"ไม่มีอะไร" เสิ่นหยินอู้แสยะยิ้มให้เขา ยักไหล่และพูดว่า "ฉันแค่คิดเรื่องนี้ในมุมมองของคุณก็เท่านั้นเอง ก็เลยเข้าใจว่าทำไมคุณถึงกล่าวหาฉัน คุณเห็นใจเธอ ก็เลยเข้าใจเธอ" เมื่อเธอพูดคำพูดเหล่านี้ ฉินเย่ก็จ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย “แล้วไงล่ะ?” เขากัดฟันกรอด สายตาของเขาดูน่ากลัว “ฉันหมายความว่า มันเป็นเรื่องปกติมากที่คุณจะให้เธอเป็นที่หนึ่ง” เมื่อพูดถึงจุดนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หยุดไปชั่วคราวแล้วพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค "ฉันก็เลยคิดว่าถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็จะทำแบบเดียวกัน" เสิ่นหยินอู้ไม่เคยถูกใครช่วยชีวิต และไม่เคยสัมผัสกับความสิ้นหวังแบบนั้นของฉินเย่ แต่เธอสามารถคิดได้ แม้ว่าอารมณ์นั้นของเธออาจไม่ถึงหนึ่งในสิบของฉินเย่ก็ตาม ในชั่วขณะที่เข้าใกล้ความตาย ในเสี้ยววิต่อมาที่จะหายใจไม่ออกแล้วจู่ๆกลับมีคนยื่นมือมาช่วยคุณ เหมือนกับฝนที่ตกมาหลังจากความแห้งแล้งอันยาวนาน เหมือนกับแสงอรุณที่ปรากฏขึ้นในคืนที่มืดมิด ใครล่ะจะไม่หวั่นไหว? ฉินเย่มองเธอด้วยสีหน้าที่ขุ่นเคือง “แล้วจะทำอะไรได้? คุณแน่ใจหรอว่าผมกล่าวหาคุณ?” เสิ่นหยินอู้ลดสายตาลง ขนตายาวงอนของเธอสั่นเล็กน้อย "มันไม่สำคัญหรอก" สิ่งที
พวกเขาทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ฉินเย่มองต่ำลง เขาสามารถมองเห็นขนเส้นเล็กๆบนผิวที่ขาวเนียนละเอียดและริมฝีปากสีเชอร์รี่อ่อนๆของเธอ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมจางๆจากตัวเธอที่เขาคุ้นเคยมากในอดีต เขารู้ว่าเธอไม่เคยใช้น้ำหอม นั่นจึงเป็นกลิ่นครีมอาบน้ำที่ผสมกับกลิ่นหอมอันสดชื่นจากเส้นผมของเธอ ในขณะที่ได้กลิ่น ฉินเย่มีความคิดที่จะกอดเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขา เพราะเมื่อก่อนเขาทำแบบนี้ แต่ในขณะที่เขากำลังคิดที่จะยกมือขึ้น เขาก็เห็นเสิ่นหยินอู้ชักมือกลับไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา "เสร็จแล้ว" ความเยือกเย็นและความเฉยเมยในดวงตาของเธอทิ่มแทงหัวใจของฉินเย่ในทันที ความคิดที่แสนหวานทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเสี้ยววินาทีนั้น เขาแสยะริมฝีปากและยิ้มเยาะ "ขอบคุณที่แสดงได้สมจริงมาก" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ตกตะลึง จากนั้นก็ยิ้มอย่างไม่แยแส "ไม่ต้องขอบคุณ มันเป็นสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้ว" ปฏิกิริยาของเธอเหมือนกับการต่อยลงไปบนสำลี ไม่เจ็บไม่คัน ฉินเย่ละสายตาไปจากเธอด้วยความเย้ยหยันและเดินออกไปโดยมีสีหน้าไร้อารมณ์ “เดี๋ยวก่อน” เสิ่นหยินอู้เรียกเขาให้หยุด ฉินเย่หยุดฝีเท้า และไม่ได้หันกลับ
เสิ่นหยินอู้ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เธอทำให้ฉินเย่โกรธจนเดินออกไปได้โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร ในตอนที่เขาจากไป ใบหน้าของเขาบูดบึ้ง และประตูก็ถูกเขาปิดกระแทกเสียงดังลั่นไปทั่วบ้าน เสิ่นหยินอู้ยักไหล่ หลังจากที่เขาจากไป เธอก็ยื่นมือออกไปเพื่อลูบท้องของเธอเบาๆและกระซิบว่า "ลูกรัก ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องสนใจเขา ในอนาคตเมื่อลูกโตขึ้นก็อย่าเป็นเหมือนเขานะ อารมณ์แย่มากไม่ไหวเลยจริงๆ” หลังจากบ่นเสร็จแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไปเก็บข้าวของและเตรียมไปที่บริษัท - ทันทีที่ฉินเย่เข้าไปในโรงรถ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาโกรธเสิ่นหยินอู้มาก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยสีหน้าขุ่นมัว หลังจากเห็นเบอร์ที่โทรมา อารมณ์บนใบหน้าของเขาก็หายไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รับสาย “หมอเฉิน” คนที่โทรหาเขาคือคุณหมอเฉินปินที่ดูแลคุณนายฉิน "สวัสดีครับคุณผู้ชายฉิน" เสียงของเฉินปินอ่อนโยนเหมือนกับเสียงของเขาเอง "ผมเป็นหมอประจำตัวของคุณนายฉิน เฉินปิน ขอโทษที่โทรมารบกวนคุณในเวลานี้ ผมอยากจะทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงนี้ของคุณนายฉิน หากสะดวก วันนี้สามารถพาคุณนายมาตรวจร่างกายได้ไหมครับ?” เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จ
"มานี่" ฉินเย่หยุดเธอไว้แล้วพูดอย่างเย็นชา "ถึงตอนนั้นเราจะไปบอกคุณย่าด้วยกัน ขึ้นรถ" ขึ้นรถ? เสิ่นหยินอู้มองไปที่ที่นั่งคนขับ พูดตามตรง เธอไม่ได้อยากนั่งตรงที่นั่งนั้นเลยจริงๆ เธอขับรถเองคงจะดีกว่าไหม? เมื่อเห็นเธอยืนนิ่งอยู่กับที่ ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะ? คุณไม่ได้อยากอยู่ร่วมกันกับผมอย่างสงบสุขเหรอ แค่รถของผมก็ยังไม่ขึ้นเลยเหรอ?" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้งและยิ้มเล็กน้อย “เปล่า เมื่อกี้ฉันแค่คิดว่าเราจะไปบอกคุณย่าเมื่อไร?” ขณะที่เธอพูด เธอก็เปิดประตูและเข้าไปในรถ ทันทีที่เธอนั่งลงและยังไม่ทันที่จะรัดเข็มขัดนิรภัย รถของฉินเย่ก็ขับออกไป เสิ่นหยินถูกเขาอู้ทำให้เขาตกใจ เธอหันไปมองและเห็นเขากำลังขับรถด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ช่างมันเถอะเสิ่นหยินอุ้ ยังไงซะขอแค่คุณย่าผ่าตัดเสร็จ เธอก็จะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว เขาอารมณ์เสียใส่เธอตอนนี้แล้วยังไงล่ะ ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ เธอต้องสงบนิ่งไว้และอย่าก่อปัญหา หลังจากให้ตัดสินใจด้วยตัวเองอยู่ในใจ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ระงับความโกรธนั้นไว้ และคาดเข็มขัดนิรภัยให้กับตัวเอง ทันทีที่เสิ่นหยินอู้คาดเข็มขัดนิรภัย
หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงที่ทำงานของตัวเอง เสิ่นหยินอู้ก็ตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ก่อนขึ้นไปชั้นบน ทั้งสองตกลงที่จะพาคุณย่าไปโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้และจะกลับไปบอกเธอหลังจากเลิกงานในตอนเย็น แต่ ทั้งคู่ได้ตกลงกันโดยปริยายในการที่จะไม่พูดถึงเรื่องการหย่าร้าง ครั้งที่แล้วเพราะความโกรธเกรี้ยว ทั้งสองจึงไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนแต่เช้า แต่เพราะการผ่าตัดของคุณย่าก็เลยไม่ได้ดำเนินการจนเสร็จสมบูรณ์ ครั้งนี้ เสิ่นหยินอู้จึงไม่รีบร้อน เธอรอให้คุณย่าผ่าตัดเสร็จและพักฟื้นให้หายดีก่อน แล้วจึงค่อยไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนเพื่อรับใบรับรองการหย่าร้าง นอกจากนี้ มันก็เพื่อป้องกันสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วย เธอคิดอย่างนั้นกับตัวเอง และฉินเย่ก็คงคิดแบบเดียวกับเธอ - เมื่อถึงตอนเที่ยง เสิ่นหยินอู้ก็ลงไปชั้นล่างเพื่อซื้อโจ๊กตามปกติ วันนี้เธออยากลองโจ๊กแบบอื่นดู แต่ทันทีที่เธอเดินลงไปถึงชั้นล่าง และยังไม่ทันที่จะได้พูดกับเถ้าแก่ โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากโม่ไป๋ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และหันไปมองตำแหน่งที่รถคนนั้นจอดเมื่อไม่กี่วันก่อนโดยไม่ร
ทันทีที่พวกเขาจากไป โม่ไป๋ก็เปิดประตูรถให้เสิ่นหยินอู้ “ขึ้นรถเถอะ ยัยเด็กน้อย” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่โม่ไป๋ แต่ก็ไม่ได้ขึ้นรถในทันที “ไม่ได้ตกกลงกันแล้วหรอว่าจะไม่เรียกฉันด้วยชื่อนี้อีก?” เมื่อก่อนในฐานะเพื่อนในตอนที่ยังเด็ก โม่ไป๋มักจะเรียกเธอแบบนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่คิดอะไรกับมันมาก แต่ตอนนี้เธอโตแล้ว เธอรู้สึกแปลกมากที่เขาเรียกเธอแบบนี้ “ก็ถูก งั้นนั่วนั่ว?” เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว "ชื่อนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน" “ทำไมล่ะ?” โม่ไป๋อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น "เรียกเธอว่านั่วนั่ว จะทำให้เธอคิดถึงใครสักคนหรอ?" เสิ่นหยินอู้ "..." “ถ้าเป็นอย่างงั้น งั้นเธอก็ควรฟังมันให้มากขึ้น” ขณะที่เขาพูด โม่ไป๋เห็นว่าเธอยังยืนอยู่กับที่ เขาจึงยื่นมือออกมาเคาะหน้าผากของเธอ “ยังไม่ขึ้นรถอีก? รอให้ผมเชิญเธออขึ้นรถอยู่เหรอ?” เธอจึงขึ้นรถอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั่งลงแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็พูดอีกครั้ง "นายอย่าเรียกฉันแบบนั้นเลย ด้วยสถานะในปัจจุบันของฉัน มันไม่เหมาะสม" “สถานะในปัจจุบันของเธอคืออะไร?” โม่ไป๋ขับรถออกไปแล้วพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ "ทุกคนต่างก็พูดในงาน
ในรถเงียบลง โม่ไป๋มองไปรอบๆ โดยไม่ได้พูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ เขาแค่ถามเธอว่าอยากกินอะไรเสิ่นหยินอู้ไม่รู้สึกอยากกินเนื้อสัตว์เท่าไหร่ มื้อนี้เธออยากกินข้าวต้มแต่คืนนั้นเธอเคยให้โม่ไป๋กินข้าวต้มกับเธอแล้ว ถ้าจะเสนอให้กินข้าวต้มอีกวันนี้คงจะไม่ดีเท่าไรดังนั้นเธอจึงพูดไปว่า “นายเลือกเถอะ” โม่ไป๋ชะงักไปซักพัก เขาดูเหมือนจะแปลกใจกับการตัดสินใจของเธอ “เธอแน่ใจนะ? ผมไม่ได้ใช้ชีวิตในประเทศนี้มาหลายปีแล้วนะ”เสิ่นหยินอู้ตอบไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมากว่า “ไม่เป็นไร” ยังไงเธอก็กินไม่เยอะอยู่แล้ว เมื่อคิดบางอย่างได้ เสิ่นหยินอู้ก็เสริมขึ้นว่า “นายกินอะไร ฉันเลี้ยงเอง” “จริงเหรอ?” โม่ไป๋ยิ้ม “งั้นคงต้องเลือกดีๆแล้ว” สุดท้ายโม่ไป๋เลือกภัตตาคารอาหารจีนร้านหนึ่ง หลังจากลงจากรถ เสิ่นหยินอู้ดูการตกแต่งของร้านอาหาร แล้วพบว่ามันหรูหรามาก ก่อนที่บ้านของเธอจะล้มละลาย เธอกับเพื่อนสาวมักจะมาทานอาหารที่ร้านแบบนี้ แต่หลังจากที่ที่บ้านล้มละลาย…… เพื่อนสาวของเธอต่างก็หายหน้าหายตาไป คนที่เหลืออยู่มีเพียงโจวชวงชวง ก่อนหน้านี้เสิ่นหยินอู้มักจะพาโจวชวงชวงไปทานอาหารที่ภัตตาคาร แต่หลังล
“รบกวนเสิร์ฟน้ำผลไม้ให้คุณผู้หญิงท่านนี้ก่อนได้เลยครับ” “ได้ค่ะ คุณผู้ชาย~”เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไป “นายรู้ได้ยังไง?” “ลืมแล้วเหรอ? คืนงานเลี้ยงนั้นเธอดื่มน้ำผลไม้ไปสองแก้ว แต่วันนี้ไม่ให้เธอดื่มเยอะนะ แก้วเดียวก็คงพอใช่มั้ยครับ?” ก่อนที่เสิ่นหยินอู้จะมา เธอไม่ได้ตั้งใจจะดื่มน้ำผลไม้หรือแม้แต่จะดูเมนูอย่างละเอียดด้วยซ้ำ แต่โม่ไป๋กลับสังเกตเห็น “ขอบคุณนะ” “ไม่ต้องขอบคุณ ยังไงก็ใช้เงินเธอจ่ายอยู่ดี”“……” เกือบลืมไป วันนี้เป็นวันที่เสิ่นหยินอู้ต้องเลี้ยงเขา ร้านอาหารแบบนี้กินหนึ่งมื้อต้องใช้เงินไม่น้อยเลยสำหรับเสิ่นหยินอู้เวอร์ชั่นก่อน เงินจำนวนนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ แล้วตอนนี้เงินเดือนของเธอก็สามารถจ่ายได้ แต่...... ถ้าเธอต้องมีลูก ต่อไปก็จะมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก เสื้อผ้า อาหาร ที่พัก และค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่างๆ เธอควรต้องเก็บเงินล่วงหน้าแล้ว แค่คิดเสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกปวดหัว เพราะเธอไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานใหม่อีก เธอคงต้องเลี้ยงลูกคนเดียวถ้าอยากให้ลูกมีต้นทุนและสภาพแวดล้อมที่ดี เธอทำงานอย่างเดียวคงไม่พอ “เป็นอะไร? เริ่มรู้สึกคิดผิดที่ต้องเลี้ย