื่นขึ้นมาและเดินทางไปยังที่โรงเรียน นางก็ลืมเรื่องราวเกี่ยวกับฝันนั้นทั้งหมดเพราะนางกำลังเพลิดเพลินกับการทดลองใช้สีที่พึ่งทำขึ้นเองเมื่อคืนนี้และเด็ก ๆ เองก็รู้สึกสนุกกับงานศิลปะในครั้งนี้ด้วย“ว้าวมันยอดเยี่ยมจริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะอาจารย์ฟาง”“ชุนเต๋อ นี่เจ้ากำลังวาดมังกรหรือ งดงามมากเจ้ามีพรสวรรค์นะนี่ ฝึกต่อไปนะ อาเฉิง โอ้โห นี่เจ้าวาด….”“ป่าไม้ขอรับอาจารย์ฟาง ข้าอยากให้ที่นี่มีป่าเช่นนี้มาก ๆ มีลำธารและมีสัตว์เหมือนกับ….”นางเข้าใจว่าเด็ก ๆ มิใช่คนที่อยู่เมืองหลวง ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาที่นี่เขาเคยอยู่ที่ชนบทมาก่อนอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวที่อบอุ่นแต่ที่นี่เขามาพ
ฉินเกาหานรอให้พวกนางขึ้นรถม้าเสร็จเขาจึงควบอาชาคู่ใจวิ่งตามไปข้าง ๆ รถม้าของทั้งคู่ ตลอดทางจนถึงจวนสกุลฟางนั้นเมื่อมีเขาคอยคุ้มกันจึงมิได้มีอันตรายใดเกิดขึ้น เมื่อถึงจวนแล้วทั้งสองจึงชวนแม่ทัพฉินเข้าไปดื่มชาก่อน“แต่ว่า นี่ก็ดึกแล้ว”“ท่านแม่ทัพอย่าได้เป็นห่วงเลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อเองก็ยังไม่กลับในจวนมีแต่พวกข้าที่เป็นผู้หญิงมีท่านอยู่พวกข้าก็โล่งใจอีกหน่อย คิดว่าอีกไม่นานท่านพ่อก็คงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ฉินเกาหานทำท่าลังเลอยู่เล็กน้อย นี่ก็ค่ำแล้วหากว่าเขาเข้าไปในจวนสกุลฟางแม้ว่าสิ่งที่หลีเม่ยกล่าวมาจะเป็นเรื่องที่น่าห่วงก็จริงแต่พวกนางอาจจะเสียหายได้ และอีกอย่างฟางหยุนเฟยก็ยังเป็นว่าที่คู่หมั้นของท่านอ๋อง“ท่านแม่ทัพ ถือว่าข้าขอร้องเถอะเจ้าค่ะเข้ามาดื่มชาเพื่อเป็นการขอบคุณสักจอกก็ยังดี พี่ใหญ่สอนข้าหมักชาเองอยากให้ท่านลองชิมดูเจ้าค่ะ”“เอ่อ…เช่นนั้น…”“มาเถอะเจ้าค่ะพี่เกาหาน เกรงว่ามัวแต่ถกเถียงกันอยู่ตรงนี้คงจะหนาวตายกันพอดี อาเม่ยนางคงไม่ยอมให้ท่านกลับมือเปล่าเช่นนี้เป็นแน่เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนแล้ว”เขาเดินตามทั้งสองเข้าไปในจวน ฟางหลีเม่ยแจ้งฮูหยินแล้วว่าท่านแม่ทัพแวะมาดื่มช
หยุนเฟยอมยิ้มพร้อมกับมองสบพระเนตรท่านอ๋องที่ยืนตรงหน้า เขาหันมามองนางพลันนึกโมโหเล็กน้อยที่นางเอาแต่ขำเขาที่พูดเรื่องนี้“หยุนเฟยเหตุใดต้องหัวเราะข้า เจ้าขำอะไรงั้นหรือ”“หม่อมฉันมิได้ขำนะเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ เขาเรียกว่า อมยิ้มอย่างอาย ๆ เพคะ”“เจ้าอายหรือ”“เหตุใดพระองค์เป็นคนเถรตรงถึงเพียงนี้เพคะ คิดสิ่งใดก็พูดออกมาเช่นนี้เลยหรือเพคะ”“ก็ข้า….โกหกไม่เป็น ยิ่งต่อหน้าเจ้าหากคิดว่าจะโกหก เพียงแค่คิดก็เหงื่อแตกและมีพิรุธแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะโกหกสิ่งใดเจ้าไม่ได้เลย สายตาเจ้าราวกับอ่านหัวใจข้าออกซึ่งข้าเองก็บอกไม่ถูก”(ไม่ใช่อ่านออกอย่างเดียว ข้ายังรู้ทั้งนิสัยใจคอและสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ด้วยเพียงแต่ว่าในตอนนี้….เรื่องราวมันกลับไม่เหมือนเรื่องที่ข้าอ่านมาเท่านั้น)“หยุนเฟยเจ้าทำเช่นนี้อีกแล้ว”“หม่อมฉันทำสิ่งใดหรือเพคะ”“เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือ เจ้าชอบมองเหม่อออกไปราวกับคิดอะไรอยู่และก็ไม่บอกข้าราวกับเจ้าทำมันโดยไม่รู้ตัว ก่อนหน้านี้…เจ้าที่ข้าเคยพบเห็นและรู้จักจะมิใช่แบบนี้เลย”“ก่อนหน้านั้นหม่อมฉันเป็นเช่นไรหรือเพคะ พระองค์ทรงเล่าให้ฟังได้หรือไม่เพคะ”“ช่างเถอะ ๆ เรื่องมันผ่านไปแล้วข
“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่หันไปหยิบเถาปิ่นโตของตนเองที่หยุนเฟยจัดมาให้เขาและค่อย ๆ เปิด เขาเองก็แอบวิตกเล็กน้อย หากว่าปิ่นโตของเขามีสิ่งใดที่แปลกกว่าอาหารของท่านอ๋อง คราวนี้ไม่รู้ว่าเขาจะอดกินอาหารปิ่นโตนี้เลยหรือไม่ หากรู้ว่าท่านอ๋องจะขี้หึงถึงเพียงนี้เขาไม่ควรเอาปิ่นโตของเขาเข้ามาด้วยเลย โชคดีที่อาหารของเขาแม้ว่าจะเหมือนของท่านอ๋องแต่ก็มีไม่มากและหลากหลายเท่าท่านอ๋องซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นนายรู้สึกพอใจจนยิ้มออกมา จื่อลู่เองก็โล่งใจเมื่อท่านอ๋องมิได้รับสั่งสิ่งใด“เจ้า…ออกไปกินเถอะ ข้าจะกินอยู่ที่นี่ ให้คนนำชามาให้ข้าก็พอ”“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่รีบเก็บปิ่นโตของเขาอย่างรวดเร็วและรีบเดินออกไปทันทีตามคำสั่ง ไม่นานนักก็มีคนเดินเข้ามาแต่พบกับจื่อลู่เสียก่อน“พวกเจ้ามาอีกแล้วงั้นหรือ”“ท่านองครักษ์ คือว่าคุณหนูของข้า…..”“ขออภัยวันนี้ท่านอ๋องไม่รับแขก เชิญพวกเจ้านำของกลับไปเถอะ”“แต่ว่าคุณหนูบอกว่าปิ่นโตนี้ตั้งใจทำเพื่อท่านอ๋องนะเจ้าคะ”“วันนี้คู่หมั้นของท่านอ๋อง ว่าที่พระชายาทำอาหารมาส่งท่านอ๋อง เกรงว่าคงมิอาจจะรับปิ่นโตของคุณหนูจางของพวกเจ้าได้ทางที่ดีนำกลับไปและบอกนางด้วยว่า ไม่ต้องพยายามถึงเพียงนี
ฟางหยุนเฟยมองใบหน้าที่สะสวยของสตรีตรงหน้าแต่ก็ไม่คุ้นเคยและไม่คิดว่าเคยพบที่ไหนมาก่อน แต่เหตุใดนางจึงมาที่นี่ในเวลานี้กันนะ “แม่นาง ข้าขอโทษแทนพวกเขาด้วย พวกเด็ก ๆ น่ะบางทีวิ่งก็ไม่ทันได้ดู เอาเช่นนี้เจ้าตามข้าเข้าไปข้างในข้าจะทำแผลให้เจ้าและจะให้พวกเขาขอโทษเจ้าด้วยดีหรือไม่”“ไม่ต้อง ข้าเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองคนใหม่ เจ้าควรพาคนที่นี่ทั้งหมดมาทำความเคารพข้าถึงจะถูก”หลีเม่ยและฉินเกาหานยืนอยู่หน้าโรงเรียน หลีเม่ยเห็นว่าสตรีผู้นี้อวดดีและไม่เกรงใจพี่สาวนางจึงไปช่วยแต่ท่านแม่ทัพฉินดึงแขนนางเอาไว้“ใจเย็นก่อนหลีเม่ย”“แต่นางว่าให้พี่ใหญ่ของข้านะเจ้าคะ”“เชื่อข้าเถอะ หยุนเฟยจัดการได้”“แต่ว่า…ข้าไม่ชอบเลย นางมาแอบดูอยู่ตรงนั้นแท้ ๆ แต่กลับโทษเด็ก ๆ ที่อยู่ที่นี่ แค่ขอโทษก็น่าจะจบแล้วนี่ นางยังสั่งให้พี่ใหญ่พาคนทั้งหมดมาเคารพนาง จะบ้าไปแล้วงั้นหรือ นางเป็นฮ่องเต้หรืออย่างไร”“เจ้านี่ท่าทางต่างกับพี่สาวเสียจริง ไม่ยอมผู้ใดเลยสินะ”“ท่านรู้จักข้าน้อยไปท่านแม่ทัพ”“หลีเม่ย เหตุใดเจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่เกาหานเหมือนกับหยุนเฟยเรียกล่ะ”หลีเม่ยมองเขาแวบหนึ่งและต้องรีบหลบสายตาท่านแม่ทัพฉินในทันท
ชาวบ้านเกือบทุกคนวิ่งมารายล้อมนาง รวมถึง เด็ก ๆ ที่วิ่งออกมาจากห้องเรียนเพื่อมานั่งคุกเข่าต่อหน้านางเพื่อทำความเคารพนาง“หากมิใช่ท่านที่สอนข้าวิชาคำนวณเหล่านั้น ข้าคงไม่มีวันจะอ่านออกเขียนได้และบวกเลขเป็นขอรับ”“ข้าคงไม่มีโอกาสได้วาดรูป ท่านอาจารย์ข้าเองก็ขอบคุณท่าน”“ข้าอ่านออกก็เพราะท่านอาจารย์เป็นผู้สอน อักษรตัวแรกที่ข้าเขียนได้ก็มาจากท่าน”""อาจารย์ รับคำขอบคุณนี้ไว้ด้วย""“พวกเจ้า….พวกท่าน…ทุกคน ลุกขึ้นเถอะ”ชาวบ้านพร้อมใจคำนับให้กับฟางหยุนเฟยอย่างเต็มใจพร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนคราบน้ำตาบนแก้ม หากวันนี้จางเหมยลั่วไม่มาที่นี่ พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสได้ปกป้องนางและไม่ได้บอกเรื่องในใจที่เก็บเอาไว้มานานเช่นนี้“พวกท่านลุกขึ้นเถอะเจ้าค่ะ เด็ก ๆ เร็ว ๆ เข้า ลุกขึ้น ๆ”“อาจารย์ฟาง อาหารที่ท่านสอนให้ข้าทำ ข้าเอาไปขายทุกวันก็เกือบไม่พอขาย พวกเราทุกคนที่นี่หากินเลี้ยงชีพได้ก็เพราะมีท่านที่เป็นผู้สอนนะเจ้าคะ”“สิ่งที่พวกเราทำไปมันไม่มากเลยขอรับอาจารย์ฟาง”“ทุกท่าน ข้าแทบจะลอยขึ้นฟ้าได้แล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณทุก ๆ คนเลยเจ้าค่ะที่เชื่อมั่นในตัวข้าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้าทำคนเดียวจะสำเร็จ ยังมีเหล่าท่าน
ทางด้านฉินเกาหานเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็พาหลีเม่ยเดินมายังด้านหลังและได้ยินข่าวดีของพระชายากับท่านอ๋องว่านางตั้งครรภ์“ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่”“ท่านอ๋องคงพานางกลับไปที่จวนแล้ว ยังมีเวลาอีกมากเราค่อยไปทีหลัง มานี่ก่อน”“ไปไหนเจ้าคะ”“ตามข้ามา จะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”เขาอุ้มนางขึ้นหลังม้าคู่ใจในทันที หลีเม่ยที่ไม่เคยขี่ม้าถึงกับต้องคว้ารอบคอของเจ้าม้าเอาไว้เพราะกลัวตกเมื่อเกาหานขึ้นมานั่งกับนางจึงค่อย ๆ จัดท่าให้นางใหม่“มีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกลัวตกหรอก จับตรงนี้อย่าไปดึงขนมันเดี๋ยวมันจะโมโห”“เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ ข้าไม่เคยนั่งหลังม้า ว้าย!!”เขาพานางวิ่งออกไปทันทีเพราะผ่านเวลามานานแล้ว เขาควบทะยานออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็วเมื่อสิ้นทางชุมชนแล้ว หลีเม่ยหลับตาไม่กล้ามองเพราะความเร็วของม้านั้นทำให้นางตาพร่ามัวจนม้าค่อย ๆ ไต่เขาขึ้นไปนางจึงกล้าลืมตาอีกครั้ง“เราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ”“ยอดเขานี้แหละ ไม่ไกลหรอก”“ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”“พาเจ้าไปชื่นชมความงามของทุ่งดอกไม้ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอันตราย”“ตัวท่านต่างหากที่อันตรายต่อหัวใจข้า”“ข้าได้ยินเจ้าพูดนะหลีเม่ย”ม้าค่อย ๆ ขึ้นไปยั
ยี่สิบสองวันถัดมาหลังจากพิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่ผ่านไปแล้ว ชาวบ้านที่หมู่บ้านฟางหมิงยังคงคึกคักไม่หยุดเพราะยังเหลืองานใหญ่อีกหนึ่งงานนั่นคือ "พิธีปักปิ่น" ของสตรีที่มีอายุครบสิบเจ็ดปีในปีนี้ ซึ่งได้รับพระราชานุญาตจากฝ่าบาทและฮองเฮาจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสตรีที่อยู่ในหมู่บ้านและในเมืองหลวงที่อยากเข้าร่วมพิธีอันทรงเกียรตินี้“อาเม่ยอยู่เฉย ๆ สิอย่าดิ้น”“ท่านแม่ผิวข้าจะแตกแล้ว โอ๊ย!!”ฟางหลีเม่ยบ่นเมื่อมารดาและอาหงซึ่งตอนนี้ต้องมาดูแลขัดผิวให้นางหลังจากจบภารกิจส่งพระชายาท่านอ๋องเข้าตำหนักไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ในจวนสกุลฟางต่างวุ่นวายเรื่องการจัดเตรียมงานปักปิ่นให้หลีเม่ยเพราะนอกจากเป็นพิธีที่เป็นทางการแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นงานหมั้นระหว่างนางและแม่ทัพ “ฉินเกาหาน” อีกด้วย“หากว่าหยุนเฟยเห็นว่าเจ้าแอบหนีไม่ยอมทำละก็นางจะว่าเอาได้นะ พิธีนี้สำคัญยิ่ง เจ้าดูสิแม่ทัพฉินพาคนมาจัดเตรียมมากมายเพื่อเจ้าแล้วดูเจ้าสิ”“พี่เกาหานก็ทำตามหน้าที่ งานนี้ฮองเฮาทรงเป็นผู้จัดขึ้นมาเพื่อทุกคน หาใช่ข้าคนเดียวไม่ ท่านแม่ท่านก็รู้ว่าข้ามิได้ชอบงานเช่นนี้”“เอาล่ะ ๆ อย่าบ่น”“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนู...เอ่อ พระชายาเสด็จ
เขาไม่รอช้าเมื่อนางถึงสวรรค์ไปก่อนด้วยนิ้วของเขา นั่นแสดงว่านางเองก็คงกลั้นความคิดถึงเอาไว้เหมือนกับเขา ร่างแกร่งสอดใส่ประสานรักกับนางอย่างรวดเร็ว คนใต้ร่างส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงดังของร่างทั้งสองแต่ท่านอ๋องเองก็ทนได้ไม่นานเช่นกัน เขาตามนางไปติด ๆ ในเวลาไม่นาน“อาาา หยุนเฟย เพียงได้กลิ่นเจ้าข้าก็….เอาไว้แก้ตัวรอบหน้า อึ๊ยยย!!”น้ำรักอุ่น ๆ ถูกฉีดพ่นเข้าไปด้านในสุดแรง หยุนเฟยเปลี่ยนมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นบ้าตายเพราะร่างที่งดงามและขาวดุจฝ้ายบริสุทธิ์ ผิวนุ่มลื่นดุจแพรไหมเมื่อนางเริ่มขยับเอวเพื่อควบคุมเขาทำเอาเขาแทบคลั่งตาย“อาา หยุนเฟย อย่าเร่ง ข้าจะ…แตก…อาาา”“เว่ยหราน ….อื้อ….ท่านพี่ อ๊าาา ดึงแรง ๆ แรงอีก อ๊าา”นางจับมือหนาของเขาให้มาช่วยจับหน้าอกทั้งสองของนางเพื่อเร่งจังหวะให้นาง ความเสียวเข้าเล่นงานนางจนแทบจะหลอมละลายคาเตียงไปพร้อมกับเขา ไฟรักถูกจุดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลามีหรือทั้งคู่จะยอมหยุด“อ๊าา อีกไม่นานแล้ว ท่านพี่ ข้า…อ๊าา”“ก้มลงมาหน่อย ขอกินนมหน่อย อ๊าาา”“อ๊าา เว่ยหราน ทนไม่ไหว….อย่าเด้งมาถี่ หม่อมฉัน…จะ…เสร็จ…อ๊าาา”นึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ห่างกันจะสาม
ท่านอ๋องที่ท่าทีฉุนเฉียวเดินมานั่งรอพวกเขาที่โต๊ะในระเบียงก่อนจะออกไปที่สวน เขามองเห็นเถาปิ่นโตที่หลีเม่ยถือมาแล้วก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้น หรือว่าหยุนเฟยจะทำอาหารมาให้เขากันนะ“นั่นเจ้าเอาอะไรมาด้วยอาเม่ย”“พี่เขย นะ…นี่….พี่ใหญ่เกรงว่าท่านจะไม่ยอมกินข้าวก็เลย…”“เอามาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า”เกาหานยกเถาปิ่นโตหลายชั้นส่งให้ท่านอ๋องทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาเห็นก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าพลังแห่งรักจะทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ เขานึกว่าท่านอ๋องเป็นบ้าไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวฉุนเฉียว อีกเดี๋ยวก็ยิ้มเพียงแค่เห็นเถาปิ่นโตที่ถูกส่งมาจากว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง“เจ้าขำอะไรเกาหาน”“อะแฮ่ม กระหม่อม…มิได้ขำพ่ะย่ะค่ะ”“อย่าให้ถึงคราวเจ้าบ้างก็แล้วกัน ข้าจะรอดูเจ้าทรมาน”“ท่านอ๋องอย่าทรงขู่เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นทหารนะพ่ะย่ะค่ะ ย่อม….อดทนได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”“หึ แล้วข้ามิใช่ทหารงั้นหรือ ข้าจะรอดูเจ้าทุรนทุราย นี่อะไรขนมที่นางทำเองงั้นหรือ มะ…มีจดหมายด้วย”“ท่านอ๋องเพคะ ยังมีนี่ด้วยเพคะ พี่ใหญ่กำชับมาว่าให้ส่งให้พระองค์….”เขารีบคว้าซองจดหมายที่อบร่ำกลิ่นมาอย่างดีพร้อมกับมองของที
สำนักศึกษา เทียนเป่าฟางหมิง เหล่าชาวบ้านกำลังเตรียมอาหารและม่านมงคลเพื่อประดับตามที่ต่าง ๆ เนื่องในวันมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกสองงานในเร็ววันนี้งานแรกคงไม่พ้นงานสมรสพระราชทานที่มีฮองเฮาเป็นเจ้าภาพ ทรงโปรดเกล้าฯให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกันที่สำนักศึกษาและส่งตัวที่เรือนหอพระราชทานของท่านอ๋องอีกงานหนึ่งก็คือพิธีปักปิ่นของสตรีครบวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งปีนี้ได้รับพระราชทานพิเศษจากฝ่าบาทให้จัดที่นี่เพื่อเป็นเกียรติกับเหล่าสตรีในเมืองหลวง“เร็ว ๆ เข้า ต้องทำสุดฝีมือเลยนะพวกเรา หัวไชเท้าวางตรงนี้ นั่น ๆ พวกเจ้าเอาผักกาดไปล้างเร็ว ๆ เข้าอย่าได้พลาดเชียว”“ท่านป้า เห็ดหอมนี่ได้มามากเลยให้เอาไว้ที่ใด”“เอาไปวางไว้ในครัวเลย หลานฮูหยินรออยู่เร็ว ๆ เข้า”ในโรงครัวที่สร้างขยายขึ้นชั่วคราวเริ่มวุ่นวายเมื่อของและผักสด ๆ เริ่มทยอยนำมาส่งจากแปลงผักสวนใหม่ของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เนินเขาที่นั่นพื้นที่กว้าง อากาศดีและยังมีลำธารที่ไหลมาจากภูเขาไหลผ่าน ผักที่ปลูกจากที่นั่นทั้งโตไวและงดงามขายได้ราคา ชาวบ้านที่นี่เริ่มมีรายได้มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มมีโรงงานทอผ้ามาตั้งเพิ่มแล้วเพราะท่านเจ้าเมืองเริ่มอนุญาตให้ขยายที
“หม่อมฉันหิวแล้วเพคะ”“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”“หม่อมฉันอยากทำบะหมี่กินเองเพคะ”“เจ้ายังลุกไหวงั้นหรือ ให้คนทำให้ดีกว่าหรือไม่”“แต่หม่อมฉันอยากทำบะหมี่ให้พระองค์เสวย ที่นี่เป็นเรือนหอของเรามิใช่หรือเว่ยหราน หม่อมฉันอยากทำหน้าที่ภรรยาที่ดีบ้าง”“อืม…เช่นนั้นข้าจะไปช่วยเจ้า เราช่วยกันทำดีหรือไม่”“พระองค์ทำเป็นหรือเพคะ”“ก็…ช่วยเจ้านวดแป้งก็พอได้ ข้าแรงเยอะนะ แม้ว่าจะถูกเจ้าดูดพลังไปมากก็ยังพอมีเหลืออยู่”“เช่นนั้นก็ได้เพคะ”ห้องครัวหยุนเฟยพึ่งค้นพบความสุขที่เรียบง่ายที่สุดที่นางเคยเฝ้ารอมาทั้งชีวิต การทำบะหมี่ให้คนที่รักกินและได้ทำครัวร่วมกัน สอนท่านอ๋องนวดแป้งเพื่อทำบะหมี่สำหรับพวกเขาสองคน“แรงกว่านี้หน่อยสิ ไหนท่านบอกว่าแรงยังเหลืออยู่อย่างไรเพคะ”“ก็เจ้าไม่ได้บอกนี่ว่าต้องนวดท่าเดียวนี่นานขนาดนี้ วันนั้นฮูหยินกับพวกท่านป้าทำอย่างไรกันนะ มีความอดทนกันเกินไปแล้ว งานเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้าจริง ๆ”“เว่ยหราน ท่านรับปากแล้วว่าจะทำ”“ข้าก็ไม่ไ่ด้บอกว่าจะไม่ทำเสียหน่อย มานี่หน่อยสิมีอะไรติดหน้าเจ้าแน่ะ”หยุนเฟยเดินเข้าไปหาเขาและโดนท่านอ๋องขโมยจูบไปอีกครั้ง หยุนเฟยยอมให้เขาจูบเพราะกลัวว
ท่านอ๋องหันมามองหน้านางที่ยิ้มอย่างจริงใจพร้อมกับเดินเข้ามาเบียดกายจนชิดเขา ท่านอ๋องลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ท่าทางที่น้อยใจนางเมื่อครู่ลดลงราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แต่เขาจะไม่ให้อภัยนางง่าย ๆ หรอก“อย่าเลย วันนี้เย็นแล้ว ข้าพาเจ้ากลับ…หยุนเฟย เจ้าจะไปไหน”นางเดินนำเขาเข้าไปด้านใน ในเมื่อเขายืนยันจะกลับแต่หากนางเดินเข้ามาเขาก็ไม่กล้าขัดใจนางหรอก หยุนเฟยเดินสำรวจทีละห้องอย่างพอใจแต่ก็ติติงเกี่ยวกับการจัดห้องและเริ่มบอกกับท่านอ๋องให้โยกย้ายบางอย่างจนท่านอ๋องนึกแปลกพระทัยขึ้นมา“โต๊ะนี่ตั้งตรงนี้ไม่เหมาะ เวลาแดดส่องจะทำงานไม่ได้แม้ว่าแสงจะส่งมาเพียงพอ กลับอีกทางจะดีกว่า ม่านตรงนี้เอาออกเพราะมันจะพัดออกไปและดึงเศษใบไม้เข้ามา โคมไฟนี่เอามาตั้งตรงนี้ได้เช่นไรเพคะ เสี่ยงมากเวลาลมพัดแรงอาจจะทำให้ไฟไหม้ขึ้นได้ เอาออกมา”ท่านอ๋องต้องรีบยกของที่นางชี้ทีละอย่างและโยกย้ายจนกว่านางจะพอใจเพราะวันนี้เขาไม่ได้พาจื่อลู่มาด้วย เขาเลยต้องเหนื่อยยกเองทีละอย่างจนเดินมาถึงในห้องบรรทมที่ถูกจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ที่นี่เป็นที่เดียวที่หยุนเฟยไม่สั่งให้ท่านอ๋องย้ายอย่างอื่นไป“หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะขอพักสักครู่”“ข
“ว่าอย่างไรนะเพคะ ช่างเด็ดขาดนัก”“หยุนเฟย คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์รุนแรงและโหดเหี้ยมอีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับคนในราชวงศ์ และคนร้ายยังเป็นถึงพระสนมด้วย ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยเอาไว้นานหรอก”“แต่ว่าท่านพ่อเจ้าคะ เช่นนี้แล้วสกุลชุนจะยอมหรือเจ้าคะ”“แม้แต่ใต้เท้าชุนเหลียงบิดาของนางยังถูกลดขั้นเหลือเพียงขุนนางขั้นสี่จากตำแหน่งรองเจ้ากรมขุนนาง ครั้งนี้ฝ่าบาทเห็นว่าเขาเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และไม่ได้รู้เห็นกับบุตรสาวจึงยังไม่ปลดเขาออกก็นับว่าโชคดี"“จบสิ้นจริง ๆ สักทีสินะ”ท่านอ๋องหันไปมองหน้าท่านราชครู เขายิ้มและพยักหน้ากลับคืนมาให้ท่านอ๋องจึงได้กล่าวออกมา“เรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว พวกเราเองก็คงต้องเตรียมตัวแล้วนะหยุนเฟย”“เตรียมตัวหรือเพคะ”“ใช่ พ่อพึ่งออกมาจากวัง ฝ่าบาทแจ้งว่าฮองเฮาทรงโปรดปรานเจ้ามากหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง รับสั่งว่าจะเป็นประธานเปิดสำนักศึกษาแห่งใหม่และให้เจ้าดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่”“จริงหรือเจ้าคะ ข้าจะได้เป็น….อาจารย์ใหญ่เลยหรือเจ้าคะ”“ใช่ จากนี้เจ้าต้องตั้งใจ อย่าทำให้ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงผิดหวัง”“เจ้าค่ะท่านพ่อลูกสัญญาว่าจะตั้งใจเจ้าค่ะ”“อีกอย่าง ข้าเองก็ขอให้ฝ่าบาทเร
“จำได้สิเพคะ ก็หม่อมฉันบอกแล้วว่าจะหาวิธีที่จะทำให้พระสนมเว่ยและชุนลี่ถิงสารภาพความผิด หม่อมฉันจึงแกล้งว่าผีของจางเหมยลั่วเข้าสิงและบีบให้นางพูดก็ได้ผลมิใช่หรือเพคะ ชุนลี่ถิงกลัวจนยอมพูดออกมาแล้วจากนั้นหม่อมฉันก็สลบไป”ท่านอ๋องมองนางและรู้สึกเป็นห่วงนางอย่างมาก แม้ว่านางจะเล่ามาเช่นนี้นั่นแสดงว่าหลังจากเรื่องนี้แล้วนางไม่รู้สึกตัวเลยงั้นหรือ หยุนเฟยราวกับรู้ว่าต้องเกิดเรื่องที่ผิดปกติขึ้นแน่หลังจากที่นางสลบไปแล้ว“เว่ยหรานหรือว่าหลังจากที่หม่อมฉันสลบไป ยังมีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นหรือเพคะ”“นี่เจ้า….มิได้แกล้งเป็นฟ่งลี่เซียน ต่อจากที่….”“ฟ่งลี่เซียน!! ไม่นะเพคะก็เราตกลงกันแค่ว่าหม่อมฉันแกล้งเป็นเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นและนางก็สารภาพแล้วนี่เพคะ”ท่านอ๋องรีบดึงนางเข้ามากอดด้วยความกลัวที่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง โชคดีมากจริง ๆ ที่นางไม่เป็นอะไรไป โชคดีที่ฟางหยุนเฟยแค่มาลาเท่านั้นและฟ่งลี่เซียนเพียงแค่ต้องการมาแก้แค้นชุนลี่ถิงโดยผ่านร่างของนาง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ การที่เขาและท่านราชครูยอมให้นางแสดงละครเพื่อจับคนร้ายแต่ผลที่ตามมากลับน่ากลัวเกินคาดเดา หากรู้เช่นนี้คงไม่ยอม