ก่อนหน้านี้เธอกับเจียงฉูฉู่ทำข้อตกลงกันด้วยวาจาเพราะทั้งสองฝ่ายต่างก็มีสิ่งที่ต้องการ แต่จากมุมมองในปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะแย่ลงเพราะเรื่องนี้ ไม่ว่าเสิ่นหยินอู้จะผลักเธอหรือไม่ เรื่องในครั้งนี้เจียงฉูฉู่คงจะโทษเธออยู่ดี ดูเหมือนว่าหลังจากนี้การอยู่ร่วมกันโลกด้วยกันอย่างสันติคงจะเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ จากเหตุการณ์นี้ เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าเธอต้องระวังเจียงฉูฉู่ให้มากขึ้น ฉูฉู่แตกต่างไปจากที่เธอจินตนาการไว้มาก ในตอนแรก เสิ่นหยินอู้คิดว่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงที่ชอบสวมหน้ากากต่อหน้าผู้คน ทำเป็นแกล้งอ่อนแอ ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรเลย ท้ายที่สุดแล้ว ทุกคนต่างก็อยากมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อหน้าคนนอก แต่หากภายใต้เปลือกนอกที่แกล้งทำเป็นอ่อนแอนั้นมีจิตใจที่ชั่วร้ายและต้องการใส่ร้ายผู้อื่น นั่นก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาๆแล้ว เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้จึงพูดกับโจวชวงชวงว่า "ไม่ต้องห่วงนะ ฉันจะดูแลตัวเองดีๆ และเธอก็เห็นแล้วนี่ว่าครั้งนี้ที่เธอต้องการทำร้ายฉัน เธอก็ทำไม่สำเร็จหนิ? มันกลับกลายเป็นว่าเธอทำร้ายตัวเองแทน" “ก็ถูก” โจวชวงชวงพยักหน้า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข
“เป็นแบบนี้นี่เอง คุณผู้หญิง ทำไมถึงไม่รับสายล่ะครับ? คุณผู้ชายโทรหาคุณแต่คุณก็ไม่รับสาย ตอนนี้เขาแทบจะบ้าไปแล้วนะครับ” แทบจะเป็นบ้าไปแล้ว? มุมปากของเสิ่นหยินอู้ยกขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ความเย้ยหยันปรากฎขึ้นมาในดวงตาของเธอ การที่เขาพูดแบบนี้... ถ้าเธอไม่รู้ว่าปกติพ่อบ้านมักจะพูดสิ่งดีๆให้ฉินเย่อยู่เสมอ เสิ่นหยินอู้คงคิดไปแล้วจริงๆว่าฉินเย่แทบจะเป็นบ้าเพราะเป็นห่วงเธอ ที่โทรมาหาเธอ ก็คงแค่กลัวว่าเธอจะไปอยู่ในห้องผู้ป่วยของเจียงฉูฉู่สินะ? “เมื่อคืนก่อนที่จะนอนฉันเปิดโหมดห้ามรบกวนไว้ พอตื่นมาก็ลืมปิดน่ะค่ะ” เสิ่นหยินอู้อธิบายเบาๆ ได้ยินเช่นนั้น พ่อบ้านก็แสดงออกมาว่าเขาเข้าใจในทันที เมื่อเห็นว่าพ่อบ้านกำลังจะรับถุงช้อปปิ้งไปจากมือเธอ เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า "ไม่ต้องถือแทนฉันก็ได้ค่ะ ฉันต้องขึ้นไปชั้นบนพอดี ฉันถือไปเองได้ค่ะ" “คุณผู้หญิง งั้นให้ผมช่วยถือขึ้นไปชั้นบนนะครับ” "ไม่เป็นไร ฉันถือเองได้ค่ะ" เสิ่นหยินอู้ปฏิเสธพ่อบ้านและถือถุงขึ้นไปชั้นบนด้วยตัวเอง พ่อบ้านยืนอยู่ที่เดิมและเกาหัวด้วยความประหม่า ในขณะที่เขากำลังจะโทรหาฉินเย่ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น “คุณผู้ชาย
"ไม่มีอะไร" เสิ่นหยินอู้แสยะยิ้มให้เขา ยักไหล่และพูดว่า "ฉันแค่คิดเรื่องนี้ในมุมมองของคุณก็เท่านั้นเอง ก็เลยเข้าใจว่าทำไมคุณถึงกล่าวหาฉัน คุณเห็นใจเธอ ก็เลยเข้าใจเธอ" เมื่อเธอพูดคำพูดเหล่านี้ ฉินเย่ก็จ้องเธออย่างเอาเป็นเอาตาย “แล้วไงล่ะ?” เขากัดฟันกรอด สายตาของเขาดูน่ากลัว “ฉันหมายความว่า มันเป็นเรื่องปกติมากที่คุณจะให้เธอเป็นที่หนึ่ง” เมื่อพูดถึงจุดนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หยุดไปชั่วคราวแล้วพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค "ฉันก็เลยคิดว่าถ้าฉันเป็นคุณ ฉันก็จะทำแบบเดียวกัน" เสิ่นหยินอู้ไม่เคยถูกใครช่วยชีวิต และไม่เคยสัมผัสกับความสิ้นหวังแบบนั้นของฉินเย่ แต่เธอสามารถคิดได้ แม้ว่าอารมณ์นั้นของเธออาจไม่ถึงหนึ่งในสิบของฉินเย่ก็ตาม ในชั่วขณะที่เข้าใกล้ความตาย ในเสี้ยววิต่อมาที่จะหายใจไม่ออกแล้วจู่ๆกลับมีคนยื่นมือมาช่วยคุณ เหมือนกับฝนที่ตกมาหลังจากความแห้งแล้งอันยาวนาน เหมือนกับแสงอรุณที่ปรากฏขึ้นในคืนที่มืดมิด ใครล่ะจะไม่หวั่นไหว? ฉินเย่มองเธอด้วยสีหน้าที่ขุ่นเคือง “แล้วจะทำอะไรได้? คุณแน่ใจหรอว่าผมกล่าวหาคุณ?” เสิ่นหยินอู้ลดสายตาลง ขนตายาวงอนของเธอสั่นเล็กน้อย "มันไม่สำคัญหรอก" สิ่งที
พวกเขาทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ฉินเย่มองต่ำลง เขาสามารถมองเห็นขนเส้นเล็กๆบนผิวที่ขาวเนียนละเอียดและริมฝีปากสีเชอร์รี่อ่อนๆของเธอ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมจางๆจากตัวเธอที่เขาคุ้นเคยมากในอดีต เขารู้ว่าเธอไม่เคยใช้น้ำหอม นั่นจึงเป็นกลิ่นครีมอาบน้ำที่ผสมกับกลิ่นหอมอันสดชื่นจากเส้นผมของเธอ ในขณะที่ได้กลิ่น ฉินเย่มีความคิดที่จะกอดเธอเข้ามาไว้ในอ้อมแขนของเขา เพราะเมื่อก่อนเขาทำแบบนี้ แต่ในขณะที่เขากำลังคิดที่จะยกมือขึ้น เขาก็เห็นเสิ่นหยินอู้ชักมือกลับไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา "เสร็จแล้ว" ความเยือกเย็นและความเฉยเมยในดวงตาของเธอทิ่มแทงหัวใจของฉินเย่ในทันที ความคิดที่แสนหวานทั้งหมดหายไปอย่างไร้ร่องรอยในเสี้ยววินาทีนั้น เขาแสยะริมฝีปากและยิ้มเยาะ "ขอบคุณที่แสดงได้สมจริงมาก" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ตกตะลึง จากนั้นก็ยิ้มอย่างไม่แยแส "ไม่ต้องขอบคุณ มันเป็นสิ่งที่ควรจะทำอยู่แล้ว" ปฏิกิริยาของเธอเหมือนกับการต่อยลงไปบนสำลี ไม่เจ็บไม่คัน ฉินเย่ละสายตาไปจากเธอด้วยความเย้ยหยันและเดินออกไปโดยมีสีหน้าไร้อารมณ์ “เดี๋ยวก่อน” เสิ่นหยินอู้เรียกเขาให้หยุด ฉินเย่หยุดฝีเท้า และไม่ได้หันกลับ
เสิ่นหยินอู้ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เธอทำให้ฉินเย่โกรธจนเดินออกไปได้โดยที่ยังไม่ได้ทำอะไร ในตอนที่เขาจากไป ใบหน้าของเขาบูดบึ้ง และประตูก็ถูกเขาปิดกระแทกเสียงดังลั่นไปทั่วบ้าน เสิ่นหยินอู้ยักไหล่ หลังจากที่เขาจากไป เธอก็ยื่นมือออกไปเพื่อลูบท้องของเธอเบาๆและกระซิบว่า "ลูกรัก ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องสนใจเขา ในอนาคตเมื่อลูกโตขึ้นก็อย่าเป็นเหมือนเขานะ อารมณ์แย่มากไม่ไหวเลยจริงๆ” หลังจากบ่นเสร็จแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไปเก็บข้าวของและเตรียมไปที่บริษัท - ทันทีที่ฉินเย่เข้าไปในโรงรถ โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้น เขาโกรธเสิ่นหยินอู้มาก เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วยสีหน้าขุ่นมัว หลังจากเห็นเบอร์ที่โทรมา อารมณ์บนใบหน้าของเขาก็หายไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็รับสาย “หมอเฉิน” คนที่โทรหาเขาคือคุณหมอเฉินปินที่ดูแลคุณนายฉิน "สวัสดีครับคุณผู้ชายฉิน" เสียงของเฉินปินอ่อนโยนเหมือนกับเสียงของเขาเอง "ผมเป็นหมอประจำตัวของคุณนายฉิน เฉินปิน ขอโทษที่โทรมารบกวนคุณในเวลานี้ ผมอยากจะทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ในช่วงนี้ของคุณนายฉิน หากสะดวก วันนี้สามารถพาคุณนายมาตรวจร่างกายได้ไหมครับ?” เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็อดไม่ได้ที่จ
"มานี่" ฉินเย่หยุดเธอไว้แล้วพูดอย่างเย็นชา "ถึงตอนนั้นเราจะไปบอกคุณย่าด้วยกัน ขึ้นรถ" ขึ้นรถ? เสิ่นหยินอู้มองไปที่ที่นั่งคนขับ พูดตามตรง เธอไม่ได้อยากนั่งตรงที่นั่งนั้นเลยจริงๆ เธอขับรถเองคงจะดีกว่าไหม? เมื่อเห็นเธอยืนนิ่งอยู่กับที่ ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว "ทำไมล่ะ? คุณไม่ได้อยากอยู่ร่วมกันกับผมอย่างสงบสุขเหรอ แค่รถของผมก็ยังไม่ขึ้นเลยเหรอ?" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้งและยิ้มเล็กน้อย “เปล่า เมื่อกี้ฉันแค่คิดว่าเราจะไปบอกคุณย่าเมื่อไร?” ขณะที่เธอพูด เธอก็เปิดประตูและเข้าไปในรถ ทันทีที่เธอนั่งลงและยังไม่ทันที่จะรัดเข็มขัดนิรภัย รถของฉินเย่ก็ขับออกไป เสิ่นหยินถูกเขาอู้ทำให้เขาตกใจ เธอหันไปมองและเห็นเขากำลังขับรถด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ช่างมันเถอะเสิ่นหยินอุ้ ยังไงซะขอแค่คุณย่าผ่าตัดเสร็จ เธอก็จะออกไปจากที่นี่ได้แล้ว เขาอารมณ์เสียใส่เธอตอนนี้แล้วยังไงล่ะ ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ เธอต้องสงบนิ่งไว้และอย่าก่อปัญหา หลังจากให้ตัดสินใจด้วยตัวเองอยู่ในใจ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ระงับความโกรธนั้นไว้ และคาดเข็มขัดนิรภัยให้กับตัวเอง ทันทีที่เสิ่นหยินอู้คาดเข็มขัดนิรภัย
หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงที่ทำงานของตัวเอง เสิ่นหยินอู้ก็ตั้งใจทำงานอย่างจริงจัง ก่อนขึ้นไปชั้นบน ทั้งสองตกลงที่จะพาคุณย่าไปโรงพยาบาลในวันพรุ่งนี้และจะกลับไปบอกเธอหลังจากเลิกงานในตอนเย็น แต่ ทั้งคู่ได้ตกลงกันโดยปริยายในการที่จะไม่พูดถึงเรื่องการหย่าร้าง ครั้งที่แล้วเพราะความโกรธเกรี้ยว ทั้งสองจึงไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนแต่เช้า แต่เพราะการผ่าตัดของคุณย่าก็เลยไม่ได้ดำเนินการจนเสร็จสมบูรณ์ ครั้งนี้ เสิ่นหยินอู้จึงไม่รีบร้อน เธอรอให้คุณย่าผ่าตัดเสร็จและพักฟื้นให้หายดีก่อน แล้วจึงค่อยไปที่สำนักงานกิจการพลเรือนเพื่อรับใบรับรองการหย่าร้าง นอกจากนี้ มันก็เพื่อป้องกันสถานการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นอีกด้วย เธอคิดอย่างนั้นกับตัวเอง และฉินเย่ก็คงคิดแบบเดียวกับเธอ - เมื่อถึงตอนเที่ยง เสิ่นหยินอู้ก็ลงไปชั้นล่างเพื่อซื้อโจ๊กตามปกติ วันนี้เธออยากลองโจ๊กแบบอื่นดู แต่ทันทีที่เธอเดินลงไปถึงชั้นล่าง และยังไม่ทันที่จะได้พูดกับเถ้าแก่ โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากโม่ไป๋ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และหันไปมองตำแหน่งที่รถคนนั้นจอดเมื่อไม่กี่วันก่อนโดยไม่ร
ทันทีที่พวกเขาจากไป โม่ไป๋ก็เปิดประตูรถให้เสิ่นหยินอู้ “ขึ้นรถเถอะ ยัยเด็กน้อย” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่โม่ไป๋ แต่ก็ไม่ได้ขึ้นรถในทันที “ไม่ได้ตกกลงกันแล้วหรอว่าจะไม่เรียกฉันด้วยชื่อนี้อีก?” เมื่อก่อนในฐานะเพื่อนในตอนที่ยังเด็ก โม่ไป๋มักจะเรียกเธอแบบนี้ ดังนั้นเธอจึงไม่คิดอะไรกับมันมาก แต่ตอนนี้เธอโตแล้ว เธอรู้สึกแปลกมากที่เขาเรียกเธอแบบนี้ “ก็ถูก งั้นนั่วนั่ว?” เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว "ชื่อนี้ก็ไม่ได้เหมือนกัน" “ทำไมล่ะ?” โม่ไป๋อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินเธอพูดเช่นนั้น "เรียกเธอว่านั่วนั่ว จะทำให้เธอคิดถึงใครสักคนหรอ?" เสิ่นหยินอู้ "..." “ถ้าเป็นอย่างงั้น งั้นเธอก็ควรฟังมันให้มากขึ้น” ขณะที่เขาพูด โม่ไป๋เห็นว่าเธอยังยืนอยู่กับที่ เขาจึงยื่นมือออกมาเคาะหน้าผากของเธอ “ยังไม่ขึ้นรถอีก? รอให้ผมเชิญเธออขึ้นรถอยู่เหรอ?” เธอจึงขึ้นรถอย่างช่วยไม่ได้ หลังจากนั่งลงแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็พูดอีกครั้ง "นายอย่าเรียกฉันแบบนั้นเลย ด้วยสถานะในปัจจุบันของฉัน มันไม่เหมาะสม" “สถานะในปัจจุบันของเธอคืออะไร?” โม่ไป๋ขับรถออกไปแล้วพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ "ทุกคนต่างก็พูดในงาน
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ