"รู้แล้วๆ" ในที่สุดเด็กผู้หญิงก็วางสายด้วยความเหลืออดอย่างถึงที่สุด ขณะที่เธอกำลังจะเดินผ่านหน้าหยินอู้ ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ยื่นมือออกไปเพื่อรั้งเธอไว้ "สวัสดีจ๊ะ" เด็กสาวตัวเล็กตกใจเมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้ ด้วยความที่เป็นคนแปลกหน้า ความโกรธของเธอก็ลดลง นอกจากนี้เสิ่นหยินอู้ก็มีใบหน้าแบบคนเอเชีย ดังนั้นเธอจึงมองหยินอู้ด้วยความสงสัย: "มีอะไรหรอคะ?" เสิ่นหยินอู้ยิ้มเล็กน้อย “สวัสดีจ๊ะหนู ป้าขอยืมโทรศัพท์โทรหาใครสักคนได้ไหม?” เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กสาวตัวเล็กก็ย่นจมูก “ไม่ได้ค่ะ ผู้ใหญ่แบบคุณต่างก็มีโทรศัพท์เป็นของตัวเองกันหมดไม่ใช่หรอ? คุณกำลังคิดจะหลอกฉันสินะ?” แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขอยืมโทรศัพท์ของใครสักคนเพื่อโทรออก เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่าง ขณะที่กำลังจะอธิบาย เหมิงเหมิงที่อยู่ด้านหลังก็ก้าวมาข้างหน้าแล้วจับมือของเด็กสาวคนนั้นเบาๆ “พี่สาวคะ โทรศัพท์ของหม่ามี๊หนูโดนขโมยไป ตอนนี้เราไม่มีเงินก็เลยอยากโทรหาพ่อ ให้เขามารับเราน่ะค่ะ” ขณะที่เหมิงเหมิงพูดกับเธอ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงเล็กๆ นอกจากนี้เธอยังมีหน้าตาที่ดูดี มีผิวขาวและดวงตาที่โตราวกับตุ๊กตาที่งดงาม
หลังจากวางสาย อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หนึ่งชั่วโมง หลังจากนี้หนึ่งชั่วโมงเธอก็จะไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไร้ที่พึ่งอีกต่อไป เมื่อถึงตอนนั้น ชวงชวงก็จะอยู่เคียงข้างเธอ แล้วก็ยังมีโจวเปาผีของชวงชวง เพียงแต่ว่า…… คนๆนั้นในใจเธอที่เธอรอคอยกลับยังไม่มีวี่แววอะไรเลย ชวงชวงติดต่อเขาไม่ได้ หรือหลังจากที่รู้เรื่องเขาคิดว่ามันลำบากเกินไปจึงไม่อยากมาตามหาเธอกันนะ? หลังจากคิดไปคิดมา เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจแต่เธอก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เธอส่งโทรศัพท์คืนให้เด็กสาวที่อยู่ข้างหน้าเธอ และกล่าวขอบคุณเธอ "ขอบคุณที่ให้ยืมโทรศัพท์นะ" ที่จริงแล้วในขณะที่เด็กสาวให้ยืมโทรศัพท์ไป เธอยังคงกังวลว่าเธอจะถูกหลอกหรือไม่ เธอคิดไม่ถึงว่าเธอจะได้โทรศัพท์กลับคืนมาจริงๆ เธอเม้มริมฝีปากแล้วรับโทรศัพท์กลับมา จากนั้นก็มองไปที่เหมิงเหมิงกับเสิ่นซือเหนียนที่อยู่ข้างๆแล้วถามเบาๆว่า: "งั้นพวกคุณอยากเล่นอยู่ที่นี่ไหม?" เมื่อเห็นว่าเธออยู่คนเดียว ในตอนแรกเสิ่นหยินอู้ต้องการจะพยักหน้า แต่เมื่อคิดว่าพวกเธอจะอยู่ที่นี่เป็นเวลานานไม่ได้ เธอจึงทำได้เพียงพูดว่า: "พ่อของเด
เมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้น เธอก็คุกเข่าลงไปทันที "เป็นอะไรหรือเปล่า?" เสิ่นเหมิงเหมิงส่ายหัว: "หม่ามี๊ เหมิงเหมิงไม่เป็นไรค่ะ" แต่เสิ่นหยินอู้สังเกตเห็นว่าอาการของเธอไม่ปกติ จึงถามอย่างจริงจังว่า "ลูกเท้าพลิกหรอ? ให้หม่ามี๊ดูหน่อยนะ" “หม่ามี๊ หนูไม่เป็นไรจริงๆ...” ในเวลานี้มีเสียงความโกลาหลดังมาจากที่ประตู เสิ่นหยินอู้บังเอิญนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นพอดี เมื่อได้ยินเสียบ เธอก็เงยหน้าขึ้นไปมอง เมื่อมองไปเธอก็เห็นคนหลายๆคนที่เห็นที่โรงแรมในตอนก่อนหน้านี้กำลังเดินมาที่ดินแดนแห่งเกม สีหน้าของพวกเขาดูดุร้ายป่าเถื่อนราวกับว่าพวกเขาเข้ามาเพื่อเปิดศึกทำสงครามกับใคร เด็กๆหลายคนต่างก็หวาดกลัวกับท่าทางของพวกเขา ทุกคนต่างกรีดร้องและวิ่งหนี เมื่อเห็นพวกเขา สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไป เวลาผ่านไปกว่าสี่สิบนาทีแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะมาที่นี่ เธอคงไม่สามารถรอโจวชวงชวงมารับเธอที่นี่ได้อย่างปลอดภัยได้อีกต่อไป เสิ่นหยินอู้มองไปรอบๆ และพบว่าที่นี่มีทางออกเพียงทางเดียว เธอกัดริมฝีปากล่าง เธอยืนขึ้นและอุ้มเหมิงเหมิงขึ้นมา จากนั้นก็ให้เหนียนเหนียนเดินตามเธอไปซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนที
ในขณะนี้ เสิ่นหยินอู้โทษตัวเองอย่างมากอยู่ภายในใจ เธอโทษตัวเองไม่เพียงแค่ที่เธอไม่ดูแลเหมิงเหมิงให้ดี แต่ที่สำคัญที่สุด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหมิงเหมิงได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไรและได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร เมื่อเห็นว่ามีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเสิ่นหยินอู้ เสิ่นเหมิงเหมิงก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย "หม่ามี๊ อย่าร้องไห้เลยนะคะ เหมิงเหมิงไม่เจ็บ" ในฐานะพี่ชาย ในเวลานี้เสิ่นซือเหนียนก็เข้ามา เขาเขย่งเท้าขึ้นมาเพื่อเช็ดน้ำตาให้เสิ่นหยินอู้ เมื่อเห็นเด็กน้อยสองคนเป็นห่วงเป็นใยเธอมากเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้จึงทำได้เพียงหยุดร้องไห้แล้วพูดกับพวกเขาว่า "เดี๋ยวกลับไป หม่ามี๊จะชดใช้ให้พวกหนูนะ" “หม่ามี๊ ไม่เป็นไรครับ มันไม่ใช่ความผิดของหม่ามี๊” “เอาล่ะ ต่อจากนี้เราจะต้องหยุดคุยกันก่อน เท้าของเหมิงเหมิง... หม่ามี๊จะช่วยนวดให้” เสิ่นหยินอู้ถูบริเวณที่เจ็บให้เธอเบาๆ เหมิงเหมิงเจ็บปวดมากจนน้ำตารื้นขึ้นมาที่หางตาของเธอในทันที แต่เธอก็กลั้นมันกลับไปเพื่อไม่ให้หม่ามี๊กังวล เมื่อเห็นเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็ยื่นมือของเขาไปให้เหมิงเหมิงอย่างระมัดระวังเพื่อให้เธอจับไว้ พวกเขาทั้งสามอยู่ในห้องน้ำ เนื่อง
เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่าง ไม่อยากยอมแพ้เลย เธอไม่อยากยอมแพ้จริงๆ เธอติดต่อกับโจวชวงชวงได้แล้วแท้ๆ แล้วทำไมถึงหนีไม่พ้นล่ะ? เธอไม่ควรอยู่ที่นี่ มันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเธอ เธอควรจะอยู่ที่นี่สักพักแล้วก็ย้ายที่ บางที... ถ้าเป็นเช่นนั้น เธออาจยังมีโอกาสอยู่ ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็เห็นรองเท้าคู่หนึ่งกำลังเดินเข้ามาที่ห้องน้ำห้องสุดท้าย เสิ่นหยินอู้กังวลว่าจะถูกประตูกระแทก จึงให้เด็กๆไปหลบที่มุมด้านหลังก่อนแล้ว เธอมองไปที่รองเท้าคู่นั้นที่เดินเข้ามาใกล้ประตูมากขึ้น เธอกลั้นหายใจ เดิมทีเธอคิดว่าอีกฝ่ายจะกระแทกประตู แต่จู่ๆคนๆนั้นกลับหยุดอยู่ที่ประตูแล้วพูดเสียงดังว่า: "คุณหนูเสิ่น ผมรู้ว่าคุณกับลูกๆอยู่ข้างใน จุดประสงค์เดิมของคุณผู้ชายโม่คือการหาคุณให้พบ ดังนั้นเราจึงไม่อยากทำร้ายคุณ ถ้าคุณไม่อยากให้ตัวเองกับลูกๆของคุณไก้รับบาดเจ็บ กรุณาให้ความร่วมมือและออกมาด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้น หลังจากนี้ถ้าผมถีบประตูนี้ผมก็ไม่รู้ว่ามันจะทำให้คุณบาดเจ็บหรือเปล่า” เสิ่นหยินอู้ฟังคำพูดเหล่านี้อย่างเงียบๆ ไม่กี่วินาทีต่อมา ริมฝีปากของเธอก็ขยับ และเมื่อเธอกำลังจะพูด ก็มีเสียงดังป
เด็กทั้งสองจับชายเสื้อของเธอแน่นและหลบตัวอยู่ข้างหลังเธอ เสิ่นหยินอู้เตรียมใจไว้แล้ว หลังจากบิดที่ล็อค เธอก็เปิดประตูออกไปในทันทีและพูดในสิ่งที่เธอเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า “ฉันจะไปกับพวกคุณ อย่าทำร้ายฉันกับลูกๆก็…” อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะพูดจบ เธอก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าของเธอมืดลง จากนั้นร่างกายของเธอก็ถูกกอดเอาไว้ "ปล่อยนะ……" หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ตอบสนองได้ เธอก็คิดที่จะดันเขาออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่กลิ่นอายที่คุ้นเคยก็แทรกเข้ามาในลมหายใจของเธอ เสิ่นหยินอู้ตกตะลึง นี่มัน…… ชายคนนั้นกอดเธอแน่นขึ้น มันแรงจนแทบจะบดเข้าไปถึงในกระดูกและเลือดของเธอ แต่เสิ่นหยินอู้กลับไม่รู้สึกเจ็บปวด หยาดน้ำตาปรากฏขึ้น สักพักภาพตรงหน้าก็พร่ามัว ในเวลาเดียวกัน เด็กทั้งสองคนก็อุทานออกมาด้วยความตกใจจากด้านหลัง “ลุงเย่มู่!” เขานั่นเอง เป็นเขาจริงๆ เสิ่นหยินอู้คาดไม่ถึงว่าคนที่มาที่นี่จะเป็นฉินเย่ ในตอนที่เธอโทรหาโจวชวงชวงก่อนหน้านี้ เธอไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เสิ่นหยินอู้ไม่ได้ยินเธอพูดถึงมัน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าเธอได้บอกฉินเย่แล้วหรือไม่ หยินอู้จึงคิดว่าฉินเย่
"ไปกันเถอะ" เสิ่นหยินอู้จูงมือเสิ่นซือเหนียนแล้วเดินไปข้างหน้า และพวกเขาก็ออกไปพร้อมกัน คาดไม่ถึงว่าเมื่อพวกเขาไปถึงที่ประตู มีคนกลุ่มหนึ่งล้อมพวกเขาไว้และขวางทางพวกเขาไว้โดยไม่มีทางให้ออกไปได้ เมื่อเห็นคนกลุ่มนี้ หัวใจของเสิ่นหยินอู้ก็เย็นวูบ "เป็นคนของเขาสินะ" ฉินเย่เอื้อมมือออกไปดึงเธอให้เข้ามาข้างๆเขาโดยไม่รู้ตัว "มีผมอยู่" หลังจากได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ขยับเข้าไปใกล้ๆเขาโดยอัตโนมัติ เธอเม้มริมฝีปากแล้วถามว่า “คุณไม่ได้แจ้งตำรวจใช่ไหม?” ฉินเย่ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นลดสายตาลงมามองเธอ “ทำไมล่ะ กลัวผมจะแจ้งตำรวจจับเขาเหรอ? เป็นห่วงเขาหรอ?” เมื่อเผชิญกับดวงตาสีดำเข้มของเขา เสิ่นหยินอู้ก็ลดสายตาลง "เมื่อก่อนเขาช่วยฉันมามาก ฉันไม่อยากทำร้ายเขา" “ตอนนี้เขากำลังทำร้ายคุณ” “เขาแค่จะพาฉันออกไปและไม่ได้ทำร้ายฉัน” เสิ่นหยินอู้ย้ำ "เขาไม่ได้ทำร้ายฉันหรือลูกๆ" ฉินเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ได้โทรแจ้งตำรวจ แต่เมื่อเขาเห็นเสิ่นหยินอู้ปกป้องโม่ไป๋ต่อหน้าเขาและยังพูดแก้ต่างให้ด้วยวิธีต่างๆ มันก็ยากที่เขาจะเลี่ยงไม่ให้รู้สึกเจ็บปวดในใจ ในเวลานี้ โม่ไป๋เดินออกมาจากฝูง
ในตอนที่เธอกลับจีน เธอไม่ได้อยากกลับไปคืนดีกับฉินเย่ สิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ล้วนเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายทั้งงสิ้น อีกทั้งเธอไม่เคยคิดเลยว่าโม่ไป๋จะกักขังเธอและถึงขั้นทำร้ายผู้ช่วยเฉินด้วยซ้ำ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นึกถึงผู้เฉินที่ช่วยให้เธอหนีออกมาขึ้นมาทันที และถามว่า "ผู้ช่วยเฉินอยู่ที่ไหน?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากของโม่ไป๋ก็ยกขึ้นเล็กน้อย “ผู้ช่วยเฉินเหรอ? หยินอู้ ถ้าอยากรู้เกี่ยวกับเขา ก็กลับไปกับผม” เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปาก ก่อนที่เธอจะได้ตอบ มือของฉินเย่ที่วางอยู่ที่เอวของเธอก็ออกแรงขึ้นมาเล็กน้อยและพูดอย่างเย็นชาว่า: "คิดจะพาเธอไปเหรอ? อย่าฝันเลย" โม่ไป๋มองไปที่เสิ่นหยินอู้แล้วยิ้มเล็กน้อย “หยินอู้ ผมไม่ฟังคนอื่น ผมฟังแค่เธอเท่านั้น บอกผมสิ เธอจะกลับไปกับผมไหม ผมสัญญาว่าถ้าเธอกลับไปกับผม ผู้ช่วยเฉินจะปลอดภัย” เสิ่นหยินอู้: "นายกำลังขู่ฉันอยู่เหรอ? เขาคือผู้ช่วยของนาย ไม่ใช่ของฉัน" "อืม" โม่ไป๋พยักหน้า: "แน่นอน ผมรู้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยของผม แต่ในฐานะผู้ช่วยของผม เขากลับปล่อยคนของผมให้หนีไป หยินอู้ เธอว่า ถ้าเธอไม่ลงโทษคนแบบนั้น ในอนาคตพวกลูกน้
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ