“แย่แล้ว หากยังอยากมีชีวิตอยู่ ข้าก็ไม่ควรไป ไม่ได้ ๆ หากไม่ไปจะยิ่งมีพิรุธแล้วอีตาอ๋องไม่น่าจะยอมเป็นแน่ เดี๋ยวก่อน!! ก็ข้าไม่ได้เป็นผู้วางยาเขานี่ จะต้องกลัวสิ่งใดอีกเล่า ครั้งนี้หากข้าไม่ลงมือ ท่านอ๋องก็ต้องปลอดภัยสิ ใช่ หากข้าไม่ทำเรื่องทุกอย่างก็จะไม่เกิดขึ้น มานั่งกังวลสิ่งใดกัน นอนดีกว่า”ฟางหยุนเฟยล้มตัวลงนอนได้อย่างสบายใจเมื่อสรุปเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ แม้ว่าฝันนั้นอาจจะมาบอกลางบอกเหตุอะไรสักอย่างแต่เมื่อนางตื่นขึ้นมาและเดินทางไปยังที่โรงเรียน นางก็ลืมเรื่องราวเกี่ยวกับฝันนั้นทั้งหมดเพราะนางกำลังเพลิดเพลินกับการทดลองใช้สีที่พึ่งทำขึ้นเองเมื่อคืนนี้และเด็ก ๆ เองก็รู้สึกสนุกกับงานศิลปะในครั้งนี้ด้วย“ว้าวมันยอดเยี่ยมจริง ๆ ด้วยเจ้าค่ะอาจารย์ฟาง”“ชุนเต๋อ นี่เจ้ากำลังวาดมังกรหรือ งดงามมากเจ้ามีพรสวรรค์นะนี่ ฝึกต่อไปนะ อาเฉิง โอ้โห นี่เจ้าวาด….”“ป่าไม้ขอรับอาจารย์ฟาง ข้าอยากให้ที่นี่มีป่าเช่นนี้มาก ๆ มีลำธารและมีสัตว์เหมือนกับ….”นางเข้าใจว่าเด็ก ๆ มิใช่คนที่อยู่เมืองหลวง ก่อนหน้าที่พวกเขาจะมาที่นี่เขาเคยอยู่ที่ชนบทมาก่อนอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัวที่อบอุ่นแต่ที่นี่เขามาพ
ฉินเกาหานรอให้พวกนางขึ้นรถม้าเสร็จเขาจึงควบอาชาคู่ใจวิ่งตามไปข้าง ๆ รถม้าของทั้งคู่ ตลอดทางจนถึงจวนสกุลฟางนั้นเมื่อมีเขาคอยคุ้มกันจึงมิได้มีอันตรายใดเกิดขึ้น เมื่อถึงจวนแล้วทั้งสองจึงชวนแม่ทัพฉินเข้าไปดื่มชาก่อน“แต่ว่า นี่ก็ดึกแล้ว”“ท่านแม่ทัพอย่าได้เป็นห่วงเลยเจ้าค่ะ ท่านพ่อเองก็ยังไม่กลับในจวนมีแต่พวกข้าที่เป็นผู้หญิงมีท่านอยู่พวกข้าก็โล่งใจอีกหน่อย คิดว่าอีกไม่นานท่านพ่อก็คงกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”ฉินเกาหานทำท่าลังเลอยู่เล็กน้อย นี่ก็ค่ำแล้วหากว่าเขาเข้าไปในจวนสกุลฟางแม้ว่าสิ่งที่หลีเม่ยกล่าวมาจะเป็นเรื่องที่น่าห่วงก็จริงแต่พวกนางอาจจะเสียหายได้ และอีกอย่างฟางหยุนเฟยก็ยังเป็นว่าที่คู่หมั้นของท่านอ๋อง“ท่านแม่ทัพ ถือว่าข้าขอร้องเถอะเจ้าค่ะเข้ามาดื่มชาเพื่อเป็นการขอบคุณสักจอกก็ยังดี พี่ใหญ่สอนข้าหมักชาเองอยากให้ท่านลองชิมดูเจ้าค่ะ”“เอ่อ…เช่นนั้น…”“มาเถอะเจ้าค่ะพี่เกาหาน เกรงว่ามัวแต่ถกเถียงกันอยู่ตรงนี้คงจะหนาวตายกันพอดี อาเม่ยนางคงไม่ยอมให้ท่านกลับมือเปล่าเช่นนี้เป็นแน่เจ้าค่ะ”“เช่นนั้นข้าคงต้องขอรบกวนแล้ว”เขาเดินตามทั้งสองเข้าไปในจวน ฟางหลีเม่ยแจ้งฮูหยินแล้วว่าท่านแม่ทัพแวะมาดื่มช
หยุนเฟยอมยิ้มพร้อมกับมองสบพระเนตรท่านอ๋องที่ยืนตรงหน้า เขาหันมามองนางพลันนึกโมโหเล็กน้อยที่นางเอาแต่ขำเขาที่พูดเรื่องนี้“หยุนเฟยเหตุใดต้องหัวเราะข้า เจ้าขำอะไรงั้นหรือ”“หม่อมฉันมิได้ขำนะเพคะ หม่อมฉันเพียงแค่ เขาเรียกว่า อมยิ้มอย่างอาย ๆ เพคะ”“เจ้าอายหรือ”“เหตุใดพระองค์เป็นคนเถรตรงถึงเพียงนี้เพคะ คิดสิ่งใดก็พูดออกมาเช่นนี้เลยหรือเพคะ”“ก็ข้า….โกหกไม่เป็น ยิ่งต่อหน้าเจ้าหากคิดว่าจะโกหก เพียงแค่คิดก็เหงื่อแตกและมีพิรุธแล้ว ดูเหมือนว่าข้าจะโกหกสิ่งใดเจ้าไม่ได้เลย สายตาเจ้าราวกับอ่านหัวใจข้าออกซึ่งข้าเองก็บอกไม่ถูก”(ไม่ใช่อ่านออกอย่างเดียว ข้ายังรู้ทั้งนิสัยใจคอและสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ด้วยเพียงแต่ว่าในตอนนี้….เรื่องราวมันกลับไม่เหมือนเรื่องที่ข้าอ่านมาเท่านั้น)“หยุนเฟยเจ้าทำเช่นนี้อีกแล้ว”“หม่อมฉันทำสิ่งใดหรือเพคะ”“เจ้าไม่รู้ตัวเลยหรือ เจ้าชอบมองเหม่อออกไปราวกับคิดอะไรอยู่และก็ไม่บอกข้าราวกับเจ้าทำมันโดยไม่รู้ตัว ก่อนหน้านี้…เจ้าที่ข้าเคยพบเห็นและรู้จักจะมิใช่แบบนี้เลย”“ก่อนหน้านั้นหม่อมฉันเป็นเช่นไรหรือเพคะ พระองค์ทรงเล่าให้ฟังได้หรือไม่เพคะ”“ช่างเถอะ ๆ เรื่องมันผ่านไปแล้วข
“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่หันไปหยิบเถาปิ่นโตของตนเองที่หยุนเฟยจัดมาให้เขาและค่อย ๆ เปิด เขาเองก็แอบวิตกเล็กน้อย หากว่าปิ่นโตของเขามีสิ่งใดที่แปลกกว่าอาหารของท่านอ๋อง คราวนี้ไม่รู้ว่าเขาจะอดกินอาหารปิ่นโตนี้เลยหรือไม่ หากรู้ว่าท่านอ๋องจะขี้หึงถึงเพียงนี้เขาไม่ควรเอาปิ่นโตของเขาเข้ามาด้วยเลย โชคดีที่อาหารของเขาแม้ว่าจะเหมือนของท่านอ๋องแต่ก็มีไม่มากและหลากหลายเท่าท่านอ๋องซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นนายรู้สึกพอใจจนยิ้มออกมา จื่อลู่เองก็โล่งใจเมื่อท่านอ๋องมิได้รับสั่งสิ่งใด“เจ้า…ออกไปกินเถอะ ข้าจะกินอยู่ที่นี่ ให้คนนำชามาให้ข้าก็พอ”“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่รีบเก็บปิ่นโตของเขาอย่างรวดเร็วและรีบเดินออกไปทันทีตามคำสั่ง ไม่นานนักก็มีคนเดินเข้ามาแต่พบกับจื่อลู่เสียก่อน“พวกเจ้ามาอีกแล้วงั้นหรือ”“ท่านองครักษ์ คือว่าคุณหนูของข้า…..”“ขออภัยวันนี้ท่านอ๋องไม่รับแขก เชิญพวกเจ้านำของกลับไปเถอะ”“แต่ว่าคุณหนูบอกว่าปิ่นโตนี้ตั้งใจทำเพื่อท่านอ๋องนะเจ้าคะ”“วันนี้คู่หมั้นของท่านอ๋อง ว่าที่พระชายาทำอาหารมาส่งท่านอ๋อง เกรงว่าคงมิอาจจะรับปิ่นโตของคุณหนูจางของพวกเจ้าได้ทางที่ดีนำกลับไปและบอกนางด้วยว่า ไม่ต้องพยายามถึงเพียงนี
ฟางหยุนเฟยมองใบหน้าที่สะสวยของสตรีตรงหน้าแต่ก็ไม่คุ้นเคยและไม่คิดว่าเคยพบที่ไหนมาก่อน แต่เหตุใดนางจึงมาที่นี่ในเวลานี้กันนะ “แม่นาง ข้าขอโทษแทนพวกเขาด้วย พวกเด็ก ๆ น่ะบางทีวิ่งก็ไม่ทันได้ดู เอาเช่นนี้เจ้าตามข้าเข้าไปข้างในข้าจะทำแผลให้เจ้าและจะให้พวกเขาขอโทษเจ้าด้วยดีหรือไม่”“ไม่ต้อง ข้าเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองคนใหม่ เจ้าควรพาคนที่นี่ทั้งหมดมาทำความเคารพข้าถึงจะถูก”หลีเม่ยและฉินเกาหานยืนอยู่หน้าโรงเรียน หลีเม่ยเห็นว่าสตรีผู้นี้อวดดีและไม่เกรงใจพี่สาวนางจึงไปช่วยแต่ท่านแม่ทัพฉินดึงแขนนางเอาไว้“ใจเย็นก่อนหลีเม่ย”“แต่นางว่าให้พี่ใหญ่ของข้านะเจ้าคะ”“เชื่อข้าเถอะ หยุนเฟยจัดการได้”“แต่ว่า…ข้าไม่ชอบเลย นางมาแอบดูอยู่ตรงนั้นแท้ ๆ แต่กลับโทษเด็ก ๆ ที่อยู่ที่นี่ แค่ขอโทษก็น่าจะจบแล้วนี่ นางยังสั่งให้พี่ใหญ่พาคนทั้งหมดมาเคารพนาง จะบ้าไปแล้วงั้นหรือ นางเป็นฮ่องเต้หรืออย่างไร”“เจ้านี่ท่าทางต่างกับพี่สาวเสียจริง ไม่ยอมผู้ใดเลยสินะ”“ท่านรู้จักข้าน้อยไปท่านแม่ทัพ”“หลีเม่ย เหตุใดเจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่เกาหานเหมือนกับหยุนเฟยเรียกล่ะ”หลีเม่ยมองเขาแวบหนึ่งและต้องรีบหลบสายตาท่านแม่ทัพฉินในทันท
ชาวบ้านเกือบทุกคนวิ่งมารายล้อมนาง รวมถึง เด็ก ๆ ที่วิ่งออกมาจากห้องเรียนเพื่อมานั่งคุกเข่าต่อหน้านางเพื่อทำความเคารพนาง“หากมิใช่ท่านที่สอนข้าวิชาคำนวณเหล่านั้น ข้าคงไม่มีวันจะอ่านออกเขียนได้และบวกเลขเป็นขอรับ”“ข้าคงไม่มีโอกาสได้วาดรูป ท่านอาจารย์ข้าเองก็ขอบคุณท่าน”“ข้าอ่านออกก็เพราะท่านอาจารย์เป็นผู้สอน อักษรตัวแรกที่ข้าเขียนได้ก็มาจากท่าน”""อาจารย์ รับคำขอบคุณนี้ไว้ด้วย""“พวกเจ้า….พวกท่าน…ทุกคน ลุกขึ้นเถอะ”ชาวบ้านพร้อมใจคำนับให้กับฟางหยุนเฟยอย่างเต็มใจพร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนคราบน้ำตาบนแก้ม หากวันนี้จางเหมยลั่วไม่มาที่นี่ พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสได้ปกป้องนางและไม่ได้บอกเรื่องในใจที่เก็บเอาไว้มานานเช่นนี้“พวกท่านลุกขึ้นเถอะเจ้าค่ะ เด็ก ๆ เร็ว ๆ เข้า ลุกขึ้น ๆ”“อาจารย์ฟาง อาหารที่ท่านสอนให้ข้าทำ ข้าเอาไปขายทุกวันก็เกือบไม่พอขาย พวกเราทุกคนที่นี่หากินเลี้ยงชีพได้ก็เพราะมีท่านที่เป็นผู้สอนนะเจ้าคะ”“สิ่งที่พวกเราทำไปมันไม่มากเลยขอรับอาจารย์ฟาง”“ทุกท่าน ข้าแทบจะลอยขึ้นฟ้าได้แล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณทุก ๆ คนเลยเจ้าค่ะที่เชื่อมั่นในตัวข้าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้าทำคนเดียวจะสำเร็จ ยังมีเหล่าท่าน
ท่านเจ้าเมืองและพ่อบ้านอิ๋นถึงกับหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำตัวไม่ถูก มีเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นที่รู้สึกดีใจเพราะนึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเป็นผู้เสด็จมาด้วยพระองค์เองถึงที่จวน“ท่านพ่อ ท่านอ๋องต้องมาหาข้าเป็นแน่เจ้าค่ะ ข้า…”“เจ้าหุบปาก!! เจ้าภาวนาไว้ในใจขอให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้เถอะ”เมื่อเขาเอ่ยจบ จางเหมยลั่วกำลังจะหันไปเถียงแต่ว่าผู้ที่เอ่ยนามเดินเข้ามาถึงด้านในห้องแล้ว เขาเดินเอามือไพล่หลังมา สีหน้าเรียบตึงและเขามิได้มาเพียงคนเดียว ท่านเจ้าเมืองเห็นพระพักตร์ของท่านอ๋องและผู้ที่ติดตามมาด้วยเขาของเขาก็แทบจะทรุดแต่ก็ต้องรีบถวายบังคม“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านเจ้าเมืองตามสบายเถอะ มากะทันหันโดยมิได้แจ้งล่วงหน้าต้องขออภัย”“หม่อมฉันจางเหมย...…”“ข้าเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันท่านเจ้าเมือง”ท่านอ๋องไม่รอให้นางพูดจบและไม่รับการถวายความเคารพจากจางเหมยลั่ว ทำเอาทั้งสองพ่อลูกทำหน้าไม่ถูกแต่ท่านเจ้าเมืองพอจะทราบว่าที่ท่านอ๋องเสด็จมาในเวลานี้และไม่ได้แจ้งก่อนก็พรวดพราดเข้ามาด้วยพระทัยที่ร้อนรนเช่นนี้ ต้องเกี่ยวกับบุตรสาวของเขาอย่างแน่นอน"ท่านอ๋อง เชิญพระองค์ดื่มชาก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉัน….
ท่านเจ้าเมืองทรุดตัวลงที่โต๊ะทำงานอย่างหมดแรง ท่านอ๋องรู้ว่าเขาจงใจทำร้ายบุตรสาวเพื่อที่จะกันนางออกจากวงสนทนา แต่เขากลับไม่คิดว่าท่านอ๋องจะใจร้ายกับสตรีเช่นนี้นี่คงเป็นเพราะเรื่องที่จางเหมยลั่วบังอาจไปยุ่งกับคนของเขาเป็นแน่จึงทำให้ท่านอ๋องไม่ยอมยกโทษให้นางเช่นนี้“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันบาดเจ็บถึงเพียงนี้….”“นั่นเป็นเพราะบิดาเจ้า มิใช่ข้าเสียหน่อยหากว่าเจ้าอยากจะคร่ำครวญก็ไปคุยกับบิดาของเจ้า แต่ธุระที่ข้าจะพูดยังไม่จบเจ้าก็ยังไปไหนไม่ได้ ท่านเจ้าเมืองจะหาผู้ใดมาทำแผลให้นางหน่อยหรือไม่”“เชิญพระองค์ตรัสมาให้จบเถิดเพคะ”สายตาของจางเหมยลั่วที่มองมายังท่านอ๋องทั้งน้อยใจและโกรธแต่ก็กลัวด้วยเพราะนางเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายถึงเพียงนี้ แม้ว่านางบาดเจ็บอยู่ตรงหน้าเขาก็ยังไม่แม้แต่จะถามไถ่อาการด้วยซ้ำไป“เช่นนั้นข้าจะไม่เสียเวลา ท่านเจ้าเมืองวันนี้ข้าได้รับรายงานความวุ่นวายนอกเมืองจึงได้เร่งตรวจสอบ ตอนนี้เรื่องยังไม่ลุกลามและมีผู้ที่รู้เพียงไม่มากจึงเร่งเดินทางมาหาท่านก่อนเพื่อจะสะสางก่อนที่เรื่องนี้จะถูกนำขึ้นไปทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทในประชุมราชสำนัก เชื่อว่าท่านที่พึ่งมาประจำการใหม่ ๆ ค
หยุนเฟยไม่มีแรงจะตอบเขา เมื่อเขาค่อย ๆ ขยับกายส่วนล่าง นางค่อย ๆ ปรับตัวได้แต่ก็ยังเจ็บอยู่ ท่านอ๋องก้มลงมาจูบนางเพื่อปลอบโยน เมื่อเขาทำเช่นนี้นางจึงเริ่มรู้สึกว่ากล้ามเนื้อค่อย ๆ คลายตัวเพื่อรองรับเขาได้มากขึ้นมือหนาเริ่มหันไปบดขยี้ยอดปทุมทั้งสองข้างอีกครั้ง คราวนี้เป็นหยุนเฟยที่เริ่มรู้สึกร้อนตรงจุดที่ร่างทั้งสองประสานกัน นางปรารถนาให้เขาขยับเสียที“อ๊าา เว่ยหราน…อ๊าา”“เจ้าเริ่มดีขึ้นแล้ว อาาา หยุนเฟยจากนี้ข้าจะหยุดไมไ่ด้แล้ว อาา”“เว่ยหราน อ๊าาา เว่ยหราน อื้อ…..อ๊าาา”เสียงเรียกร้องนี้แหละที่เขาต้องการฟังมาโดยตลอด นึกไม่ถึงว่าจะต้องมาทำเช่นนี้ในเวลาเช่นนี้ แต่เขากับนางใจตรงกันและกำลังจะหมั้นหมายกันอยู่แล้วเรื่องเช่นนี้ไม่ช้าหรือเร็วก็ต้องเกิดขึ้น เพียงแค่มันเกิดขึ้นก่อนเท่านั้น“อาา หยุนเฟยข้าทนไม่ไหว ทีเดียวเลยนะ”ลิ้นของเขาลากอยู่ที่ยอดอกของนาง หยุนเฟยโอบรอบคอเขาเอาไว้เพื่อให้ทำเช่นนี้กระตุ้นอารมณ์นางเช่นกัน เขาดูดดึงหน้าอกอย่างดุดันพร้อมกับจังหวะที่ดังขึ้นและถี่ขึ้นจนร่างทั้งสองเอนแอ่นไปพร้อมกันพร้อมกับความรู้สึกที่ถูกปลดปล่อยจนหมดสิ้น….“หยุนเฟย ข้า….”“เว่ยหราน หากไม่พอก็ทำ
ฟางหยุนเฟยยืนตกใจอยู่ตรงหน้าห้อง นางดีขึ้นมากแล้วเมื่อตื่นขึ้นมาดื่มน้ำก็ได้ยินเสียงขององครักษ์ทั้งสองคุยกัน พวกเขาไม่ทันระวังเพราะคิดว่านางหลับอยู่ แต่นางเปิดออกมาเพราะได้ยินเสียงคนคุยกันแต่จับใจความไม่ได้จึงตัดสินใจเปิดประตูออกมาถาม“คุณหนูฟาง ตอนนี้ท่านอ๋องไม่ปกติพระองค์เองก็ออกไปที่ใดไม่ได้เช่นกันแต่ข้าน้อยจำเป็นต้องตามองครักษ์ไปที่ชันสูตรศพและไปตรวจสอบอีกไม่นานจะรีบกลับขอรับ ท่านอ๋องสั่งไว้ว่าห้ามคุณหนูไปที่ห้องบรรทมโดยเด็ดขาด”“ข้าเข้าใจแล้วท่านรีบไปเถอะ ข้าดูแลท่านอ๋องเอง”“ขอรับ เรารีบไปกันเถอะ”หยุนเฟยรีบกลับเข้าไปในห้องทันที นางรู้สึกสับสนยิ่งนัก แม้ว่านางจะช่วยท่านอ๋องและช่วยตัวเองให้พ้นข้อกล่าวหาที่ในนิยายเขียนเอาไว้ แต่สุดท้ายเรื่องก็ยังวนมาเหมือนเดิม คือนางเป็นผู้ต้องสงสัยคดีฆ่าคน“ไม่ใช่คดีวางยาท่านอ๋อง แต่เป็นคดีฆ่าจางเหมยลั่วงั้นหรือ”“อ๊ากก….!!”เสียงดังขึ้นจากห้องด้านในตำหนักที่อยู่ลึกเข้าไป หยุนเฟยตกใจจนต้องรีบวิ่งออกไป เสียงของท่านอ๋องดังจนนางกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไปจนลืมนึกไปว่าเขา….ถูกพิษอยู่“ท่านอ๋องเพคะ”“อย่า!!……หยุนเฟย……เจ้าอย่าเข้ามา!!”“แต่ว่าหม่อมฉันได้ยิน
“บุตรีของท่านเจ้าเมืองงั้นหรือขอรับ มิน่าเล่าถึงไม่คุ้นหน้าเลย ทหารจึงไปแจ้งไม่ถูกว่าเป็นผู้ใด นางคงจะพึ่งเข้าวังเป็นครั้งแรกสินะขอรับ”“ใช่ คิดว่าเป็นเช่นนั้น เจ้า….ให้คนไปแจ้งท่านเจ้าเมืองในงานให้เขารีบมาที่นี่เถอะ”“ขอรับท่านแม่ทัพ”ข่าวที่บุตรสาวเจ้าเมืองคนใหม่ถูกฆ่าในวังหลวงเริ่มกระจายไปจนทั่ว เมื่อความถึงฝ่าบาทพระองค์ก็ทรงกริ้วเป็นอย่างมากจนส่งราชโองการลงมาหยุดงานเลี้ยงทั้งหมด ปรับเบี้ยหวัดตำหนักองค์ชายหกลงครึ่งหนึ่งและให้เขางดสุราและงานเลี้ยงทั้งหมดครึ่งปีห้ามดื่มสุราและห้ามนำคณิกาหรือนักดนตรีมาที่ตำหนัก สั่งปิดตำหนักองค์ชายและห้ามคนในตำหนักออกมาข้างนอก“นี่มันอะไรกัน เสด็จพ่อทำราวกับว่าท่านเป็นผู้ก่อเหตุ”“หุบปาก ข้าไม่มีอารมณ์ข้าหงุดหงิดอยู่”“องค์ชายเพคะ หกเดือนห้ามออกจากตำหนักลดเบี้ยหวัดลงกึ่งหนึ่ง เช่นนี้แล้วข้า….จะมีเงินใช้เพียงพอหรือไม่”“เสด็จพ่อไม่เอาความและสั่งลงโทษเจ้าก็ดีเท่าใดแล้ว!! เจ้าบอกข้ามา เรื่องนี้เจ้ารู้เห็นสิ่งใดหรือไม่”“ไม่นะเพคะ”“พี่เขยเพคะหม่อมฉันขอบังอาจทูล”“เจ้า…..มีอะไร เหตุใดยังไม่กลับไปอีก”“หม่อมฉันมีข้อสงสัย เรื่องในงานเลี้ยงวันนี้เพคะหากว่าม
ท่านอ๋องงุนงงกับคำพูดที่หยุนเฟยพูดออกมาในยามนี้ แม้ว่าเขาจะจับใจความได้เป็นบางคำแต่ก็นึกสงสัยว่านางเป็นเช่นนี้เพราะเมาหรือว่านางพูดเพราะต้องการบอกอะไรกันแน่ เหตุใดนางต้องตายด้วยเล่า เขานึกแปลกใจเสียจริง ๆ“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน เหตุใดเป็นเช่นนี้นะ ดื่มแค่จอกเดียวเองจื่อลู่ เร็วเข้าข้าจะอุ้มนางขึ้นไป ปล่อยให้เดินเช่นนี้คงไปได้ไม่ถึงไหนแน่”“พ่ะย่ะค่ะ”เป็นดังที่ท่านอ๋องกล่าวเอาไว้ หยุนเฟยเดินไม่ตรงและยังเดินก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและถอยอีกสามก้าวจนเขาเริ่มเหนื่อย เมื่อพ้นจากตำหนักจึงตัดสินใจอุ้มนางขึ้นรถม้าเพื่อพากลับไปยังจวนท่านราชครู เมื่อขึ้นบนรถม้าได้ นางก็เริ่มก่ายกอดท่านอ๋อง ขาเริ่มปาดป่ายไปทั่วเพราะความเมา“ร้อน ร้อนจังเลย ถอด….ถอดเสื้อออก”“หยุนเฟย เจ้าอยู่นิ่ง ๆ สิ”“ไม่เอา ถอดออกสิ ท่านไม่ถอดข้าถอดเอง!!”ฟางหยุนเฟยเริ่มถอดชุดของตนเองออกและเริ่มใช้มือลามเลื้อยไปที่ไหล่ของท่านอ๋องจนเขาเริ่มแปลกใจ“หยุนเฟย อย่านะ หากเจ้าทำเช่นนี้ข้าจะ….”ท่านอ๋องเองก็รู้สึกแปลก ๆ ไปเมื่อถูกนางสัมผัสร่างกายเช่นนี้แล้วรู้สึกว่าเขาเองก็เริ่มร้อนเหมือนนางและเริ่มมองไปทั่ว ทั้งร่องอกลึกที่นางเริ่มถอด
“พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ ท่านจะพูดสิ่งใดก็ต้องไว้พระพักตร์องค์ชายหกบ้าง”“เหอะ เจ้าคิดว่าข้าไม่คิดงั้นหรือ มานี่เถอะ แต่เจ้าดูเขาสิ วัน ๆ ไม่เอาอะไรเลย การบ้านการเมืองไม่สนเอาแต่ดื่มสุรากับคลุกคลีอยู่กับเหล่าสตรี นี่หากว่าข้าไม่อดทนเพราะตำแหน่งพระชายาข้าคงไปนานแล้ว”“แต่ท่านเป็นถึงพระชายาองค์ชาย สตรีเหล่านั้นจะมาข้ามหน้าท่านได้เช่นไร”“พวกนางไม่กล้า แต่ใช่ว่าองค์ชายจะสนข้านี่ ข้ายังไม่มีทายาท และถึงแม้จะมีก็ไม่ทันแล้วเพราะองค์รัชทายาทและองค์ชายรอง พระชายาของพวกเขาล้วนให้กำเนิดพระโอรส และยิ่งท่านตาทำเรื่องเช่นนี้ ข้าเองก็….”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้แค่นี้แน่”พระชายาหกหันมามองใบหน้าและสายตาที่กร้าวแข็งของน้องสาว สายตาเช่นนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางรู้สึกเย็นวาบจนขนลุก แต่เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นเพราะว่านางหันมายิ้มให้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ“พี่หญิง ข้ามีเรื่องไหว้วานให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ”“เรื่องใดงั้นหรือ”“ตามข้ามาทางนี้เถิดเจ้าค่ะ”พระชายาพานางเข้าไปด้านในตำหนักเป็นการชั่วคราว แม่ทัพฉินที่รอนางอยู่ด้านนอกเมื่อเห็นว่านางหายเข้าไปกับพระชายาจึงได้หาที่นั่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ท่านอ๋อ
“หยุนเฟย เจ้า…พูดอะไรนะ”“หม่อมฉันบอกว่านางถูกโบยสิบไม้ยังน้อยไปเพคะ กล้าดีเช่นไรมาพูดเช่นนั้น”“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโกรธนางเพียงเรื่องแค่นี้ ทีเรื่องที่นางดูถูกเจ้าก่อนหน้านี้กลับไม่สนใจ”“หม่อมฉันไม่ชอบให้ผู้ใดมาพูดเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้มิได้เป็นความจริง หม่อมฉันเสียหาย อีกทั้งแม่ทัพฉินก็เสียหาย ยิ่งกว่านั้นพระองค์ก็เสียหายเพราะจะถูกมองว่าหม่อมฉันเป็นพวกหลอกลวง”“ข้าแยกแยะเป็นนะ เรื่องของเจ้ากับเกาหานข้าเคยคุยกับเขาหลายรอบแล้ว และตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมิได้มีเวลาสนใจเจ้าหรอกนะ”“พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ก็เห็นเขาเล่าว่าเขาไปเยี่ยมแม่นางฟ่งผู้นั้นบ่อย ๆ”“แม่นางฟ่งงั้นหรือเพคะ”“ใช่ แม่นางฟ่งผู้นั้นแหละ”“พวกเขา…..”“ข้าเองก็ไม่รู้ความคิดของเกาหานหรอกนะ แต่เขาก็เข้า ๆ ออก ๆ จวนของนางบ่อย ๆ ข้าคิดว่าเขาอาจจะมีใจให้นาง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ข้าไหว้วานบางอย่างก็เถอะ”หากเป็นดังที่ท่านอ๋องตรัสจริง ๆ อย่างน้อยเรื่องราวในนิยายก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ต่างจากต้นฉบับ นั่นคือพระรองที่มีใจรักนางเอกและคอยดูแลนางอยู่เสมอ ซึ่งในตอนนี้ฉินเกาหานก็กำลังเป็นเช่นนั้น“ไม่ถูกสิ หากว่าพระรอง
ฟางหยุนเฟยหันมามองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกแปลกใจ นางไม่เห็นหน้าเขามาสองวันแล้วแต่เหตุใดวันนี้เขาจึงมาที่นี่ได้กันนะ“ท่านอ๋อง แต่ว่าเด็ก ๆ เลิกเรียนไปหมดแล้วนะเพคะ”“ข้าถามเจ้าว่าข้าจะเลือกได้หรือไม่”“พระองค์จะเลือกป้ายไหนเพคะ”ท่านอ๋องหันไปมองและพิจารณาดู หยุนเฟยมองเขาด้วยนึกแปลกใจระคนดีใจเล็กน้อยที่เห็นเขาในวันนี้ เขาชี้ไปยังป้ายรูปหัวใจสีแดงที่ถูกระบายสีเอาไว้ หยุนเฟยหันไปมองคนตรงหน้าที่อ้าแขนทั้งสองข้างให้นางเหมือนกับที่เด็ก ๆ ทำ“ท่านอ๋องเพคะ อย่าทำรุ่มร่ามแถวนี้สิเพคะ”“แต่ข้าเลือกแล้วเจ้าเป็นอาจารย์เจ้าจะทำผิดคำพูดงั้นหรือ”“เหตุใดวันนี้ถึงมาที่นี่ได้เล่าเพคะ”“ไปที่ห้องพักของเจ้าเถอะข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”“เพคะ”หยุนเฟยเก็บของและยกออกมาเพื่อจะเดินเอาไปเก็บในห้อง ท่านอ๋องดึงของจากมือนางเอามาถือเอาไว้“เจ้าเดินไปเถอะของพวกนี้ข้าถือไปให้เอง”“ขอบพระทัยเพคะ”เขาเดินยิ้มตามนางไปจนถึงในห้องพัก เมื่อวางของลงได้เขาก็รวบตัวนางเข้ามากอดในทันทีพร้อมกับขโมยหอมแก้มนางไม่ยั้งจนนางบิดกายหนีเป็นพัลวัน“ท่านอ๋องเพคะ เดี๋ยวก่อน”“คิดถึงเจ้ามากที่สุด ข้าเลือกแล้วนี่เจ้าจะไม่ให้ข้ากอดงั้นหรือ”“พ
ท่านเจ้าเมืองทรุดตัวลงที่โต๊ะทำงานอย่างหมดแรง ท่านอ๋องรู้ว่าเขาจงใจทำร้ายบุตรสาวเพื่อที่จะกันนางออกจากวงสนทนา แต่เขากลับไม่คิดว่าท่านอ๋องจะใจร้ายกับสตรีเช่นนี้นี่คงเป็นเพราะเรื่องที่จางเหมยลั่วบังอาจไปยุ่งกับคนของเขาเป็นแน่จึงทำให้ท่านอ๋องไม่ยอมยกโทษให้นางเช่นนี้“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันบาดเจ็บถึงเพียงนี้….”“นั่นเป็นเพราะบิดาเจ้า มิใช่ข้าเสียหน่อยหากว่าเจ้าอยากจะคร่ำครวญก็ไปคุยกับบิดาของเจ้า แต่ธุระที่ข้าจะพูดยังไม่จบเจ้าก็ยังไปไหนไม่ได้ ท่านเจ้าเมืองจะหาผู้ใดมาทำแผลให้นางหน่อยหรือไม่”“เชิญพระองค์ตรัสมาให้จบเถิดเพคะ”สายตาของจางเหมยลั่วที่มองมายังท่านอ๋องทั้งน้อยใจและโกรธแต่ก็กลัวด้วยเพราะนางเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายถึงเพียงนี้ แม้ว่านางบาดเจ็บอยู่ตรงหน้าเขาก็ยังไม่แม้แต่จะถามไถ่อาการด้วยซ้ำไป“เช่นนั้นข้าจะไม่เสียเวลา ท่านเจ้าเมืองวันนี้ข้าได้รับรายงานความวุ่นวายนอกเมืองจึงได้เร่งตรวจสอบ ตอนนี้เรื่องยังไม่ลุกลามและมีผู้ที่รู้เพียงไม่มากจึงเร่งเดินทางมาหาท่านก่อนเพื่อจะสะสางก่อนที่เรื่องนี้จะถูกนำขึ้นไปทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทในประชุมราชสำนัก เชื่อว่าท่านที่พึ่งมาประจำการใหม่ ๆ ค
ท่านเจ้าเมืองและพ่อบ้านอิ๋นถึงกับหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำตัวไม่ถูก มีเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นที่รู้สึกดีใจเพราะนึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเป็นผู้เสด็จมาด้วยพระองค์เองถึงที่จวน“ท่านพ่อ ท่านอ๋องต้องมาหาข้าเป็นแน่เจ้าค่ะ ข้า…”“เจ้าหุบปาก!! เจ้าภาวนาไว้ในใจขอให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้เถอะ”เมื่อเขาเอ่ยจบ จางเหมยลั่วกำลังจะหันไปเถียงแต่ว่าผู้ที่เอ่ยนามเดินเข้ามาถึงด้านในห้องแล้ว เขาเดินเอามือไพล่หลังมา สีหน้าเรียบตึงและเขามิได้มาเพียงคนเดียว ท่านเจ้าเมืองเห็นพระพักตร์ของท่านอ๋องและผู้ที่ติดตามมาด้วยเขาของเขาก็แทบจะทรุดแต่ก็ต้องรีบถวายบังคม“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านเจ้าเมืองตามสบายเถอะ มากะทันหันโดยมิได้แจ้งล่วงหน้าต้องขออภัย”“หม่อมฉันจางเหมย...…”“ข้าเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันท่านเจ้าเมือง”ท่านอ๋องไม่รอให้นางพูดจบและไม่รับการถวายความเคารพจากจางเหมยลั่ว ทำเอาทั้งสองพ่อลูกทำหน้าไม่ถูกแต่ท่านเจ้าเมืองพอจะทราบว่าที่ท่านอ๋องเสด็จมาในเวลานี้และไม่ได้แจ้งก่อนก็พรวดพราดเข้ามาด้วยพระทัยที่ร้อนรนเช่นนี้ ต้องเกี่ยวกับบุตรสาวของเขาอย่างแน่นอน"ท่านอ๋อง เชิญพระองค์ดื่มชาก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉัน….