“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่หันไปหยิบเถาปิ่นโตของตนเองที่หยุนเฟยจัดมาให้เขาและค่อย ๆ เปิด เขาเองก็แอบวิตกเล็กน้อย หากว่าปิ่นโตของเขามีสิ่งใดที่แปลกกว่าอาหารของท่านอ๋อง คราวนี้ไม่รู้ว่าเขาจะอดกินอาหารปิ่นโตนี้เลยหรือไม่ หากรู้ว่าท่านอ๋องจะขี้หึงถึงเพียงนี้เขาไม่ควรเอาปิ่นโตของเขาเข้ามาด้วยเลย โชคดีที่อาหารของเขาแม้ว่าจะเหมือนของท่านอ๋องแต่ก็มีไม่มากและหลากหลายเท่าท่านอ๋องซึ่งนั่นทำให้ผู้เป็นนายรู้สึกพอใจจนยิ้มออกมา จื่อลู่เองก็โล่งใจเมื่อท่านอ๋องมิได้รับสั่งสิ่งใด“เจ้า…ออกไปกินเถอะ ข้าจะกินอยู่ที่นี่ ให้คนนำชามาให้ข้าก็พอ”“พ่ะย่ะค่ะ”จื่อลู่รีบเก็บปิ่นโตของเขาอย่างรวดเร็วและรีบเดินออกไปทันทีตามคำสั่ง ไม่นานนักก็มีคนเดินเข้ามาแต่พบกับจื่อลู่เสียก่อน“พวกเจ้ามาอีกแล้วงั้นหรือ”“ท่านองครักษ์ คือว่าคุณหนูของข้า…..”“ขออภัยวันนี้ท่านอ๋องไม่รับแขก เชิญพวกเจ้านำของกลับไปเถอะ”“แต่ว่าคุณหนูบอกว่าปิ่นโตนี้ตั้งใจทำเพื่อท่านอ๋องนะเจ้าคะ”“วันนี้คู่หมั้นของท่านอ๋อง ว่าที่พระชายาทำอาหารมาส่งท่านอ๋อง เกรงว่าคงมิอาจจะรับปิ่นโตของคุณหนูจางของพวกเจ้าได้ทางที่ดีนำกลับไปและบอกนางด้วยว่า ไม่ต้องพยายามถึงเพียงนี
ฟางหยุนเฟยมองใบหน้าที่สะสวยของสตรีตรงหน้าแต่ก็ไม่คุ้นเคยและไม่คิดว่าเคยพบที่ไหนมาก่อน แต่เหตุใดนางจึงมาที่นี่ในเวลานี้กันนะ “แม่นาง ข้าขอโทษแทนพวกเขาด้วย พวกเด็ก ๆ น่ะบางทีวิ่งก็ไม่ทันได้ดู เอาเช่นนี้เจ้าตามข้าเข้าไปข้างในข้าจะทำแผลให้เจ้าและจะให้พวกเขาขอโทษเจ้าด้วยดีหรือไม่”“ไม่ต้อง ข้าเป็นบุตรสาวของท่านเจ้าเมืองคนใหม่ เจ้าควรพาคนที่นี่ทั้งหมดมาทำความเคารพข้าถึงจะถูก”หลีเม่ยและฉินเกาหานยืนอยู่หน้าโรงเรียน หลีเม่ยเห็นว่าสตรีผู้นี้อวดดีและไม่เกรงใจพี่สาวนางจึงไปช่วยแต่ท่านแม่ทัพฉินดึงแขนนางเอาไว้“ใจเย็นก่อนหลีเม่ย”“แต่นางว่าให้พี่ใหญ่ของข้านะเจ้าคะ”“เชื่อข้าเถอะ หยุนเฟยจัดการได้”“แต่ว่า…ข้าไม่ชอบเลย นางมาแอบดูอยู่ตรงนั้นแท้ ๆ แต่กลับโทษเด็ก ๆ ที่อยู่ที่นี่ แค่ขอโทษก็น่าจะจบแล้วนี่ นางยังสั่งให้พี่ใหญ่พาคนทั้งหมดมาเคารพนาง จะบ้าไปแล้วงั้นหรือ นางเป็นฮ่องเต้หรืออย่างไร”“เจ้านี่ท่าทางต่างกับพี่สาวเสียจริง ไม่ยอมผู้ใดเลยสินะ”“ท่านรู้จักข้าน้อยไปท่านแม่ทัพ”“หลีเม่ย เหตุใดเจ้าไม่เรียกข้าว่าพี่เกาหานเหมือนกับหยุนเฟยเรียกล่ะ”หลีเม่ยมองเขาแวบหนึ่งและต้องรีบหลบสายตาท่านแม่ทัพฉินในทันท
ชาวบ้านเกือบทุกคนวิ่งมารายล้อมนาง รวมถึง เด็ก ๆ ที่วิ่งออกมาจากห้องเรียนเพื่อมานั่งคุกเข่าต่อหน้านางเพื่อทำความเคารพนาง“หากมิใช่ท่านที่สอนข้าวิชาคำนวณเหล่านั้น ข้าคงไม่มีวันจะอ่านออกเขียนได้และบวกเลขเป็นขอรับ”“ข้าคงไม่มีโอกาสได้วาดรูป ท่านอาจารย์ข้าเองก็ขอบคุณท่าน”“ข้าอ่านออกก็เพราะท่านอาจารย์เป็นผู้สอน อักษรตัวแรกที่ข้าเขียนได้ก็มาจากท่าน”""อาจารย์ รับคำขอบคุณนี้ไว้ด้วย""“พวกเจ้า….พวกท่าน…ทุกคน ลุกขึ้นเถอะ”ชาวบ้านพร้อมใจคำนับให้กับฟางหยุนเฟยอย่างเต็มใจพร้อมกับรอยยิ้มเปื้อนคราบน้ำตาบนแก้ม หากวันนี้จางเหมยลั่วไม่มาที่นี่ พวกเขาก็คงไม่มีโอกาสได้ปกป้องนางและไม่ได้บอกเรื่องในใจที่เก็บเอาไว้มานานเช่นนี้“พวกท่านลุกขึ้นเถอะเจ้าค่ะ เด็ก ๆ เร็ว ๆ เข้า ลุกขึ้น ๆ”“อาจารย์ฟาง อาหารที่ท่านสอนให้ข้าทำ ข้าเอาไปขายทุกวันก็เกือบไม่พอขาย พวกเราทุกคนที่นี่หากินเลี้ยงชีพได้ก็เพราะมีท่านที่เป็นผู้สอนนะเจ้าคะ”“สิ่งที่พวกเราทำไปมันไม่มากเลยขอรับอาจารย์ฟาง”“ทุกท่าน ข้าแทบจะลอยขึ้นฟ้าได้แล้วเจ้าค่ะ ขอบคุณทุก ๆ คนเลยเจ้าค่ะที่เชื่อมั่นในตัวข้าเรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่ข้าทำคนเดียวจะสำเร็จ ยังมีเหล่าท่าน
ท่านเจ้าเมืองและพ่อบ้านอิ๋นถึงกับหันไปมองหน้ากันเลิ่กลั่กอย่างทำตัวไม่ถูก มีเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นที่รู้สึกดีใจเพราะนึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะเป็นผู้เสด็จมาด้วยพระองค์เองถึงที่จวน“ท่านพ่อ ท่านอ๋องต้องมาหาข้าเป็นแน่เจ้าค่ะ ข้า…”“เจ้าหุบปาก!! เจ้าภาวนาไว้ในใจขอให้ผ่านเรื่องนี้ไปให้ได้เถอะ”เมื่อเขาเอ่ยจบ จางเหมยลั่วกำลังจะหันไปเถียงแต่ว่าผู้ที่เอ่ยนามเดินเข้ามาถึงด้านในห้องแล้ว เขาเดินเอามือไพล่หลังมา สีหน้าเรียบตึงและเขามิได้มาเพียงคนเดียว ท่านเจ้าเมืองเห็นพระพักตร์ของท่านอ๋องและผู้ที่ติดตามมาด้วยเขาของเขาก็แทบจะทรุดแต่ก็ต้องรีบถวายบังคม“ถวายบังคมท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านเจ้าเมืองตามสบายเถอะ มากะทันหันโดยมิได้แจ้งล่วงหน้าต้องขออภัย”“หม่อมฉันจางเหมย...…”“ข้าเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันท่านเจ้าเมือง”ท่านอ๋องไม่รอให้นางพูดจบและไม่รับการถวายความเคารพจากจางเหมยลั่ว ทำเอาทั้งสองพ่อลูกทำหน้าไม่ถูกแต่ท่านเจ้าเมืองพอจะทราบว่าที่ท่านอ๋องเสด็จมาในเวลานี้และไม่ได้แจ้งก่อนก็พรวดพราดเข้ามาด้วยพระทัยที่ร้อนรนเช่นนี้ ต้องเกี่ยวกับบุตรสาวของเขาอย่างแน่นอน"ท่านอ๋อง เชิญพระองค์ดื่มชาก่อนเถิดเพคะ หม่อมฉัน….
ท่านเจ้าเมืองทรุดตัวลงที่โต๊ะทำงานอย่างหมดแรง ท่านอ๋องรู้ว่าเขาจงใจทำร้ายบุตรสาวเพื่อที่จะกันนางออกจากวงสนทนา แต่เขากลับไม่คิดว่าท่านอ๋องจะใจร้ายกับสตรีเช่นนี้นี่คงเป็นเพราะเรื่องที่จางเหมยลั่วบังอาจไปยุ่งกับคนของเขาเป็นแน่จึงทำให้ท่านอ๋องไม่ยอมยกโทษให้นางเช่นนี้“ท่านอ๋องเพคะ หม่อมฉันบาดเจ็บถึงเพียงนี้….”“นั่นเป็นเพราะบิดาเจ้า มิใช่ข้าเสียหน่อยหากว่าเจ้าอยากจะคร่ำครวญก็ไปคุยกับบิดาของเจ้า แต่ธุระที่ข้าจะพูดยังไม่จบเจ้าก็ยังไปไหนไม่ได้ ท่านเจ้าเมืองจะหาผู้ใดมาทำแผลให้นางหน่อยหรือไม่”“เชิญพระองค์ตรัสมาให้จบเถิดเพคะ”สายตาของจางเหมยลั่วที่มองมายังท่านอ๋องทั้งน้อยใจและโกรธแต่ก็กลัวด้วยเพราะนางเองก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะใจร้ายถึงเพียงนี้ แม้ว่านางบาดเจ็บอยู่ตรงหน้าเขาก็ยังไม่แม้แต่จะถามไถ่อาการด้วยซ้ำไป“เช่นนั้นข้าจะไม่เสียเวลา ท่านเจ้าเมืองวันนี้ข้าได้รับรายงานความวุ่นวายนอกเมืองจึงได้เร่งตรวจสอบ ตอนนี้เรื่องยังไม่ลุกลามและมีผู้ที่รู้เพียงไม่มากจึงเร่งเดินทางมาหาท่านก่อนเพื่อจะสะสางก่อนที่เรื่องนี้จะถูกนำขึ้นไปทูลต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทในประชุมราชสำนัก เชื่อว่าท่านที่พึ่งมาประจำการใหม่ ๆ ค
ฟางหยุนเฟยหันมามองพระพักตร์ท่านอ๋องอย่างนึกแปลกใจ นางไม่เห็นหน้าเขามาสองวันแล้วแต่เหตุใดวันนี้เขาจึงมาที่นี่ได้กันนะ“ท่านอ๋อง แต่ว่าเด็ก ๆ เลิกเรียนไปหมดแล้วนะเพคะ”“ข้าถามเจ้าว่าข้าจะเลือกได้หรือไม่”“พระองค์จะเลือกป้ายไหนเพคะ”ท่านอ๋องหันไปมองและพิจารณาดู หยุนเฟยมองเขาด้วยนึกแปลกใจระคนดีใจเล็กน้อยที่เห็นเขาในวันนี้ เขาชี้ไปยังป้ายรูปหัวใจสีแดงที่ถูกระบายสีเอาไว้ หยุนเฟยหันไปมองคนตรงหน้าที่อ้าแขนทั้งสองข้างให้นางเหมือนกับที่เด็ก ๆ ทำ“ท่านอ๋องเพคะ อย่าทำรุ่มร่ามแถวนี้สิเพคะ”“แต่ข้าเลือกแล้วเจ้าเป็นอาจารย์เจ้าจะทำผิดคำพูดงั้นหรือ”“เหตุใดวันนี้ถึงมาที่นี่ได้เล่าเพคะ”“ไปที่ห้องพักของเจ้าเถอะข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง”“เพคะ”หยุนเฟยเก็บของและยกออกมาเพื่อจะเดินเอาไปเก็บในห้อง ท่านอ๋องดึงของจากมือนางเอามาถือเอาไว้“เจ้าเดินไปเถอะของพวกนี้ข้าถือไปให้เอง”“ขอบพระทัยเพคะ”เขาเดินยิ้มตามนางไปจนถึงในห้องพัก เมื่อวางของลงได้เขาก็รวบตัวนางเข้ามากอดในทันทีพร้อมกับขโมยหอมแก้มนางไม่ยั้งจนนางบิดกายหนีเป็นพัลวัน“ท่านอ๋องเพคะ เดี๋ยวก่อน”“คิดถึงเจ้ามากที่สุด ข้าเลือกแล้วนี่เจ้าจะไม่ให้ข้ากอดงั้นหรือ”“พ
“หยุนเฟย เจ้า…พูดอะไรนะ”“หม่อมฉันบอกว่านางถูกโบยสิบไม้ยังน้อยไปเพคะ กล้าดีเช่นไรมาพูดเช่นนั้น”“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะโกรธนางเพียงเรื่องแค่นี้ ทีเรื่องที่นางดูถูกเจ้าก่อนหน้านี้กลับไม่สนใจ”“หม่อมฉันไม่ชอบให้ผู้ใดมาพูดเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้มิได้เป็นความจริง หม่อมฉันเสียหาย อีกทั้งแม่ทัพฉินก็เสียหาย ยิ่งกว่านั้นพระองค์ก็เสียหายเพราะจะถูกมองว่าหม่อมฉันเป็นพวกหลอกลวง”“ข้าแยกแยะเป็นนะ เรื่องของเจ้ากับเกาหานข้าเคยคุยกับเขาหลายรอบแล้ว และตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมิได้มีเวลาสนใจเจ้าหรอกนะ”“พระองค์ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ”“ก็เห็นเขาเล่าว่าเขาไปเยี่ยมแม่นางฟ่งผู้นั้นบ่อย ๆ”“แม่นางฟ่งงั้นหรือเพคะ”“ใช่ แม่นางฟ่งผู้นั้นแหละ”“พวกเขา…..”“ข้าเองก็ไม่รู้ความคิดของเกาหานหรอกนะ แต่เขาก็เข้า ๆ ออก ๆ จวนของนางบ่อย ๆ ข้าคิดว่าเขาอาจจะมีใจให้นาง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ข้าไหว้วานบางอย่างก็เถอะ”หากเป็นดังที่ท่านอ๋องตรัสจริง ๆ อย่างน้อยเรื่องราวในนิยายก็มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ยังไม่ต่างจากต้นฉบับ นั่นคือพระรองที่มีใจรักนางเอกและคอยดูแลนางอยู่เสมอ ซึ่งในตอนนี้ฉินเกาหานก็กำลังเป็นเช่นนั้น“ไม่ถูกสิ หากว่าพระรอง
“พี่หญิง ท่านอย่าได้กล่าวเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ ท่านจะพูดสิ่งใดก็ต้องไว้พระพักตร์องค์ชายหกบ้าง”“เหอะ เจ้าคิดว่าข้าไม่คิดงั้นหรือ มานี่เถอะ แต่เจ้าดูเขาสิ วัน ๆ ไม่เอาอะไรเลย การบ้านการเมืองไม่สนเอาแต่ดื่มสุรากับคลุกคลีอยู่กับเหล่าสตรี นี่หากว่าข้าไม่อดทนเพราะตำแหน่งพระชายาข้าคงไปนานแล้ว”“แต่ท่านเป็นถึงพระชายาองค์ชาย สตรีเหล่านั้นจะมาข้ามหน้าท่านได้เช่นไร”“พวกนางไม่กล้า แต่ใช่ว่าองค์ชายจะสนข้านี่ ข้ายังไม่มีทายาท และถึงแม้จะมีก็ไม่ทันแล้วเพราะองค์รัชทายาทและองค์ชายรอง พระชายาของพวกเขาล้วนให้กำเนิดพระโอรส และยิ่งท่านตาทำเรื่องเช่นนี้ ข้าเองก็….”“ข้าไม่มีทางยอมแพ้แค่นี้แน่”พระชายาหกหันมามองใบหน้าและสายตาที่กร้าวแข็งของน้องสาว สายตาเช่นนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน นางรู้สึกเย็นวาบจนขนลุก แต่เพียงแค่ชั่วครู่เท่านั้นเพราะว่านางหันมายิ้มให้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ“พี่หญิง ข้ามีเรื่องไหว้วานให้ท่านช่วยเจ้าค่ะ”“เรื่องใดงั้นหรือ”“ตามข้ามาทางนี้เถิดเจ้าค่ะ”พระชายาพานางเข้าไปด้านในตำหนักเป็นการชั่วคราว แม่ทัพฉินที่รอนางอยู่ด้านนอกเมื่อเห็นว่านางหายเข้าไปกับพระชายาจึงได้หาที่นั่งซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ท่านอ๋อ
ทางด้านฉินเกาหานเมื่อพิธีทุกอย่างเสร็จสิ้นเขาก็พาหลีเม่ยเดินมายังด้านหลังและได้ยินข่าวดีของพระชายากับท่านอ๋องว่านางตั้งครรภ์“ได้ยินหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะไปหาพี่ใหญ่”“ท่านอ๋องคงพานางกลับไปที่จวนแล้ว ยังมีเวลาอีกมากเราค่อยไปทีหลัง มานี่ก่อน”“ไปไหนเจ้าคะ”“ตามข้ามา จะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”เขาอุ้มนางขึ้นหลังม้าคู่ใจในทันที หลีเม่ยที่ไม่เคยขี่ม้าถึงกับต้องคว้ารอบคอของเจ้าม้าเอาไว้เพราะกลัวตกเมื่อเกาหานขึ้นมานั่งกับนางจึงค่อย ๆ จัดท่าให้นางใหม่“มีข้าอยู่เจ้าไม่ต้องกลัวตกหรอก จับตรงนี้อย่าไปดึงขนมันเดี๋ยวมันจะโมโห”“เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ ข้าไม่เคยนั่งหลังม้า ว้าย!!”เขาพานางวิ่งออกไปทันทีเพราะผ่านเวลามานานแล้ว เขาควบทะยานออกนอกเมืองไปอย่างรวดเร็วเมื่อสิ้นทางชุมชนแล้ว หลีเม่ยหลับตาไม่กล้ามองเพราะความเร็วของม้านั้นทำให้นางตาพร่ามัวจนม้าค่อย ๆ ไต่เขาขึ้นไปนางจึงกล้าลืมตาอีกครั้ง“เราจะไปที่ใดกันเจ้าคะ”“ยอดเขานี้แหละ ไม่ไกลหรอก”“ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ”“พาเจ้าไปชื่นชมความงามของทุ่งดอกไม้ ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่มีอันตราย”“ตัวท่านต่างหากที่อันตรายต่อหัวใจข้า”“ข้าได้ยินเจ้าพูดนะหลีเม่ย”ม้าค่อย ๆ ขึ้นไปยั
ยี่สิบสองวันถัดมาหลังจากพิธีสมรสที่ยิ่งใหญ่ผ่านไปแล้ว ชาวบ้านที่หมู่บ้านฟางหมิงยังคงคึกคักไม่หยุดเพราะยังเหลืองานใหญ่อีกหนึ่งงานนั่นคือ "พิธีปักปิ่น" ของสตรีที่มีอายุครบสิบเจ็ดปีในปีนี้ ซึ่งได้รับพระราชานุญาตจากฝ่าบาทและฮองเฮาจัดขึ้นเป็นพิเศษสำหรับสตรีที่อยู่ในหมู่บ้านและในเมืองหลวงที่อยากเข้าร่วมพิธีอันทรงเกียรตินี้“อาเม่ยอยู่เฉย ๆ สิอย่าดิ้น”“ท่านแม่ผิวข้าจะแตกแล้ว โอ๊ย!!”ฟางหลีเม่ยบ่นเมื่อมารดาและอาหงซึ่งตอนนี้ต้องมาดูแลขัดผิวให้นางหลังจากจบภารกิจส่งพระชายาท่านอ๋องเข้าตำหนักไปเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ในจวนสกุลฟางต่างวุ่นวายเรื่องการจัดเตรียมงานปักปิ่นให้หลีเม่ยเพราะนอกจากเป็นพิธีที่เป็นทางการแล้วทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นงานหมั้นระหว่างนางและแม่ทัพ “ฉินเกาหาน” อีกด้วย“หากว่าหยุนเฟยเห็นว่าเจ้าแอบหนีไม่ยอมทำละก็นางจะว่าเอาได้นะ พิธีนี้สำคัญยิ่ง เจ้าดูสิแม่ทัพฉินพาคนมาจัดเตรียมมากมายเพื่อเจ้าแล้วดูเจ้าสิ”“พี่เกาหานก็ทำตามหน้าที่ งานนี้ฮองเฮาทรงเป็นผู้จัดขึ้นมาเพื่อทุกคน หาใช่ข้าคนเดียวไม่ ท่านแม่ท่านก็รู้ว่าข้ามิได้ชอบงานเช่นนี้”“เอาล่ะ ๆ อย่าบ่น”“ฮูหยินเจ้าคะ คุณหนู...เอ่อ พระชายาเสด็จ
เขาไม่รอช้าเมื่อนางถึงสวรรค์ไปก่อนด้วยนิ้วของเขา นั่นแสดงว่านางเองก็คงกลั้นความคิดถึงเอาไว้เหมือนกับเขา ร่างแกร่งสอดใส่ประสานรักกับนางอย่างรวดเร็ว คนใต้ร่างส่งเสียงร้องแข่งกับเสียงดังของร่างทั้งสองแต่ท่านอ๋องเองก็ทนได้ไม่นานเช่นกัน เขาตามนางไปติด ๆ ในเวลาไม่นาน“อาาา หยุนเฟย เพียงได้กลิ่นเจ้าข้าก็….เอาไว้แก้ตัวรอบหน้า อึ๊ยยย!!”น้ำรักอุ่น ๆ ถูกฉีดพ่นเข้าไปด้านในสุดแรง หยุนเฟยเปลี่ยนมานั่งคร่อมเขาเอาไว้ เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเป็นบ้าตายเพราะร่างที่งดงามและขาวดุจฝ้ายบริสุทธิ์ ผิวนุ่มลื่นดุจแพรไหมเมื่อนางเริ่มขยับเอวเพื่อควบคุมเขาทำเอาเขาแทบคลั่งตาย“อาา หยุนเฟย อย่าเร่ง ข้าจะ…แตก…อาาา”“เว่ยหราน ….อื้อ….ท่านพี่ อ๊าาา ดึงแรง ๆ แรงอีก อ๊าา”นางจับมือหนาของเขาให้มาช่วยจับหน้าอกทั้งสองของนางเพื่อเร่งจังหวะให้นาง ความเสียวเข้าเล่นงานนางจนแทบจะหลอมละลายคาเตียงไปพร้อมกับเขา ไฟรักถูกจุดขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลามีหรือทั้งคู่จะยอมหยุด“อ๊าา อีกไม่นานแล้ว ท่านพี่ ข้า…อ๊าา”“ก้มลงมาหน่อย ขอกินนมหน่อย อ๊าาา”“อ๊าา เว่ยหราน ทนไม่ไหว….อย่าเด้งมาถี่ หม่อมฉัน…จะ…เสร็จ…อ๊าาา”นึกไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ห่างกันจะสาม
ท่านอ๋องที่ท่าทีฉุนเฉียวเดินมานั่งรอพวกเขาที่โต๊ะในระเบียงก่อนจะออกไปที่สวน เขามองเห็นเถาปิ่นโตที่หลีเม่ยถือมาแล้วก็เริ่มรู้สึกอบอุ่นหัวใจมากขึ้น หรือว่าหยุนเฟยจะทำอาหารมาให้เขากันนะ“นั่นเจ้าเอาอะไรมาด้วยอาเม่ย”“พี่เขย นะ…นี่….พี่ใหญ่เกรงว่าท่านจะไม่ยอมกินข้าวก็เลย…”“เอามาให้ข้าเร็ว ๆ เข้า”เกาหานยกเถาปิ่นโตหลายชั้นส่งให้ท่านอ๋องทันทีพร้อมกับสีหน้าที่ดีขึ้นกว่าตอนที่พวกเขาเห็นก่อนหน้า นึกไม่ถึงว่าพลังแห่งรักจะทำให้ท่านอ๋องเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ เขานึกว่าท่านอ๋องเป็นบ้าไปแล้วเสียอีก เดี๋ยวฉุนเฉียว อีกเดี๋ยวก็ยิ้มเพียงแค่เห็นเถาปิ่นโตที่ถูกส่งมาจากว่าที่เจ้าสาวของตัวเอง“เจ้าขำอะไรเกาหาน”“อะแฮ่ม กระหม่อม…มิได้ขำพ่ะย่ะค่ะ”“อย่าให้ถึงคราวเจ้าบ้างก็แล้วกัน ข้าจะรอดูเจ้าทรมาน”“ท่านอ๋องอย่าทรงขู่เช่นนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นทหารนะพ่ะย่ะค่ะ ย่อม….อดทนได้ดีพ่ะย่ะค่ะ”“หึ แล้วข้ามิใช่ทหารงั้นหรือ ข้าจะรอดูเจ้าทุรนทุราย นี่อะไรขนมที่นางทำเองงั้นหรือ มะ…มีจดหมายด้วย”“ท่านอ๋องเพคะ ยังมีนี่ด้วยเพคะ พี่ใหญ่กำชับมาว่าให้ส่งให้พระองค์….”เขารีบคว้าซองจดหมายที่อบร่ำกลิ่นมาอย่างดีพร้อมกับมองของที
สำนักศึกษา เทียนเป่าฟางหมิง เหล่าชาวบ้านกำลังเตรียมอาหารและม่านมงคลเพื่อประดับตามที่ต่าง ๆ เนื่องในวันมงคลที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกสองงานในเร็ววันนี้งานแรกคงไม่พ้นงานสมรสพระราชทานที่มีฮองเฮาเป็นเจ้าภาพ ทรงโปรดเกล้าฯให้ทั้งคู่ได้แต่งงานกันที่สำนักศึกษาและส่งตัวที่เรือนหอพระราชทานของท่านอ๋องอีกงานหนึ่งก็คือพิธีปักปิ่นของสตรีครบวัยสิบเจ็ดปี ซึ่งปีนี้ได้รับพระราชทานพิเศษจากฝ่าบาทให้จัดที่นี่เพื่อเป็นเกียรติกับเหล่าสตรีในเมืองหลวง“เร็ว ๆ เข้า ต้องทำสุดฝีมือเลยนะพวกเรา หัวไชเท้าวางตรงนี้ นั่น ๆ พวกเจ้าเอาผักกาดไปล้างเร็ว ๆ เข้าอย่าได้พลาดเชียว”“ท่านป้า เห็ดหอมนี่ได้มามากเลยให้เอาไว้ที่ใด”“เอาไปวางไว้ในครัวเลย หลานฮูหยินรออยู่เร็ว ๆ เข้า”ในโรงครัวที่สร้างขยายขึ้นชั่วคราวเริ่มวุ่นวายเมื่อของและผักสด ๆ เริ่มทยอยนำมาส่งจากแปลงผักสวนใหม่ของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เนินเขาที่นั่นพื้นที่กว้าง อากาศดีและยังมีลำธารที่ไหลมาจากภูเขาไหลผ่าน ผักที่ปลูกจากที่นั่นทั้งโตไวและงดงามขายได้ราคา ชาวบ้านที่นี่เริ่มมีรายได้มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็เริ่มมีโรงงานทอผ้ามาตั้งเพิ่มแล้วเพราะท่านเจ้าเมืองเริ่มอนุญาตให้ขยายที
“หม่อมฉันหิวแล้วเพคะ”“อยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่”“หม่อมฉันอยากทำบะหมี่กินเองเพคะ”“เจ้ายังลุกไหวงั้นหรือ ให้คนทำให้ดีกว่าหรือไม่”“แต่หม่อมฉันอยากทำบะหมี่ให้พระองค์เสวย ที่นี่เป็นเรือนหอของเรามิใช่หรือเว่ยหราน หม่อมฉันอยากทำหน้าที่ภรรยาที่ดีบ้าง”“อืม…เช่นนั้นข้าจะไปช่วยเจ้า เราช่วยกันทำดีหรือไม่”“พระองค์ทำเป็นหรือเพคะ”“ก็…ช่วยเจ้านวดแป้งก็พอได้ ข้าแรงเยอะนะ แม้ว่าจะถูกเจ้าดูดพลังไปมากก็ยังพอมีเหลืออยู่”“เช่นนั้นก็ได้เพคะ”ห้องครัวหยุนเฟยพึ่งค้นพบความสุขที่เรียบง่ายที่สุดที่นางเคยเฝ้ารอมาทั้งชีวิต การทำบะหมี่ให้คนที่รักกินและได้ทำครัวร่วมกัน สอนท่านอ๋องนวดแป้งเพื่อทำบะหมี่สำหรับพวกเขาสองคน“แรงกว่านี้หน่อยสิ ไหนท่านบอกว่าแรงยังเหลืออยู่อย่างไรเพคะ”“ก็เจ้าไม่ได้บอกนี่ว่าต้องนวดท่าเดียวนี่นานขนาดนี้ วันนั้นฮูหยินกับพวกท่านป้าทำอย่างไรกันนะ มีความอดทนกันเกินไปแล้ว งานเช่นนี้ไม่เหมาะกับข้าจริง ๆ”“เว่ยหราน ท่านรับปากแล้วว่าจะทำ”“ข้าก็ไม่ไ่ด้บอกว่าจะไม่ทำเสียหน่อย มานี่หน่อยสิมีอะไรติดหน้าเจ้าแน่ะ”หยุนเฟยเดินเข้าไปหาเขาและโดนท่านอ๋องขโมยจูบไปอีกครั้ง หยุนเฟยยอมให้เขาจูบเพราะกลัวว
ท่านอ๋องหันมามองหน้านางที่ยิ้มอย่างจริงใจพร้อมกับเดินเข้ามาเบียดกายจนชิดเขา ท่านอ๋องลอบกลืนน้ำลายเหนียวลงคอ ท่าทางที่น้อยใจนางเมื่อครู่ลดลงราวกับไม่เคยเกิดขึ้น แต่เขาจะไม่ให้อภัยนางง่าย ๆ หรอก“อย่าเลย วันนี้เย็นแล้ว ข้าพาเจ้ากลับ…หยุนเฟย เจ้าจะไปไหน”นางเดินนำเขาเข้าไปด้านใน ในเมื่อเขายืนยันจะกลับแต่หากนางเดินเข้ามาเขาก็ไม่กล้าขัดใจนางหรอก หยุนเฟยเดินสำรวจทีละห้องอย่างพอใจแต่ก็ติติงเกี่ยวกับการจัดห้องและเริ่มบอกกับท่านอ๋องให้โยกย้ายบางอย่างจนท่านอ๋องนึกแปลกพระทัยขึ้นมา“โต๊ะนี่ตั้งตรงนี้ไม่เหมาะ เวลาแดดส่องจะทำงานไม่ได้แม้ว่าแสงจะส่งมาเพียงพอ กลับอีกทางจะดีกว่า ม่านตรงนี้เอาออกเพราะมันจะพัดออกไปและดึงเศษใบไม้เข้ามา โคมไฟนี่เอามาตั้งตรงนี้ได้เช่นไรเพคะ เสี่ยงมากเวลาลมพัดแรงอาจจะทำให้ไฟไหม้ขึ้นได้ เอาออกมา”ท่านอ๋องต้องรีบยกของที่นางชี้ทีละอย่างและโยกย้ายจนกว่านางจะพอใจเพราะวันนี้เขาไม่ได้พาจื่อลู่มาด้วย เขาเลยต้องเหนื่อยยกเองทีละอย่างจนเดินมาถึงในห้องบรรทมที่ถูกจัดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ที่นี่เป็นที่เดียวที่หยุนเฟยไม่สั่งให้ท่านอ๋องย้ายอย่างอื่นไป“หม่อมฉันเหนื่อยแล้วเพคะขอพักสักครู่”“ข
“ว่าอย่างไรนะเพคะ ช่างเด็ดขาดนัก”“หยุนเฟย คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์รุนแรงและโหดเหี้ยมอีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับคนในราชวงศ์ และคนร้ายยังเป็นถึงพระสนมด้วย ฝ่าบาทไม่มีทางปล่อยเอาไว้นานหรอก”“แต่ว่าท่านพ่อเจ้าคะ เช่นนี้แล้วสกุลชุนจะยอมหรือเจ้าคะ”“แม้แต่ใต้เท้าชุนเหลียงบิดาของนางยังถูกลดขั้นเหลือเพียงขุนนางขั้นสี่จากตำแหน่งรองเจ้ากรมขุนนาง ครั้งนี้ฝ่าบาทเห็นว่าเขาเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และไม่ได้รู้เห็นกับบุตรสาวจึงยังไม่ปลดเขาออกก็นับว่าโชคดี"“จบสิ้นจริง ๆ สักทีสินะ”ท่านอ๋องหันไปมองหน้าท่านราชครู เขายิ้มและพยักหน้ากลับคืนมาให้ท่านอ๋องจึงได้กล่าวออกมา“เรื่องทุกอย่างคลี่คลายแล้ว พวกเราเองก็คงต้องเตรียมตัวแล้วนะหยุนเฟย”“เตรียมตัวหรือเพคะ”“ใช่ พ่อพึ่งออกมาจากวัง ฝ่าบาทแจ้งว่าฮองเฮาทรงโปรดปรานเจ้ามากหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในวัง รับสั่งว่าจะเป็นประธานเปิดสำนักศึกษาแห่งใหม่และให้เจ้าดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่”“จริงหรือเจ้าคะ ข้าจะได้เป็น….อาจารย์ใหญ่เลยหรือเจ้าคะ”“ใช่ จากนี้เจ้าต้องตั้งใจ อย่าทำให้ฝ่าบาทและฮองเฮาทรงผิดหวัง”“เจ้าค่ะท่านพ่อลูกสัญญาว่าจะตั้งใจเจ้าค่ะ”“อีกอย่าง ข้าเองก็ขอให้ฝ่าบาทเร
“จำได้สิเพคะ ก็หม่อมฉันบอกแล้วว่าจะหาวิธีที่จะทำให้พระสนมเว่ยและชุนลี่ถิงสารภาพความผิด หม่อมฉันจึงแกล้งว่าผีของจางเหมยลั่วเข้าสิงและบีบให้นางพูดก็ได้ผลมิใช่หรือเพคะ ชุนลี่ถิงกลัวจนยอมพูดออกมาแล้วจากนั้นหม่อมฉันก็สลบไป”ท่านอ๋องมองนางและรู้สึกเป็นห่วงนางอย่างมาก แม้ว่านางจะเล่ามาเช่นนี้นั่นแสดงว่าหลังจากเรื่องนี้แล้วนางไม่รู้สึกตัวเลยงั้นหรือ หยุนเฟยราวกับรู้ว่าต้องเกิดเรื่องที่ผิดปกติขึ้นแน่หลังจากที่นางสลบไปแล้ว“เว่ยหรานหรือว่าหลังจากที่หม่อมฉันสลบไป ยังมีอะไรเกิดขึ้นอีกงั้นหรือเพคะ”“นี่เจ้า….มิได้แกล้งเป็นฟ่งลี่เซียน ต่อจากที่….”“ฟ่งลี่เซียน!! ไม่นะเพคะก็เราตกลงกันแค่ว่าหม่อมฉันแกล้งเป็นเพียงจางเหมยลั่วเท่านั้นและนางก็สารภาพแล้วนี่เพคะ”ท่านอ๋องรีบดึงนางเข้ามากอดด้วยความกลัวที่ผุดขึ้นมาอีกครั้ง โชคดีมากจริง ๆ ที่นางไม่เป็นอะไรไป โชคดีที่ฟางหยุนเฟยแค่มาลาเท่านั้นและฟ่งลี่เซียนเพียงแค่ต้องการมาแก้แค้นชุนลี่ถิงโดยผ่านร่างของนาง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ การที่เขาและท่านราชครูยอมให้นางแสดงละครเพื่อจับคนร้ายแต่ผลที่ตามมากลับน่ากลัวเกินคาดเดา หากรู้เช่นนี้คงไม่ยอม