“รบกวนเสิร์ฟน้ำผลไม้ให้คุณผู้หญิงท่านนี้ก่อนได้เลยครับ” “ได้ค่ะ คุณผู้ชาย~”เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไป “นายรู้ได้ยังไง?” “ลืมแล้วเหรอ? คืนงานเลี้ยงนั้นเธอดื่มน้ำผลไม้ไปสองแก้ว แต่วันนี้ไม่ให้เธอดื่มเยอะนะ แก้วเดียวก็คงพอใช่มั้ยครับ?” ก่อนที่เสิ่นหยินอู้จะมา เธอไม่ได้ตั้งใจจะดื่มน้ำผลไม้หรือแม้แต่จะดูเมนูอย่างละเอียดด้วยซ้ำ แต่โม่ไป๋กลับสังเกตเห็น “ขอบคุณนะ” “ไม่ต้องขอบคุณ ยังไงก็ใช้เงินเธอจ่ายอยู่ดี”“……” เกือบลืมไป วันนี้เป็นวันที่เสิ่นหยินอู้ต้องเลี้ยงเขา ร้านอาหารแบบนี้กินหนึ่งมื้อต้องใช้เงินไม่น้อยเลยสำหรับเสิ่นหยินอู้เวอร์ชั่นก่อน เงินจำนวนนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่จริงๆ แล้วตอนนี้เงินเดือนของเธอก็สามารถจ่ายได้ แต่...... ถ้าเธอต้องมีลูก ต่อไปก็จะมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก เสื้อผ้า อาหาร ที่พัก และค่าใช้จ่ายในการศึกษาต่างๆ เธอควรต้องเก็บเงินล่วงหน้าแล้ว แค่คิดเสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกปวดหัว เพราะเธอไม่ได้ตั้งใจจะแต่งงานใหม่อีก เธอคงต้องเลี้ยงลูกคนเดียวถ้าอยากให้ลูกมีต้นทุนและสภาพแวดล้อมที่ดี เธอทำงานอย่างเดียวคงไม่พอ “เป็นอะไร? เริ่มรู้สึกคิดผิดที่ต้องเลี้ย
หลังจากนั้น เสิ่นหยินอู้จึงไปเข้าห้องน้ำเพื่อบรรเทาความอึดอัดที่เกิดขึ้นตอนออกมา กลับพบคนที่คุ้นเคยตรงทางเดินนอกห้องน้ำอย่างไม่คาดคิด เสิ่นหยินอู้หยุดเดิน มองเด็กสาวที่หน้าตาเศร้าสลด ที่จริงแล้วก็ไม่ได้คุ้นเคยมาก เพียงแค่เคยเจอที่โรงพยาบาลครั้งหนึ่ง เธอคือลูกสาวของหลินเหม่ยหลาน จ้าวเป่าเอ๋อ ครั้งที่แล้วตอนที่เธอจะไปทำแท้งที่โรงพยาบาล ก็เจอหลินเหม่ยหลานเข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องลูกสาวของเธอ คาดว่าหลินเหม่ยหลานคงได้ประกาศเรื่องของเธอให้คนอื่นรู้ไปแล้ว เมื่อเห็นเด็กคนนี้ เสิ่นหยินอู้ก็นึกถึงวันนั้นที่โรงพยาบาล ที่จ้าวเป่าเอ๋อพูดกับหลินเหม่ยหลานอย่างหนักแน่นว่า “หนูชอบเขา” เธอไม่ได้อยู่คนเดียว ด้านหน้ายังมีผู้ชายสูงผอม หน้าตาดีคนหนึ่ง ผู้ชายกำลังก้มลงจับไหล่เธอ ทำสีหน้าอ้อนวอนพูดอะไรบางอย่าง “เป่าเอ๋อ คิดซะว่าฉันขอร้องเถอะ ทำแท้งเถอะนะ ตอนนี้เธอยังเด็ก เธอคงไม่คิดจะคลอดลูกแล้วไม่ไปเรียนหรอกใช่มั้ย? อีกอย่างฉันยังไม่ได้เตรียมตัวจะเป็นพ่อ ฉันขอเวลาอีกหน่อย ไว้โตอีกหน่อยเราค่อยมีลูกกัน ดีไหม?” เมื่อเข้าไปใกล้ เสิ่นหยินอู้จึงได้ยินบทสนทนาของพวกเขา เธอมองผู้ชายคนนั้นอ
เสิ่นหยุนอู้ “...... ใครอยากเพิ่มนายใน WeChatกัน ?”“งั้นแล้วทำไมล่ะ?”“ก็ตกลงกันแล้วว่าจะให้ฉันเลี้ยง” เสิ่นหยินอู้หันไปทางโทรศัพท์ของเขา “ไม่ต้องเพิ่ม WeChat หรอก แค่โชว์คิวอาร์โค้ดมาให้ฉันสแกนก็พอ”พูดจบ มือที่เสิ่นหยินอู้ยื่นออกไปก็ถูกโม่ไป๋ปัดออก “คราวก่อนนายก็แย่งจ่ายเงิน ถ้าคราวนี้ยังให้นายจ่ายอีก ฉันจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?” เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ถ้ารู้สึกเกรงใจจริงๆ ก็ลาออกมาอยู่บริษัทโม่สิ” “......นายนี่เปลี่ยนเรื่องเร็วเกินไปไหม?” “เปลี่ยนเรื่องเร็วเหรอ?” โม่ไป๋ก้มหน้าครุ่นคิด “แต่ก็ตามที่เธอพูด ผมก็อยากแย่งตัวเธอมาจริงๆนะ”“คิดจะให้ฉันย้ายงานเพราะอาหารมื้อเดียว นายนี่โลกสวยจริงๆนะ” พูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็เก็บโทรศัพท์ ไม่ดึงดันที่จะโอนเงินให้เขาอีกเขาจะเลี้ยงก็ให้เขาเลี้ยงไป ทายาทบริษัทโม่กรุ๊ป เงินแค่นี้คงไม่สะท้านหรอก ส่วนเงินของเธอ เก็บไว้เลี้ยงลูกดีกว่า“จริงสิ มื้อเดียวคงไม่พอซื้อใจเธอ ต่อไปคงต้อง ‘เจอโดยบังเอิญ’ หลายๆ ครั้งแล้ว” เสิ่นหยินอู้สังเกตเห็นว่า เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน โม่ไป๋ดูมีอารมณ์ขันขึ้นมากเมื่อก่อนเขาเอาแต่พูดจายั่วโมโห เที
ชายหนุ่มสูงผอมจ้องมองเสิ่นหยินอู้ด้วยความสงใส แววตาของเขาเผยให้เห็นถึงความตกตะลึง แม้ว่าผู้หญิงตรงหน้าจะสวยมาก แต่เขาไม่รู้จักเธอ ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขาก็เช่นกัน เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้ ดวงตาของเธอก็แข็งกร้าวขึ้นและจ้องมองอย่างไม่ลดละ “เธอเป็นใคร? เธอคบใครลับหลังฉันอีกแล้วเหรอ?” ชายหนุ่มสูงผอมรีบอธิบาย “ไม่ใช่นะครับพี่ ผมก็ไม่รู้จักเธอ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆเธอมาพูดกับผม? เธอ เธอเป็นใคร?” ที่จริงแล้วชายหนุ่มร่างผอมสูงอารมณ์ไม่ดีนัก การที่เสิ่นหยินอู้เข้ามาพูดแบบนี้ทำให้เขาอยากจะโกรธ แต่ด้วยความที่เธอสวยเกินไป เขาจึงไม่กล้าว่าเธอ “รู้จักหรือไม่รู้จักมันสำคัญมากเหรอ?” เสิ่นหยินอู้จ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา “สิ่งสำคัญคือคำพูดของแก แกบอกว่าชอบผู้หญิงคนนี้ แต่กลับมีลูกกับผู้หญิงอีกคน มันยุติธรรมกับใครบ้าง?” ชายหนุ่มสูงผอมโกรธจนหน้าแดง "มัน มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?" ผู้หญิงที่อยู่ข้างเขาหน้าเคร่งเครียดขึ้น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เสิ่นหยินอู้ยิ้มเยาะ “แค่ทนดูท่าทางเสแสร้งแกไม่ไหวแค่นั้นแหละ” "เธอ! อย่าคิดว่าตัวเองสวยแล้วฉันจะไม่กล้าทำอะไรเธอนะ!" คงเพราะถูกคำพูดของเธอจี้ใจ
"ยังคิดว่าผมเป็นโรคกลัวความสกปรกอยู่อีกหรือเปล่า?" เสิ่นหยินอู้ "......" เมื่อครู่เขาแค่ใช้วิธีนี้เพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้เป็นโรคกลัวความสกปรกอย่างนั้นหรอ? ไปต่างประเทศมาห้าปี นิสัยของเขาเปลี่ยนไปมากเกินไปแล้ว "แค่รู้สึกว่าการไปสัมผัสคนที่ไม่ชัดเจนกับผู้หญิงทั้งสองคนทำให้มือสกปรก" โม่ไป๋พูดต่อไปด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์เมื่อได้ยิน สายตาของเสิ่นหยินอู้ก็ตาเศร้าลงเล็กน้อย เธอคิดถึงฉินเย่ขึ้นมาอีกแล้ว โม่ไป๋ถอนหายใจเมื่อเห็นเธอเงียบ "แม้ว่าผมไม่ควรพูดมากไป แต่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฉินเย่กับฉูฉู่ คนในวงการต่างก็รู้กันดี ส่วนเรื่องที่เธอแต่งงานกับเขา..."มาถึงตรงนี้ โม่ไป๋หยุดพูดชั่วครู่ "ผมไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเขาเป็นยังไง แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ชอบความสัมพันธ์แบบนี้ใช่ไหม ถ้ามันทำให้เธอเจ็บปวด ก็ควรจบมันให้เร็วที่สุดนะ" แม้จะรู้จักโม่ไป๋มาตั้งแต่เด็ก แต่เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงรักษาระยะห่างกับเขา เธอไม่อยากเล่าเรื่องของตัวเองให้เขาฟังมากนักดังนั้นหลังจากฟังคำแนะนำของเขา เธอจึงยิ้มและพยักหน้ารับเท่านั้น "อืม ฉันรู้แล้ว"โม่ไป๋หยุดพูดเรื่องนี้ทันที แล้วไม่พ
คืนนั้น เสิ่นหยินอู้และฉินเย่ได้นำคำพูดของคุณหมอเฉินที่ได้ยินมาในตอนเช้ามาบอกกับคุณนายฉิน คุณนายฉินในช่วงนี้อารมณ์ดีขึ้นมาก หน้าตาก็เปล่งปลั่งขึ้นกว่าตอนอยู่ที่โรงพยาบาล และสภาพจิตใจก็ดีมากเช่นกัน เมื่อเห็นทั้งสองคนมาบอกเรื่องนี้กับตัวเอง เธอก็ไม่รู้สึกกลัว และยิ้มรับพร้อมพยักหน้า “พรุ่งนี้ไปตรวจหรอ ได้สิ ไม่มีปัญหา”คุณนายฉินตอนนี้อารมณ์ดี น่าจะเพราะชอบบรรยากาศภายนอก จึงอยากทำการผ่าตัดให้เสร็จเร็วๆ จะได้ฟื้นตัวเร็วๆ เสิ่นหยินอู้ฟังแล้วรู้สึกสบายใจมาก “คุณย่ามีความสุขมากเลยใช่ไหมคะ?” “แน่นอนสิ” คุณนายฉินจับมือเธอ พร้อมกับพูดอย่างเปี่ยมด้วยความรู้สึก "ย่านึกว่าย่าต้องอยู่ในโรงพยาบาลไปตลอด แต่ก่อนที่จะผ่าตัดได้ออกมาดูโลกภายนอกอีกครั้ง ถึงต่อไปจะตายบนเตียงผ่าตัดก็ไม่มีอะไรติดค้างในใจแล้ว" เสิ่นหยินอู้ที่ตอนแรกดีใจเพราะคำพูดของคุณนายฉิน เมื่อได้ยินประโยคหลัง ก็หน้าซีดไป “คุณย่า พูดอะไรไม่เป็นมงคลเลยค่ะ”ในสายตาของคุณนายฉินไม่มีความเศร้า แต่กลับมองไปที่ฉินเย่ พร้อมกับเรียกให้เขาเข้ามาใกล้ๆฉินเย่เดินเข้าไปด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณย่า อย่าพูดอะไรที่ไม่เป็นมงคลสิครั
"โอเคๆ" คุณนายฉินใจอ่อนทันทีและปลอบเสิ่นหยินอู้ไม่หยุด "ย่าสัญญาว่าจะไม่พูดอะไรไม่เป็นมงคลแล้ว หยุดร้องไห้ได้ไหมจ้ะ?"สุดท้าย คุณนายฉินก็ปลอบเสิ่นหยินอู้จนเธอสงบลง และเสิ่นหยินอู้ก็กลับไปที่ห้องนอนด้วยความพอใจ พร้อมบอกว่าจะมาหาใหม่ในตอนเช้า คุณนายฉินลูบหลังศีรษะของเธอเบาๆ "โอเค ฝันดีนะ รีบไปนอนเถอะ" หลังจากที่เธอไปแล้ว คุณนายฉินก็จ้องไปที่ฉินเย่"ช่วงนี้พวกเธอสองคนทะเลาะกันบ่อยเหรอ?" ได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็ชะงักไป แล้วอธิบายว่า "เธอแค่แกล้งคุณย่าเล่น คุณย่าก็เชื่อเหรอครับ?" "แกคิดว่าย่าแก่จนมองไม่เห็นปัญหาของพวกเธอสองคนจริงๆ เหรอ?" ฉินเย่ตอบด้วยท่าทางนิ่งๆ ว่า “ปัญหาอะไรเหรอครับ?”"ฮึ่ม" คุณนายฉินแค่นเสียงเย็นๆ "ปัญหาอะไร แกก็รู้ดีอยู่แก่ใจ" “……”"เป็นเพราะเจียงฉูฉู่ใช่ไหม?" ไม่คิดว่าคุณนายฉินจะพูดจี้จุด ทำให้ฉินเย่สีหน้าเปลี่ยนไป "ฉูฉู่เคยช่วยชีวิตแกไว้ เพราะงั้นเธอถึงพิเศษสำหรับแก" เห็นฉินเย่ขยับปากเหมือนจะปฏิเสธ คุณนายฉินจึงพูดต่อว่า "อย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ย่าสายตาเฉียบแหลมนะ ก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของแกกับหยินอู้ก็ดีอยู่นี่? แล้วทำไมช่วงนี้ถึงมีปัญ
ค่ำคืนอันหนาวเย็นกู้เหยียนซีเดินฝ่ากลุ่มคนในผับ แล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์คนที่ตามหลังเขาคือจี้ชิงเป่ยดึกๆ ดื่นๆ แบบนี้ ทั้งสองคนถูกฉินเย่เรียกออกมาอีกแล้วรอให้พวกเขาไปถึง คิดว่าจะเจอกับฉินเย่ที่เมาเละเทะ แต่ไม่คาดคิดว่าเขากลับแต่งตัวเรียบร้อย นั่งอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์บาร์ด้วยแววตามีสติครบถ้วนเหล้าที่อยู่ตรงหน้าเขาแก้วนั้น ก็ไม่ได้แตะเลยแม้แต่นิดเดียว“เกิดอะไรขึ้น? เรียกเรามาดื่มเหล้าไม่ใช่เหรอ?” กู้เหยียนซีแปลกใจเขาเดินเข้าไปทักทายฉินเย่“เย่ นายเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย? ถึงตอนนี้ยังไม่แตะเหล้าเข้าปากสักอึก?”เมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคย ฉินเย่ก็ได้สติ เงยหน้าขึ้นพบว่ากู้เหยียนซีมาพร้อมกับจี้ชิงเป่ยด้วย เขาจึงใช้สายตามองจี้ชิงเป่ยราวกับกำลังถามด้วยสายตาว่า: นายพาเขามาทำไม?จี้ชิงเป่ยที่เห็นสายตาที่ส่งมาของเขาพลันรู้ในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นดูท่าแล้วคืนนี้ฉินเย่จะเรียกเขามาคนเดียวแต่เขาไม่รู้จึงได้เรียกกู้เหยียนซีมาด้วยไหนๆ ก็มาแล้ว ทำอะไรไม่ได้ ชายทั้งสองจึงไม่ได้พูดอะไรต่อกู้เหยียนซีนั่งปุ๊บก็สั่งเครื่องดื่มปั๊บอย่างคนบ้าพลางพูดกับฉินเย่ว่า “นายนี่ก็แปลก คราวก่อนท
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ