แต่กว่าที่เขาจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวเสิ่น ฉินเย่ก็จัดการปัญหาทั้งหมดแทนเขาเรียบร้อยแล้วเนื่องจากตอนนั้นน้องสาวที่หวังดีเกินไปของเขาบอกว่ากลัวว่าเรื่องนี้จะกระทบกับการเรียนต่อของตัวเขาเอง ดังนั้นจึงไปบอกสายของเขาเก็บเรื่องนี้เป็นความลับจนกระทั่งเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ พอถามไปก็พบว่ามันเกิดเรื่องใหญ่แบบนั้นขึ้น จริงๆแล้ว ยัยน้องสาวตัวป่วนชอบฉินเย่ ทำให้เขาช้ากว่าคนอื่นไปหนึ่งก้าว นอกจากนี้ยังคิดไม่ถึงว่าในการช่วยเหลือเธอเขาก็ช้าไปหนึ่งก้าวเหมือนกัน ““เอาเป็นว่าถ้าหลังจากนี้มีอะไรให้ช่วยก็บอกฉันนะ” ครั้งนี้ เขาจะไม่เป็นเหมือนแต่ก่อน เขาจะไม่ยอมแพ้อีกแล้ว รถจอดนิ่งอยู่ที่หน้าประตูบ้าน เสิ่นหยินอู้ปลดเข็มขัดนิรภัยออก “ขอบคุณที่มาส่งฉันถึงบ้าน งั้นฉันไปก่อนนะ ขับรถกลับดีๆล่ะ”โม่ไป๋พยักหน้ารับ “โอเค เธอรีบไปพักผ่อนเถอะ” เขามองไปที่ผู้โดยสารที่ตอนนี้ลงจากรถไปแล้วเดินไปที่ประตูใหญ่ เธอหันกลับมาแล้วโบกมือเพื่อบอกเขาว่าให้ไปได้แล้ว เขายิ้มพร้อมกับพยักหน้ามองดูเธอเข้าบ้านไปทันทีที่ร่างบางหายไปจากสายตา รอยยิ้มของเขาก็หายไป โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาปรายตา
คำพูดนั้นของฉินเย่จริงๆควรจะมาพร้อมกับอีกประโยคคือ ฉันเห็นเธอนั่งรถของโม่ไป๋กลับมาที่บ้าน คำพูดนั้นค้างอยู่ที่ปาก แต่เขายังไม่ได้พูดออกไปจริงๆแล้วมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว ก็ส่งถึงหน้าบ้านซะขนาดนั้นแต่เมื่อคำพูดนั้นถึงหูของเสิ่นหยินอู้ เธอกลับเข้าใจผิดไปว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องที่เจียงฉูฉู่ได้รับบาดเจ็บเธอมั่นใจว่าเธอไม่ได้ผลักเจียงฉูฉู่ แต่ถ้าพูดออกไปแบบนั้นเขาจะเชื่อหรอ? เขาคงจะเชื่อแค่เจียงฉูฉู่? หลักจากคิดไปซักพัก เสิ่นหยินอู้มองไปที่เขา ไม่ตอบคำถามแต่ถามกลับไปว่า “เธอพูดยังไงกับคุณ?” “อะไรนะ?” ตอนแรกฉินเย่ยังนึกไม่ออกว่าเธอพูดเรื่องอะไร เพราะตอนนี้เขากำลังจดจ่ออยู่กับเรื่องที่โม่ไป๋ส่งเธอกลับมาที่บ้านเขาใช้เวลาซักพักกว่าจะนึกออกมาเสิ่นหยินอู้กำลังพูดถึงเรื่องอะไร “คุณหมายถึงฉูฉู่?” ฉูฉู่ สนิทกันมากสิท่า ดูเรียกเข้า เสิ่นหยินอู้ยิ้มเยาะ “ก็ใช่น่ะสิ เธอได้รับบาดเจ็บหนิ? ฉันจะบอกว่าเธอเป็นคนล้มลงไปเอง คุณเชื่อมั้ย?” พูดจบเสิ่นหยินอู้ไม่รอคำตอบของเขา สีหน้ายังคงสงบ ดูเหมือนจะมีแววตาเยาะเย้ยจากสายตาคู่นั้นแม้ว่าฉันจะกำลังอธิบาย แต่ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้เชื่
“ฉันรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืนนี้ทำให้เธอรู้สึกคับแค้นใจ ฉันสัญญาว่า ฉันจะ…” “คุณจะออกไปมั้ย?”เสิ่นหยินอู้หยิบขวดเจลอาบน้ำขว้างใส่เขา “ไปให้พ้น!” ฉินเย่ที่ตอนแรกตั้งใจจะอธิบายงุนงงอยู่กับที่ นี่เป็นครั้งแรกที่เสิ่นหยินอู้พูดจารุนแรงกับฉินเย่ฉินเย่ยืนอยู่กับที่ ใบหน้าอึมครึมและริมฝีปากที่ตรงราวกับเส้นตรง เผยให้เห็นอารมณ์ของเธอ เสิ่นหยินอู้ยืนมองเขาอย่างเยือกเย็น สีหน้าบ่งบอกว่าไม่อยากเห็นเขาอีกต่อไปผ่านไปชั่วครู่ ฉินเย่ก็หมุนตัวแล้วเดินออกไป เมื่อเขาออกไปแล้ว เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าไหล่ของเธอมีหินทับลงมาจนเกือบจะล้ม เธอยืดมือพยุงกำแพงแล้วนั่งลงช้าๆ พิงกำแพงและหลับตาลงความโกรธที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ คงเป็นเพราะคำพูดของฉินเย่ทำให้เธอโกรธจนเวียนหัวคลื่นไส้ คลื่นไส้?เสิ่นหยินอู้เปิดตาขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงบางอย่าง แย่แล้ว อารมณ์ที่ปั่นป่วนขนาดนี้จะส่งผลต่อลูกในท้องไหมนะ?และเธอสังเกตว่าช่วงนี้เธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ ถึงแม้จะบอกว่าจะพยายามสงบสติอารมณ์ทุกครั้ง แต่ก็จะควบคุมอารมณ์ไม่ได้เพราะเรื่องบางอย่างเสมอ มันเกิดอะไรขึ้น?เสิ่นหยินอู้เอื้อมมือ
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ เจียงฉูฉู่ก็ยิ่งเกลียดเสิ่นหยินอู้จนไม่สนใจคำห้ามปรามของคนรอบข้างในขณะที่ผู้ช่วยหลี่ ผู้ช่วยของฉินเย่ที่ถูกเรียกมาหลังเลิกงาน กำลังยืนอยู่ที่ประตูและเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเงียบๆเขากอดอกพิงกำแพง มองภาพนี้ด้วยความรู้สึกหมดความอดทนแน่นอนว่าความอ่อนโยนที่เห็นภายนอกนั้นเป็นการเสแสร้งทั้งหมดแม้ว่าจะเห็นใจและสงสารเจียงฉูฉู่ที่หน้าผากบาดเจ็บเช่นนี้ และยังได้ยินหมอบอกว่าจะเป็นแผลเป็น เพราะการเสียโฉมเช่นนี้สำหรับผู้หญิงนั้นเป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนต่อจิตใจเป็นอย่างมากแต่เมื่อคิดว่าเสิ่นหยินอู้ที่เป็นเลขาของพวกเขากำลังตั้งครรภ์อยู่ เขาก็ไม่รู้สึกสงสารเจียงฉูฉู่เลยยิ่งไปกว่านั้นพวกเพื่อนของเจียงฉูฉู่ก็พยายามบอกกับฉินเย่ว่าเสิ่นหยินอู้เป็นคนที่ผลักเจียงฉูฉู่จนล้มลงจนเจียงฉูฉู่ต้องกลายเป็นแบบนี้เขาฟังแล้วก็ยิ่งโกรธ เสิ่นหยินอู้ที่พยายามรับความทุกข์จากการท้องด้วยตัวเองเพียงคนเดียว จะเป็นไปได้อย่างไรที่เธอจะทำเรื่องแบบนั้น?ถึงแม้ว่าเธอจะผลักจริงๆ มันก็ต้องมีเหตุผลในใจของผู้ช่วยหลี่เขาเอนเอียงไปทางเสิ่นหยินอู้ ดังนั้นเขาจึงมองเจียงฉูฉู่และเพื่อนๆของเธอด้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเจียงฉูฉู่ก็เปลี่ยนไป “เขาไปไหนแล้ว? รีบหยุดเขาไว้!” เจียงฉูฉู่จ้องมองไปที่ซูเชี่ยวด้วยความไม่พอใจ "เธอจะพูดจาซี้ซั้วไร้สาระไปเพื่อ? ในเมื่อฉินเย่โทรเรียกเขามา เขาก็ต้องเป็นคนของฉินเย่ เธอหยาบคายกับเขาขนาดนี้ ถ้าเขาเอาเรื่องแย่ๆของฉันไปบอกฉินเย่ขึ้นมาจะทำยังไง?” ซูเชี่ยวอึ้งอยู่ที่เดิม คาดไม่ถึงว่าฉูฉู่จะกล่าวหาเธอ "ฉัน ฉันแค่เห็นเธอร้องไห้เพราะเศร้าใจและอารมณ์ก็ไม่ค่อยดี ฉันก็เลยคิดจะให้เขาโทรหาฉินเย่ก็แค่นั้นเอง" เจียงฉูฉู่ไม่มีความคิดที่จะฟังซูเชี่ยวอธิบายอะไรอีกต่อไป เดิมทีสำหรับเธอแล้ว สถานการณ์ในปัจจุบันมาถึงตรงนี้มันถือว่าไม่ดีเลยสักนิด ดังนั้นเธอจึงวางแผนให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเพื่อที่ฉินเย่จะได้เบี่ยงเบนความสนใจทั้งหมดมาที่ตัวเธอ แต่ใครจะรู้ อาการบาดเจ็บเล็กน้อยกลายเป็นการบาดเจ็บสาหัส เธอคงทำเกินไปจริงๆ ช่างมันเถอะ สิ่งที่สำคัญคือเธอบาดเจ็บรุนแรงขนาดนี้ ฉินเย่ยังจะออกไปในเวลาแบบนี้อีก นี่คือสิ่งที่เจียงฉูฉู่ไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด หากเธอเสียโฉมและถ้าฉินเย่ไม่ต้องการเธอ เธอจะให้เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร? ภายในใจของเจียงฉูฉู่ต
หลังจากพูดจบ ฉินเย่ก็เดินขึ้นไปชั้นบนไปโรงพยาบาลด้วยฝีก้าวที่มั่นคง หลังจากฟังเจียงฉูฉู่พูดแล้ว และกำลังจะลงไปชั้นล่างเพื่อไปหาผู้ช่วยหลี่ แต่เมื่อเห็นฉินเย่กลับมาแล้ว เขาก็หยุดฝีเท้าลง “ประธานฉิน ฉู ฉูฉู่เธอ…” อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเธอจะพูดจบ ฉินเย่ก็เดินผ่านพวกเธอไปโดยไม่แม้แต่จะชายตามอง ฉินเย่ในเวลานี้อยู่ในอารมณ์ที่แย่มากเพราะเขาทะเลาะกับเสิ่นหยินอู้ สีหน้าของเขาก็ดูแย่มากเช่นกัน ผู้หญิงหลายคนสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบที่แผ่ออกมาจากร่างกายของเขาอย่างชัดเจน พวกเธอตกตะลึงอยู่กับที่และไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดรั้งเขาไว้และพูดอะไรกับเขา แต่จู่ๆฉินเย่กลับสังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่าง ฝีเท้าของเขาชะงักไปครู่หนึ่ง เขาหันไปมองคนคนหนึ่งในกลุ่มของพวกเธอ "คุณ ทำไมยังอยู่ที่นี่อีก?" ซูเชี่ยวยืนอยู่กับทุกคน แต่ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงสายตาอันเย็นชาที่ตกลงมาบนหัวของเธอ เธอเงยหน้าขึ้นและสบตาเข้ากับสายตาที่อันตรายและเฉียบคมของฉินเย่ เธอตกใจจนหนังศีรษะของเธอชาไปหมด และเธอไม่รู้จะอธิบายอย่างไร "เย่!" ในเวลานี้ เสียงของเจียงฉูฉู่ก็ดังขึ้นจากที่ไม่ไกลพอดี ทุกคนมองไปตามเสียงนั้นแ
เมื่ออยากจะร้องไห้ ดวงตาของเธอแทบจะเต็มไปด้วยน้ำตา แต่กลับไม่มีน้ำตาหยดลงมาสักหยด ในที่สุดดวงตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเธอก็หันหลังกลับอย่างดื้อรั้น เธอซ่อนน้ำตาทั้งหมดไว้โดยหันหลังให้เขา ทันใดนั้นฉินเย่ก็รู้สึกจวนตัวเล็กน้อย เขายังคงจำตอนเด็กๆที่เธอร้องไห้เสียงดังต่อหน้าเขาที่ทั้งน้ำตาและน้ำมูกไหล เหมือนกันกับที่เธอดึงชายเสื้อของเขาเบาๆเช่นนี้ เธอมองเขาอย่างน่าสงสารและสูดจมูกอีกครั้ง ดวงตาของเธอเป็นสีแดง มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เธอหยุดร้องไห้ต่อหน้าเขาและซ่อนน้ำตาเอาไว้ ในที่สุดฉินเย่ก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว้าเหว่อยู่ภายในใจมาตั้งแต่แรก เพราะระหว่างเสิ่นหยินอู้กับเขามีช่องว่างที่ลึกมากๆอยู่ เธอไม่เห็นเขาเป็นคนสนิทชิดเชื้อที่สามารถแบ่งปันปัญหาทางอารมณ์ต่างๆได้อีกต่อไป “เย่...นายโกรธฉันจริงๆใช่ไหม?” เสียงอันนุ่มนวลของเจียงฉูฉู่ทำให้เขากลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง ฉินเย่กลับมามีสติอีกครั้ง มองดูเจียงฉูฉู่ที่มีน้ำตาไหลอาบเต็มหน้า เขาเม้มริมฝีปากแล้วถามว่า "เกิดอะไรขึ้นตอนเย็นวันนี้?" เมื่อได้ยิน เจียงฉูฉู่ก็ตกตะลึง "อะไรนะ?" สายตาของฉินเย่ขยับขึ้นม
เจียงฉูฉู่ตกตะลึง สีบนใบหน้าของเธอค่อยๆหายไป คาดไม่ถึงเลยว่าฉินเย่จะพูดแบบนี้ออกมา หมายความว่าอะไรกันที่ว่าในเมื่อรู้ว่าตัวเธอไม่ระมัดระวังเอง ครั้งต่อไปก็ระวังให้มากขึ้น? ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้เขาคงรู้สึกว่าที่วันนี้เธอล้มลงจนเป็นเช่นนี้มันคือปัญหาของเธอเองและไม่เกี่ยวข้องกับเสิ่นหยินอู้เลยสินะ? เขาไม่ได้คิดที่จะให้เสิ่นหยินอู้รับผิดชอบเลยใช่ไหม? ไม่สิ เธอไม่ควรคิดแบบนี้ในเวลานี้ สิ่งที่เธอควรคิดมากที่สุดในตอนนี้คือ ทำไมฉินเย่ถึงคิดแบบนี้หลังจากออกไปและกลับมา เสิ่นหยินอู้ต้องไปพูดอะไรบางอย่างกับเขาถึงทำให้เขาเปลี่ยนความคิดไปได้ หรือว่ามันจะเป็นแบบนั้น? เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ สีหน้าของฉูฉู่ก็ซีดลง ในขณะนั้น ฉูฉู่ไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป และจู่ๆเธอก็กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของฉินเย่และร้องไห้ออกมาเบาๆ “ฉันขอโทษนะ สิ่งที่นายพูด ฉันจะจำไว้ ฉันก็แค่เจ็บแผลมาก และหมอก็บอกฉันว่ามันจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึกสับสนมาก เมื่อกี้นายไปไหนมา? เย่ นายได้ยินมาใช่ไหมว่าฉันจะมีรอยแผลเป็นบนหน้าผาก นายก็เลยไม่ต้องการฉันแล้วเพราะนายรังเกียจฉันสินะ?” ความอ่อนโยนในอ้อมแขนกลับทำให้ภายใน
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ