สิ่งต่างๆได้พัฒนามาจนเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ โจวชวงชวงได้แต่หวังว่าเสิ่นหยินอู้จะสามารถออกไปจากที่นี่ และหนีไปจากฉินเย่ได้ก่อนที่ใจของเธอจะแตกสลาย ในระหว่างมื้ออาหาร โจวชวงชวงอดไม่ได้ที่จะถาม "ฉันรู้ว่ามันไม่ค่อยดีเท่าไรที่จะถามเธอตอนนี้ แต่ฉันก็ยังอยากถามเธอ คุณย่าฉินจะทำการผ่าตัดอีกครั้งได้เมื่อไรหรอ? ตอนนี้เธอไม่ได้อยู่ที่โรงพยาบาล แต่อยู่ที่บ้านแทนแล้วใช่ไหม?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ถือสาที่โจวชวงชวงจะถามเรื่องนี้ ท้ายที่สุดแล้ว เธอก็เป็นเพื่อนสนิทที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวของหยินอู้ หยินอู้จึงไม่ได้ปิดบังอะไรจากเธอเลย “กำลังพักฟื้นอยู่ที่บ้าน แต่ยังไม่กำหนดการที่แน่นอนในการผ่าตัด เพราะคุณย่าเป็นลมเมื่อครั้งที่แล้ว คุณหมอเลยคิดว่าต้องปรับสภาพจิตให้ดีขึ้นก่อน และหวังว่าจะสามารถให้เวลาเธอเพิ่มอีกหน่อยเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดความเครียดรอบที่สอง" เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวชวงชวงก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “งั้นเรื่องนี้ก็ต้องเลื่อนออกไปอีกสินะ?” “อืม อาการป่วยของคุณย่าเป็นสิ่งสำคัญ ก็เลยต้องให้มันเป็นแบบนี้ไปก่อน” โจวชวงชวงไม่ใช่เสิ่นหยินอู้ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดในมุมมองของหยินอ
ก่อนหน้านี้เธอกับเจียงฉูฉู่ทำข้อตกลงกันด้วยวาจาเพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีสิ่งที่ต้องการ แต่จากมุมมองในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะแย่ลงเพราะเรื่องนี้ ไม่ว่าเสิ่นหยินอู้จะผลักเธอหรือไม่ เรื่องในครั้งนี้เจียงฉูฉู่คงจะโทษเธออยู่ดี ดูเหมือนว่าหลังจากนี้การอยู่ร่วมกันโลกด้วยกันอย่างสันติคงจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จากเหตุการณ์นี้ เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าเธอต้องระวังเจียงฉูฉู่ให้มากขึ้น ฉูฉู่แตกต่างไปจากที่เธอจินตนาการไว้มาก ในตอนแรก เสิ่นหยินอู้คิดว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงที่ชอบสวมหน้ากากต่อหน้าผู้คน ทำเป็นแกล้งอ่อนแอ ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรเลย ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างก็อยากมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าคนนอก แต่หากภายใต้เปลือกนอกที่แกล้งทำเป็นอ่อนแอนั้นมีจิตใจที่ชั่วร้ายและต้องการใส่ร้ายผู้อื่น นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาๆแล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้จึงพูดกับโจวชวงชวงว่า "ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลตัวเองดีๆ และเธอก็เห็นแล้วนี่ว่าครั้งนี้ที่เธอต้องการทำร้ายฉัน เธอก็ทำไม่สำเร็จหนิ? มันกลับกลายเป็นว่าเธอทำร้ายตัวเองแทน" “ก็ถูก” โจวชวงชวงพยักหน้า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข
“เป็นแบบนี้นี่เอง คุณผู้หญิง ทำไมถึงไม่รับสายล่ะครับ? คุณผู้ชายโทรหาคุณแต่คุณก็ไม่รับสาย ตอนนี้เขาแทบจะบ้าไปแล้วนะครับ” แทบจะเป็นบ้าไปแล้ว? มุมปากของเสิ่นหยินอู้ยกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ความเย้ยหยันปรากฎขึ้นมาในดวงตาของเธอ การที่เขาพูดแบบนี้... ถ้าเธอไม่รู้ว่าปกติพ่อบ้านมักจะพูดสิ่งดีๆให้ฉินเย่อยู่เสมอ เสิ่นหยินอู้คงคิดไปแล้วจริงๆว่าฉินเย่แทบจะเป็นบ้าเพราะเป็นห่วงเธอ ที่โทรมาหาเธอ ก็คงแค่กลัวว่าเธอจะไปอยู่ในห้องผู้ป่วยของเจียงฉูฉู่สินะ? “เมื่อคืนก่อนที่จะนอนฉันเปิดโหมดห้ามรบกวนไว้ พอตื่นมาก็ลืมปิดน่ะค่ะ” เสิ่นหยินอู้อธิบายเบาๆ ได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านก็แสดงออกมาว่าเขาเข้าใจในทันที เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านกำลังจะรับถุงช้อปปิ้งไปจากมือเธอ เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า "ไม่ต้องถือแทนฉันก็ได้ค่ะ ฉันต้องขึ้นไปชั้นบนพอดี ฉันถือไปเองได้ค่ะ" “คุณผู้หญิง งั้นให้ผมช่วยถือขึ้นไปชั้นบนนะครับ” "ไม่เป็นไร ฉันถือเองได้ค่ะ" เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธพ่อบ้านและถือถุงขึ้นไปชั้นบนด้วยตัวเอง พ่อบ้านยืนอยู่ที่เดิมและเกาหัวด้วยความประหม่า ในขณะที่เขากำลังจะโทรหาฉินเย่ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น “คุณผู้ชาย
"ไม่มีอะไร" เสิ่นหยินอู้แสยะยิ้มให้เขา ยักไหล่และพูดว่า "ฉันแค่คิดเรื่องนี้ในมุมมองของคุณก็เท่านั้นเอง ก็เลยเข้าใจว่าทำไมคุณถึงกล่าวหาฉัน คุณเห็นใจเธอ ก็เลยเข้าใจเธอ" เมื่อเธอพูดคำพูดเหล่านี้ ฉินเย่ก็จ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย “แล้วไงล่ะ?” เขากัดฟันกรอด สายตาของเขาดูน่ากลัว “ฉันหมายความว่า มันเป็นเรื่องปกติมากที่คุณจะให้เธอเป็นที่หนึ่ง” เมื่อพูดถึงจุดนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หยุดไปชั่วคราวแล้วพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค "ฉันก็เลยคิดว่าถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็จะทำแบบเดียวกัน" เสิ่นหยินอู้ไม่เคยถูกใครช่วยชีวิต และไม่เคยสัมผัสกับความสิ้นหวังแบบนั้นของฉินเย่ แต่เธอสามารถคิดได้ แม้ว่าอารมณ์นั้นของเธออาจไม่ถึงหนึ่งในสิบของฉินเย่ก็ตาม ในชั่วขณะที่เข้าใกล้ความตาย ในเสี้ยววิต่อมาที่จะหายใจไม่ออกแล้วจู่ๆกลับมีคนยื่นมือมาช่วยคุณ เหมือนกับฝนที่ตกมาหลังจากความแห้งแล้งอันยาวนาน เหมือนกับแสงอรุณที่ปรากฏขึ้นในคืนที่มืดมิด ใครล่ะจะไม่หวั่นไหว? ฉินเย่มองเธอด้วยสีหน้าที่ขุ่นเคือง “แล้วจะทำอะไรได้? คุณแน่ใจหรอว่าผมกล่าวหาคุณ?” เสิ่นหยินอู้ลดสายตาลง ขนตายาวงอนของเธอสั่นเล็กน้อย "มันไม่สำคัญหรอก" สิ่งที
พวกเขาทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ฉินเย่มองต่ำลง เขาสามารถมองเห็นขนเส้นเล็กๆบนผิวที่ขาวเนียนละเอียดและริมฝีปากสีเชอร์รี่อ่อนๆของเธอ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมจางๆจากตัวเธอที่เขาคุ้นเคยมากในอดีต เขารู้ว่าเธอไม่เคยใช้น้ำหอม นั่นจึงเป็นกลิ่นครีมอาบน้ำที่ผสมกับกลิ่นหอมอันสดชื่นจากเส้นผมของเธอ ในขณะที่ได้กลิ่น ฉินเย่มีความคิดที่จะกอดเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขา เพราะเมื่อก่อนเขาทำแบบนี้ แต่ในขณะที่เขากำลังคิดที่จะยกมือขึ้น เขาก็เห็นเสิ่นหยินอู้ชักมือกลับไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา "เสร็จแล้ว" ความเยือกเย็นและความเฉยเมยในดวงตาของเธอทิ่มแทงหัวใจของฉินเย่ในทันที ความคิดที่แสนหวานทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเสี้ยววินาทีนั้น เขาแสยะริมฝีปากและยิ้มเยาะ "ขอบคุณที่แสดงได้สมจริงมาก" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ตกตะลึง จากนั้นก็ยิ้มอย่างไม่แยแส "ไม่ต้องขอบคุณ มันเป็นสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้ว" ปฏิกิริยาของเธอเหมือนกับการต่อยลงไปบนสำลี ไม่เจ็บไม่คัน ฉินเย่ละสายตาไปจากเธอด้วยความเย้ยหยันและเดินออกไปโดยมีสีหน้าไร้อารมณ์ “เดี๋ยวก่อน” เสิ่นหยินอู้เรียกเขาให้หยุด ฉินเย่หยุดฝีเท้า และไม่ได้หันกลับ
เสิ่นหยินอู้ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เธอทำให้ฉินเย่โกรธจนเดินออกไปได้โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร ในตอนที่เขาจากไป ใบหน้าของเขาบูดบึ้ง และประตูก็ถูกเขาปิดกระแทกเสียงดังลั่นไปทั่วบ้าน เสิ่นหยินอู้ยักไหล่ หลังจากที่เขาจากไป เธอก็ยื่นมือออกไปเพื่อลูบท้องของเธอเบาๆและกระซิบว่า "ลูกรัก ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องสนใจเขา ในอนาคตเมื่อลูกโตขึ้นก็อย่าเป็นเหมือนเขานะ อารมณ์แย่มากไม่ไหวเลยจริงๆ” หลังจากบ่นเสร็จแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไปเก็บข้าวของและเตรียมไปที่บริษัท - ทันทีที่ฉินเย่เข้าไปในโรงรถ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาโกรธเสิ่นหยินอู้มาก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยสีหน้าขุ่นมัว หลังจากเห็นเบอร์ที่โทรมา อารมณ์บนใบหน้าของเขาก็หายไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รับสาย “หมอเฉิน” คนที่โทรหาเขาคือคุณหมอเฉินปินที่ดูแลคุณนายฉิน "สวัสดีครับคุณผู้ชายฉิน" เสียงของเฉินปินอ่อนโยนเหมือนกับเสียงของเขาเอง "ผมเป็นหมอประจำตัวของคุณนายฉิน เฉินปิน ขอโทษที่โทรมารบกวนคุณในเวลานี้ ผมอยากจะทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงนี้ของคุณนายฉิน หากสะดวก วันนี้สามารถพาคุณนายมาตรวจร่างกายได้ไหมครับ?” เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จ
"มานี่" ฉินเย่หยุดเธอไว้แล้วพูดอย่างเย็นชา "ถึงตอนนั้นเราจะไปบอกคุณย่าด้วยกัน ขึ้นรถ" ขึ้นรถ? เสิ่นหยินอู้มองไปที่ที่นั่งคนขับ พูดตามตรง เธอไม่ได้อยากนั่งตรงที่นั่งนั้นเลยจริงๆ เธอขับรถเองคงจะดีกว่าไหม? เมื่อเห็นเธอยืนนิ่งอยู่กับที่ ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะ? คุณไม่ได้อยากอยู่ร่วมกันกับผมอย่างสงบสุขเหรอ แค่รถของผมก็ยังไม่ขึ้นเลยเหรอ?" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้งและยิ้มเล็กน้อย “เปล่า เมื่อกี้ฉันแค่คิดว่าเราจะไปบอกคุณย่าเมื่อไร?” ขณะที่เธอพูด เธอก็เปิดประตูและเข้าไปในรถ ทันทีที่เธอนั่งลงและยังไม่ทันที่จะรัดเข็มขัดนิรภัย รถของฉินเย่ก็ขับออกไป เสิ่นหยินถูกเขาอู้ทำให้เขาตกใจ เธอหันไปมองและเห็นเขากำลังขับรถด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ช่างมันเถอะเสิ่นหยินอุ้ ยังไงซะขอแค่คุณย่าผ่าตัดเสร็จ เธอก็จะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว เขาอารมณ์เสียใส่เธอตอนนี้แล้วยังไงล่ะ ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ เธอต้องสงบนิ่งไว้และอย่าก่อปัญหา หลังจากให้ตัดสินใจด้วยตัวเองอยู่ในใจ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ระงับความโกรธนั้นไว้ และคาดเข็มขัดนิรภัยให้กับตัวเอง ทันทีที่เสิ่นหยินอู้คาดเข็มขัดนิรภัย
หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงที่ทำงานของตัวเอง เสิ่นหยินอู้ก็ตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ก่อนขึ้นไปชั้นบน ทั้งสองตกลงที่จะพาคุณย่าไปโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้และจะกลับไปบอกเธอหลังจากเลิกงานในตอนเย็น แต่ ทั้งคู่ได้ตกลงกันโดยปริยายในการที่จะไม่พูดถึงเรื่องการหย่าร้าง ครั้งที่แล้วเพราะความโกรธเกรี้ยว ทั้งสองจึงไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนแต่เช้า แต่เพราะการผ่าตัดของคุณย่าก็เลยไม่ได้ดำเนินการจนเสร็จสมบูรณ์ ครั้งนี้ เสิ่นหยินอู้จึงไม่รีบร้อน เธอรอให้คุณย่าผ่าตัดเสร็จและพักฟื้นให้หายดีก่อน แล้วจึงค่อยไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนเพื่อรับใบรับรองการหย่าร้าง นอกจากนี้ มันก็เพื่อป้องกันสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วย เธอคิดอย่างนั้นกับตัวเอง และฉินเย่ก็คงคิดแบบเดียวกับเธอ - เมื่อถึงตอนเที่ยง เสิ่นหยินอู้ก็ลงไปชั้นล่างเพื่อซื้อโจ๊กตามปกติ วันนี้เธออยากลองโจ๊กแบบอื่นดู แต่ทันทีที่เธอเดินลงไปถึงชั้นล่าง และยังไม่ทันที่จะได้พูดกับเถ้าแก่ โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากโม่ไป๋ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และหันไปมองตำแหน่งที่รถคนนั้นจอดเมื่อไม่กี่วันก่อนโดยไม่ร
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ