เมื่ออยากจะร้องไห้ ดวงตาของเธอแทบจะเต็มไปด้วยน้ำตา แต่กลับไม่มีน้ำตาหยดลงมาสักหยด ในที่สุดดวงตาของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีแดง จากนั้นเธอก็หันหลังกลับอย่างดื้อรั้น เธอซ่อนน้ำตาทั้งหมดไว้โดยหันหลังให้เขา ทันใดนั้นฉินเย่ก็รู้สึกจวนตัวเล็กน้อย เขายังคงจำตอนเด็กๆที่เธอร้องไห้เสียงดังต่อหน้าเขาที่ทั้งน้ำตาและน้ำมูกไหล เหมือนกันกับที่เธอดึงชายเสื้อของเขาเบาๆเช่นนี้ เธอมองเขาอย่างน่าสงสารและสูดจมูกอีกครั้ง ดวงตาของเธอเป็นสีแดง มันเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เธอหยุดร้องไห้ต่อหน้าเขาและซ่อนน้ำตาเอาไว้ ในที่สุดฉินเย่ก็เข้าใจว่าทำไมเขาถึงรู้สึกว้าเหว่อยู่ภายในใจมาตั้งแต่แรก เพราะระหว่างเสิ่นหยินอู้กับเขามีช่องว่างที่ลึกมากๆอยู่ เธอไม่เห็นเขาเป็นคนสนิทชิดเชื้อที่สามารถแบ่งปันปัญหาทางอารมณ์ต่างๆได้อีกต่อไป “เย่...นายโกรธฉันจริงๆใช่ไหม?” เสียงอันนุ่มนวลของเจียงฉูฉู่ทำให้เขากลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง ฉินเย่กลับมามีสติอีกครั้ง มองดูเจียงฉูฉู่ที่มีน้ำตาไหลอาบเต็มหน้า เขาเม้มริมฝีปากแล้วถามว่า "เกิดอะไรขึ้นตอนเย็นวันนี้?" เมื่อได้ยิน เจียงฉูฉู่ก็ตกตะลึง "อะไรนะ?" สายตาของฉินเย่ขยับขึ้นม
เจียงฉูฉู่ตกตะลึง สีบนใบหน้าของเธอค่อยๆหายไป คาดไม่ถึงเลยว่าฉินเย่จะพูดแบบนี้ออกมา หมายความว่าอะไรกันที่ว่าในเมื่อรู้ว่าตัวเธอไม่ระมัดระวังเอง ครั้งต่อไปก็ระวังให้มากขึ้น? ถ้าเช่นนั้น ตอนนี้เขาคงรู้สึกว่าที่วันนี้เธอล้มลงจนเป็นเช่นนี้มันคือปัญหาของเธอเองและไม่เกี่ยวข้องกับเสิ่นหยินอู้เลยสินะ? เขาไม่ได้คิดที่จะให้เสิ่นหยินอู้รับผิดชอบเลยใช่ไหม? ไม่สิ เธอไม่ควรคิดแบบนี้ในเวลานี้ สิ่งที่เธอควรคิดมากที่สุดในตอนนี้คือ ทำไมฉินเย่ถึงคิดแบบนี้หลังจากออกไปและกลับมา เสิ่นหยินอู้ต้องไปพูดอะไรบางอย่างกับเขาถึงทำให้เขาเปลี่ยนความคิดไปได้ หรือว่ามันจะเป็นแบบนั้น? เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ สีหน้าของฉูฉู่ก็ซีดลง ในขณะนั้น ฉูฉู่ไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป และจู่ๆเธอก็กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของฉินเย่และร้องไห้ออกมาเบาๆ “ฉันขอโทษนะ สิ่งที่นายพูด ฉันจะจำไว้ ฉันก็แค่เจ็บแผลมาก และหมอก็บอกฉันว่ามันจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ซึ่งนั่นทำให้ฉันรู้สึกสับสนมาก เมื่อกี้นายไปไหนมา? เย่ นายได้ยินมาใช่ไหมว่าฉันจะมีรอยแผลเป็นบนหน้าผาก นายก็เลยไม่ต้องการฉันแล้วเพราะนายรังเกียจฉันสินะ?” ความอ่อนโยนในอ้อมแขนกลับทำให้ภายใน
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมรับกับแผลเป็นแบบนี้ได้ หลังจากที่คุณหมอจากไปแล้ว เจียงฉูฉู่ก็ร้องไห้งอแงกับฉินเย่อีกครั้ง “เย่ แค่ฉันคิดถึงเรื่องรอยแผลเป็น ฉันก็รู้สึกเศร้ามาก นายคิดว่าหลังจากที่ฉันมีรอยแผลเป็น ฉันจะขี้เหร่มากไหม? นายจะรังเกียจฉันและจะทิ้งฉันไปไหม?” ริมฝีปากบางของฉินเย่ขยับ คำพูดที่เขากำลังจะตอบเธอ ในขณะนี้เขากลับไม่สามารถพูดออกมาได้แม้แต่คำเดียว ในท้ายที่สุด เขาทำพูดได้เพียงว่า "พักผ่อนให้แผลหายดีก่อนแล้วกัน" เจีจยงฉูฉู่รู้สึกผิดหวังมากที่เธอไม่ได้ยินคำสัญญาที่เธอต้องการ ก่อนที่จะนอนลง เธอถึงขั้นคิดว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาฉินเย่คงจะไม่ได้ตกหลุมรักเสิ่นหยินอู้ไปแล้วใช่ไหม? ไม่ได้ เขาคือผู้ชายที่เธอชอบ และเธอจะไม่ปล่อยเขาไปให้คนอื่นเด็ดขาด สำหรับการเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของเขา เธอต้องใช้เรื่องนี้ให้เป็นประโยชน์เพื่อทำให้ฉินเย่เปลี่ยนความคิดทั้งหมดของเขากลับมาสนใจเธอ - เมื่อเสิ่นหยินอู้ตื่นขึ้นมา เธอรู้สึกเวียนหัว หลังจากนอนอยู่สักพักเธอก็รู้สึกคลื่นไส้อย่างรุนแรง เธอลุกขึ้นมาและรีบไปที่ห้องน้ำ เธอฟุบหน้าอยู่ที่อ่างล้างหน้า จากนั้นก็อาเจียนออกมา ใ
เมื่อถึงโรงพยาบาล โจวชวงชวงเป็นที่คนไปต่อคิว ลงทะเบียน จ่ายเงินและทำทุกๆอย่าง เพราะเสิ่นหยินอู้รู้สึกไม่ค่อยสบาย ดังนั้นเธอจึงขดตัวอยู่บนเก้าอี้ที่มุมห้องอยู่ตลอดเวลาเพื่อรอให้โจวชวงชวงจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยและมาหาเธอ เมื่อเห็นสีหน้าที่ค่อนข้างแย่ของเธอ โจวชวงชวงก็ยิ่งกังวลมากขึ้น “เธอโอเคไหม? ทำไมท้องแล้วเหมือนคนป่วยแบบนี้ล่ะ?” หลังจากพูดจบ โจวชวงชวงก็เอื้อมมือออกไปวัดอุณหภูมิบนหน้าผากของเธอ หลังจากแน่ใจว่าเธอไม่มีไข้แล้ว โจวชวงชวงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากไม่มีไข้ ก็อาจเป็นเพราะแพ้ท้อง คงไม่มีปัญหาอื่นๆอะไร เสิ่นหยินอู้ถูฝ่ามือของเธอโดยไม่รู้ตัวและหัวเราะเบาๆ "จริงๆแล้วก็ไม่เป็นไรมากหรอก ฉันแค่รู้สึกอยากนอน ไม่อยากกินตอนที่รู้สึกคลื่นไส้ แล้วก็อยากกินของหวานอยู่ตลอดเวลา" “กินของหวานเหรอ? แต่ต่อให้จะเป็นในเวลาปกติก็ไม่สามารถกินหวานมากเกินไปได้นะ ไม่ต้องพูดถึงในระหว่างตั้งท้องเลย งั้นเดี๋ยวเราถามหมอดูแล้วกัน” ภายใต้คำแนะนำของเธอ เสิ่นหยินอู้พยักหน้า "ได้" โจวชวงชวงมองเสิ่นหยินอู้ที่ตอนนี้ตอบตกลงโดยไม่สนใจว่าคำแนะนำจะเป็นเช่นไร เธอรู้สึกว่าหยินอู้ว่านอนสอนง่ายเป็
สิ่งต่างๆได้พัฒนามาจนเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ โจวชวงชวงได้แต่หวังว่าเสิ่นหยินอู้จะสามารถออกไปจากที่นี่ และหนีไปจากฉินเย่ได้ก่อนที่ใจของเธอจะแตกสลาย ในระหว่างมื้ออาหาร โจวชวงชวงอดไม่ได้ที่จะถาม "ฉันรู้ว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไรที่จะถามเธอตอนนี้ แต่ฉันก็ยังอยากถามเธอ คุณย่าฉินจะทำการผ่าตัดอีกครั้งได้เมื่อไรหรอ? ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล แต่อยู่ที่บ้านแทนแล้วใช่ไหม?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ถือสาที่โจวชวงชวงจะถามเรื่องนี้ ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็เป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวของหยินอู้ หยินอู้จึงไม่ได้ปิดบังอะไรจากเธอเลย “กำลังพักฟื้นอยู่ที่บ้าน แต่ยังไม่กำหนดการที่แน่นอนในการผ่าตัด เพราะคุณย่าเป็นลมเมื่อครั้งที่แล้ว คุณหมอเลยคิดว่าต้องปรับสภาพจิตให้ดีขึ้นก่อน และหวังว่าจะสามารถให้เวลาเธอเพิ่มอีกหน่อยเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดความเครียดรอบที่สอง" เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวชวงชวงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “งั้นเรื่องนี้ก็ต้องเลื่อนออกไปอีกสินะ?” “อืม อาการป่วยของคุณย่าเป็นสิ่งสำคัญ ก็เลยต้องให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อน” โจวชวงชวงไม่ใช่เสิ่นหยินอู้ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดในมุมมองของหยินอ
ก่อนหน้านี้เธอกับเจียงฉูฉู่ทำข้อตกลงกันด้วยวาจาเพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีสิ่งที่ต้องการ แต่จากมุมมองในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะแย่ลงเพราะเรื่องนี้ ไม่ว่าเสิ่นหยินอู้จะผลักเธอหรือไม่ เรื่องในครั้งนี้เจียงฉูฉู่คงจะโทษเธออยู่ดี ดูเหมือนว่าหลังจากนี้การอยู่ร่วมกันโลกด้วยกันอย่างสันติคงจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จากเหตุการณ์นี้ เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าเธอต้องระวังเจียงฉูฉู่ให้มากขึ้น ฉูฉู่แตกต่างไปจากที่เธอจินตนาการไว้มาก ในตอนแรก เสิ่นหยินอู้คิดว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงที่ชอบสวมหน้ากากต่อหน้าผู้คน ทำเป็นแกล้งอ่อนแอ ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรเลย ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างก็อยากมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าคนนอก แต่หากภายใต้เปลือกนอกที่แกล้งทำเป็นอ่อนแอนั้นมีจิตใจที่ชั่วร้ายและต้องการใส่ร้ายผู้อื่น นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาๆแล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้จึงพูดกับโจวชวงชวงว่า "ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลตัวเองดีๆ และเธอก็เห็นแล้วนี่ว่าครั้งนี้ที่เธอต้องการทำร้ายฉัน เธอก็ทำไม่สำเร็จหนิ? มันกลับกลายเป็นว่าเธอทำร้ายตัวเองแทน" “ก็ถูก” โจวชวงชวงพยักหน้า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข
“เป็นแบบนี้นี่เอง คุณผู้หญิง ทำไมถึงไม่รับสายล่ะครับ? คุณผู้ชายโทรหาคุณแต่คุณก็ไม่รับสาย ตอนนี้เขาแทบจะบ้าไปแล้วนะครับ” แทบจะเป็นบ้าไปแล้ว? มุมปากของเสิ่นหยินอู้ยกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ความเย้ยหยันปรากฎขึ้นมาในดวงตาของเธอ การที่เขาพูดแบบนี้... ถ้าเธอไม่รู้ว่าปกติพ่อบ้านมักจะพูดสิ่งดีๆให้ฉินเย่อยู่เสมอ เสิ่นหยินอู้คงคิดไปแล้วจริงๆว่าฉินเย่แทบจะเป็นบ้าเพราะเป็นห่วงเธอ ที่โทรมาหาเธอ ก็คงแค่กลัวว่าเธอจะไปอยู่ในห้องผู้ป่วยของเจียงฉูฉู่สินะ? “เมื่อคืนก่อนที่จะนอนฉันเปิดโหมดห้ามรบกวนไว้ พอตื่นมาก็ลืมปิดน่ะค่ะ” เสิ่นหยินอู้อธิบายเบาๆ ได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านก็แสดงออกมาว่าเขาเข้าใจในทันที เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านกำลังจะรับถุงช้อปปิ้งไปจากมือเธอ เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า "ไม่ต้องถือแทนฉันก็ได้ค่ะ ฉันต้องขึ้นไปชั้นบนพอดี ฉันถือไปเองได้ค่ะ" “คุณผู้หญิง งั้นให้ผมช่วยถือขึ้นไปชั้นบนนะครับ” "ไม่เป็นไร ฉันถือเองได้ค่ะ" เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธพ่อบ้านและถือถุงขึ้นไปชั้นบนด้วยตัวเอง พ่อบ้านยืนอยู่ที่เดิมและเกาหัวด้วยความประหม่า ในขณะที่เขากำลังจะโทรหาฉินเย่ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น “คุณผู้ชาย
"ไม่มีอะไร" เสิ่นหยินอู้แสยะยิ้มให้เขา ยักไหล่และพูดว่า "ฉันแค่คิดเรื่องนี้ในมุมมองของคุณก็เท่านั้นเอง ก็เลยเข้าใจว่าทำไมคุณถึงกล่าวหาฉัน คุณเห็นใจเธอ ก็เลยเข้าใจเธอ" เมื่อเธอพูดคำพูดเหล่านี้ ฉินเย่ก็จ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย “แล้วไงล่ะ?” เขากัดฟันกรอด สายตาของเขาดูน่ากลัว “ฉันหมายความว่า มันเป็นเรื่องปกติมากที่คุณจะให้เธอเป็นที่หนึ่ง” เมื่อพูดถึงจุดนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หยุดไปชั่วคราวแล้วพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค "ฉันก็เลยคิดว่าถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็จะทำแบบเดียวกัน" เสิ่นหยินอู้ไม่เคยถูกใครช่วยชีวิต และไม่เคยสัมผัสกับความสิ้นหวังแบบนั้นของฉินเย่ แต่เธอสามารถคิดได้ แม้ว่าอารมณ์นั้นของเธออาจไม่ถึงหนึ่งในสิบของฉินเย่ก็ตาม ในชั่วขณะที่เข้าใกล้ความตาย ในเสี้ยววิต่อมาที่จะหายใจไม่ออกแล้วจู่ๆกลับมีคนยื่นมือมาช่วยคุณ เหมือนกับฝนที่ตกมาหลังจากความแห้งแล้งอันยาวนาน เหมือนกับแสงอรุณที่ปรากฏขึ้นในคืนที่มืดมิด ใครล่ะจะไม่หวั่นไหว? ฉินเย่มองเธอด้วยสีหน้าที่ขุ่นเคือง “แล้วจะทำอะไรได้? คุณแน่ใจหรอว่าผมกล่าวหาคุณ?” เสิ่นหยินอู้ลดสายตาลง ขนตายาวงอนของเธอสั่นเล็กน้อย "มันไม่สำคัญหรอก" สิ่งที
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ