ในตอนที่เธอกลับจีน เธอไม่ได้อยากกลับไปคืนดีกับฉินเย่ สิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ล้วนเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายทั้งงสิ้น อีกทั้งเธอไม่เคยคิดเลยว่าโม่ไป๋จะกักขังเธอและถึงขั้นทำร้ายผู้ช่วยเฉินด้วยซ้ำ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นึกถึงผู้เฉินที่ช่วยให้เธอหนีออกมาขึ้นมาทันที และถามว่า "ผู้ช่วยเฉินอยู่ที่ไหน?" เมื่อได้ยินเช่นนั้น มุมปากของโม่ไป๋ก็ยกขึ้นเล็กน้อย “ผู้ช่วยเฉินเหรอ? หยินอู้ ถ้าอยากรู้เกี่ยวกับเขา ก็กลับไปกับผม” เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปาก ก่อนที่เธอจะได้ตอบ มือของฉินเย่ที่วางอยู่ที่เอวของเธอก็ออกแรงขึ้นมาเล็กน้อยและพูดอย่างเย็นชาว่า: "คิดจะพาเธอไปเหรอ? อย่าฝันเลย" โม่ไป๋มองไปที่เสิ่นหยินอู้แล้วยิ้มเล็กน้อย “หยินอู้ ผมไม่ฟังคนอื่น ผมฟังแค่เธอเท่านั้น บอกผมสิ เธอจะกลับไปกับผมไหม ผมสัญญาว่าถ้าเธอกลับไปกับผม ผู้ช่วยเฉินจะปลอดภัย” เสิ่นหยินอู้: "นายกำลังขู่ฉันอยู่เหรอ? เขาคือผู้ช่วยของนาย ไม่ใช่ของฉัน" "อืม" โม่ไป๋พยักหน้า: "แน่นอน ผมรู้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยของผม แต่ในฐานะผู้ช่วยของผม เขากลับปล่อยคนของผมให้หนีไป หยินอู้ เธอว่า ถ้าเธอไม่ลงโทษคนแบบนั้น ในอนาคตพวกลูกน้
โม่ไป๋ที่อยู่ไกลๆเฝ้ามองทั้งสองคนพูดคุยกันเบาๆมาเป็นเวลานาน มือที่ห้อยอยู่ข้างตัวก็อดไม่ได้ที่จะกำแน่น เมื่ออยู่กับเขา เธอเคยพูดเบาๆเช่นนี้กับเขาเมื่อไรกัน? ความริษยาก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในจิตใจของเขา ราวกับว่ามันดูดซับสารอาหารที่วิเศษบางอย่างเข้าไปจนเติบโตกลายเป็นต้นไม้สูงตระหง่านอย่างรวดเร็ว เมื่อลูกน้องที่อยู่ข้างๆโม่ไป๋เห็นเช่นนั้น ในดวงตาก็มีแสงแวบขึ้นมา “ประธานโม่ จริงๆแล้วที่คุณไม่ให้ลงมือไปชิงตัวเพราะคุณกลัวที่จะทำให้คุณหนูเสิ่นกับลูกๆได้รับบาดเจ็บใช่ไหมครับ? แต่จริงๆแล้วทั้งคนฝั่งเราแล้วก็คนฝั่งนั้นก็ไม่อยากทำร้ายคุณหนูเสิ่นทั้งคู่ เพราะงั้นถึงจะลงมือ คุณหนูเสิ่น กับลูกๆก็คงจะปลอดภัยดี” “แต่ถ้าเราไม่ลงมือ เราจะหาทางออกไม่ได้นะครับ หรือถ้างั้นก็ไปพาคุณหนูเสิ่นกับลูกๆออกไปโต้งๆเลยดีไหมครับ” โม่ไป๋ไม่ได้พูดอะไร อาจเพราะกำลังสับสน เมื่อลูกน้องเห็นว่าความคิดของเขาเริ่มสั่นคลอน เขาก็ปลุกปั่นต่อไป “ประธานโม่ ลองคิดดูสิครับ ถ้าเราปล่อยให้อีกฝ่ายพาคุณหนูเสิ่นกลับไปจริงๆ งั้นในอนาคตเราจะมีโอกาสพาคุณหนูเสิ่นนกลับมาอีกไหมครับ? ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดคือโอกาสในครั้งนี้ครั้ง
หลังจากได้รับคำสั่งจากโม่ไป๋ ในที่สุดลูกน้องของเขาก็แสดงรอยยิ้มแห่งความสำเร็จออกมา เขาเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาจับจ้องไปที่เสิ่นหยินอู้ที่อยู่ตรงข้าม และทันใดนั้นก็โบกมือแล้วตะโกนเสียงดังว่า: "เข้าไปเลย! ชิงตัวคุณหนูเสิ่นกับลูกๆกลับมาให้ประธานโม่ให้ได้" เมื่อเขายกมือขึ้น เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่าไม่ปกติ ก่อนที่เธอจะได้อ้าปากพูด ฉินเย่ที่อยู่ข้างๆก็โอบเอวเธอไว้ "ไป" เสิ่นหยินอู้รีบดึงเสิ่นซือเหนียนให้หันกลับไปด้วยกันอย่างเร่งรีบ "หยุดพวกเขาไว้!" หลี่มู่ถิงตะโกนออกมาเสียงดัง เขาไม่ได้สง่างามเหมือนตามปกติแล้ว จากนั้นก็รีบวิ่งตามพวกเขาไป ก่อนที่พวกเขาจะมา พวกเขาได้คิดไว้แล้ว หากทั้งสองฝ่ายสู้กัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพาเสิ่นหยินอู้ออกไปก่อนอย่างแน่นอน แต่ก็ต้องมีคนอยู่เพื่อที่จะต่อกรกับอีกฝ่าย หลังจากที่เสิ่นหยินอู้เห็นคนเหล่านั้นวิ่งไปข้างหน้า เธอก็เข้าใจว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะได้ทันตอบสนอง เธอก็ถูกผลักเข้าไปในรถ ก่อนที่เธอจะนั่งให้ดี เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนก็ถูกผลักเข้าไปในรถด้วย หลี่มู่ถิงก็รีบตามมาและเข้าไปนั่งในที่นั่งผู้ช่วยคนขับ เส
เมื่อได้ยินชื่อของเธอ เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลี่มู่ถิง “ใครน่ะ?” หลี่มู่ถิงยื่นโทรศัพท์ให้เธอ “คุณหนูเสิ่น เพื่อนสนิทของคุณ คุณโจวครับ” เมื่อได้ยินว่าเป็นโจวชวงชวง เสิ่นหยินอู้ก็รับโทรศัพท์มาทันที "ชวงชวง!" "หยินอู้!!" โจวชวงชวงรู้สึกตื่นเต้นมากกว่าที่หยินอู้เป็น: "ในที่สุดฉินเย่ก็หาเธอเจอ ฉันขอโทษนะ รถของเราเสียระหว่างทาง ดวงซวยจริงๆ ดันพลาดโอกาสที่จะไปช่วยเธอซะได้ โชคดีที่ประธานฉินหาเธอเจอ" รถเสียเหรอ? เธอก็ว่าอยู่ว่าทำไมเธอไม่เห็นชวงชวงเลย“แล้วตอนนี้พวกเธออยู่ที่ไหน?” “ไม่เป็นไร โจวเปาผีอยู่ที่นี่ด้วย เขาจะช่วยจัดการเอง ฉันเพิ่งโทรหาผู้ช่วยหลี่ได้” "งั้นก็ดีเลย" “เดี๋ยวฉันกลับไปแล้วไปหานะ” "โอเค" ทั้งสองพูดคุยกันสักพักแล้วจึงวางสาย ทางฝั่งของโจวชวงชวงรถเสียและตอนนี้เธอก็กำลังเดือดร้อน หลังจากคืนโทรศัพท์ให้หลี่มู่ถิง แล้วเสิ่นหยินอู้ก็ถามว่า "พวกคุณตามหาฉันเจอได้ยังไง?" หลี่มู่ถิงเก็บโทรศัพท์แล้วอธิบายเบาๆ “จริงๆแล้วเป็นคุณโจวที่ส่งข้อความมาให้เรามาโดยตลอด พอเราได้รับข้อความว่าคุณอยู่ที่โรงแรม เราก็เลยรีบไป แต่พอเราไปถึง เราไม่รู้ตำแหน
แต่รอยยิ้มนี้คงอยู่เพียงครู่หนึ่งแล้วก็หายไป เพราะเธอเริ่มกังวลเรื่องฉินเย่ขึ้นมาอีกครั้ง หลี่มู่ถิงเป็นคนช่างสังเกต เมื่อเห็นว่าจู่ๆสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปมาก เขาก็รีบปลอบเธอ: "วางใจเถอะครับคุณหนูเสิ่น ไม่ต้องกังวลจริงๆนะครับ ประธานฉินไม่เคยทำอะไรที่เขาไม่มั่นใจหรอกครับ" "ฉันรู้"เสิ่นหยินอู้พยักหน้า เธอรู้จักฉินเย่มานานเช่นนี้ แน่นอนว่าเธอรู้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่เขาไม่มั่นใจ แต่การที่เธอรู้มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง การเป็นห่วงเขามันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพราะฉินเย่อยู่ที่นั่นเพื่อจัดการปัญหา ดังนั้นการเดินทางของพวกเธอจึงราบรื่นมาก เมื่อไปถึงสถานที่ที่ปลอดภัย หลี่มู่ถิงก็ส่งทั้งสามคนเข้าไปในห้อง การเดินทางมาที่นี่ใช้เวลาไปไม่น้อยเลย ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงเรียกหลี่มู่ถิงก่อนที่เขาจะจากไปและถามว่า "เขาจะกลับมาได้เมื่อไร?" "เอ่อ..." หลี่มู่ถิงส่ายหัว: "ผมไม่แน่ใจครับ คงจะกลับมาหลังจากจัดการทุกอย่างงเรียบร้อยแหละครับ" “เขายังไม่ได้ตอบคุณเลยเหรอ?” “คุณหนูเสิ่น คุณอยู่กับผมมาตลอดทาง โทรศัพท์ของผมดังขึ้นเพียงครั้งเดียว นั่นคือสายจากคุณโจว ก็อย่างที่คุณรู้”
“ยังไงก็เป็นการรักษาส่วนตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องเกร็งมากหรอก ทำตัวสบายๆเถอะครับ” หลังจากพูดจบ คุณหมอก็คุกเข่าลงตรงหน้าเสิ่นเหมิงเหมิง และจับข้อเท้าขวาของเธอเบาๆ “เท้าข้างนี้เจ็บใช่ไหม?” ชั่วพริบตาที่ข้อเท้าของเธอถูกกด เสิ่นเหมิงเหมิงก็กำชายเสื้อของเธอแน่นขึ้นด้วยความเกร็งและพยักหน้า คุณหมอตรวจดูข้อเท้าขาวๆของเธอ จากนั้นจึงกดเบาๆที่จุดหนึ่ง สาวน้อยเจ็บจนตัวสั่นและตะโกนร้องเรียกหม่ามี๊ดังลั่น ในวินาทีนี้ เสิ่นหยินอู้รู้สึกปวดใจอย่างยิ่งและยื่นมือออกไปให้เธอกอด “ดูเหมือนตรงนี้จะเจ็บ เป็นไงบ้าง ตรงนี้ก็เจ็บงั้นเหรอ?” หลังจากตรวจดูได้สักพัก คุณหมอก็บอกว่า “สาวน้อยไม่ได้เป็นอะไรหนักหนา แค่ข้อเท้าแพลง ผมจะสั่งยาให้เธอ พักสักสองสามวัน แต่ช่วงนี้ต้องงดการเดินบนพื้นไปก่อนนะครับ” เสิ่นหยินอู้ขอบคุณเขา และเขาก็สั่งยาให้แล้วจึงจากไป ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆในการตรวจเหมิงเหมิง หลังจากที่คุณหมอออกไปเสิ่นหยินอู้ก็อุ้มเหมิงเหมิงกลับไปที่เดิมและกำชับว่า: "ครั้งหน้าถ้าลูกได้รับบาดเจ็บ ต้องบอกหม่ามี๊ทันทีนะ อย่าฝืนตัวเองอีก เข้าใจไหม?” ครั้งนี้เสิ่นเหมิงเหมิงได้บทเรียนแล้ว เธอพยักหน้าอย
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ไม่คิดจะออกไปข้างนอกอีก ตอนนี้ดึกมากขนาดนี้แล้ว พวกเขายังคงเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อความปลอดภัยของเธอ ถ้าเธอไปไหนซี้ซั้ว มันจะไม่เป็นการสร้างปัญหาให้พวกเขาหรอกเหรอ? ดังนั้น หลังจากที่เสิ่นหยินอู้คิดได้ เธอก็พูดกับเขา: "เอางี้นะ ฉันจะไม่ไปไหนแล้ว แต่ฉันมีเรื่องจะรบกวนคุณหน่อยน่ะ" "คุณหนูเสิ่น เราทุกคนทำงานภายใต้ประธานฉิน คุณคือคนของประธานฉิน เรื่องของคุณคือเรื่องของประธานฉิน เรื่องของประธานฉินก็เป็นเรื่องของเราเช่นกัน ดังนั้นถ้าคุณมีอะไรให้เราทำ แค่สั่งพวกเรามาก็พอครับ มันไม่ได้ต้องรบกวนอะไรเลย” “อีกเดี๋ยวถ้าผู้ช่วยหลี่มา คุณช่วยให้เขามาหาฉันหน่อยได้ไหม?” “ไม่มีปัญหา ผมจะไปตามผู้ช่วยหลี่ตอนนี้เลย”เสิ่นหยินอู้: "...ไม่จำเป็น" เดิมทีเธออยากจะบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องไปตามเขา แค่ถ้าเจอเขาก็บอกให้เขามาหาเธอก็พอ แต่เธอไม่คาดคิดว่าชายคนนั้นจะเอาโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาหลี่มู่ถิง หลังจากโทรติดแล้ว เขาก็พูดตรงๆ: "ผู้ช่วยหลี่ คุณหนูเสิ่นมีเรื่องจะคุยกับคุณ คุณช่วยมาตอนนี้เลยได้ไหมครับ?" เสิ่นหยินอู้: "..."ช่างมันเถอะ เอางั้นก็ได้ เธอทำได้เพ
เมื่อโจวชวงชวงกับเสิ่นหยินอู้ผละออกจากกัน พวกเธอก็พบว่าหลี่มู่ถิงจากไปแล้ว สายตาของเสิ่นหยินอู้มืดมนลง เธอไม่สามารถบังคับให้เขาตอบคำถามเธอไปได้ตลอด เขาก็มีเรื่องของเขาที่ต้องไปจัดการ ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาไปทำเถอะ โจวชวงชวงตระหนักได้ถึงอารมณ์ของเพื่อนสนิทเธอ จึงถามอย่างระแวดระวังทันที: "เป็นอะไรไปหรอ?" เสิ่นหยินอู้ได้สติกลับมาอีกครั้งและยิ้มอย่างเรียบเฉย "ไม่มีอะไรหรอก เธอมาแล้วสินะ รถซ่อมเสร็จแล้วเหรอ?" “ยังไม่เสร็จหรอก โจวเปาผีกลัวว่าฉันจะเป็นห่วงเธอมากเกินไป เขาเลยให้คนมาส่งฉันกลับมาก่อนน่ะ” หลังจากพูดจบ โจวชวงชวงก็เปลี่ยนคำพูดทันทีและพูดว่า: "ไม่สิ เรียกเขาว่าโจวเปาผีไม่ได้แล้ว ฉันสัญญากับเขาว่าจะไม่ตั้งชื่อเล่นให้เขาอีก จากนี้ฉันจะเรียกเขาว่าประธานเผยแล้วกัน" “ชื่อเล่นเหรอ?” “ใช่ ครั้งนี้เขามากับฉันเพื่อมาช่วยตามหาเธอ ฉันใช้เวลาอยู่กับเยอะอยู่ บางครั้งฉันก็หลุดเรียกเขาว่าโจวเปาผีโดยไม่รู้ตัว…” เสิ่นหยินอู้: "..." เธออยากจะพูดว่าสมกับเป็นเธอจริงๆ “เขาไม่โกรธเหรอ?” “โกรธที่ไหนล่ะ? ชื่อเล่นที่ฉันตั้งให้ไม่ได้ตั้งซี้ซั้วนะ มันเป็นเรื่องจริงต่างหาก ชอบให้ฉันทำงานล่วงเ
"ถึงแม้เธอจะปิดบังได้เก่งแค่ไหน แต่แม่ของฉินเย่ก็ยังดูออก หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จ เด็กๆ สองคนตามคุณพ่อของฉินเย่เข้าไปเล่นในห้องหนังสือ แล้วแม่ของฉินเย่ก็ถามเธออย่างเงียบๆ""เป็นยังไงบ้าง? ติดต่อฉินเย่ได้มั้ย?" เมื่อได้ยินคำถาม เสิ่นหยินอู้ถึงกับชะงักไป ไม่รู้จะตอบยังไงดี"มีอะไรหรือเปล่า? มีเรื่องกังวลใจอะไรไม่กล้าบอกแม่หรือเปล่า? หยินอู้ แม่บอกเลยนะ ถึงแม้แม่จะไม่ใช่แม่แท้ๆ ของหนู แต่ถ้าหนูอยากจะคิดว่าแม่เป็นแม่แท้ๆของหนู แม่ก็ยินดี หนูคุยกับแม่ได้ทุกเรื่องเลยนะ ตอนที่หนูจากไป แม่ยังไม่ได้มีโอกาสได้เจอหนูเลย และแม่ก็ไม่รู้เรื่องของพวกหนูซักเท่าไหร่ แต่ถ้าแม่รู้ แม่ก็จะบอกหนูว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นระหว่างหนูกับฉินเย่ ถึงหนูจะไม่อยากจะมีเขาอีกแล้ว แต่หนูยังสามารถนับแม่เป็นแม่ของหนูได้เสมอ" คำพูดที่ไม่ได้คาดคิดนี้ ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกอบอุ่นในหัวใจและทำให้น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาที่ขอบตา "ขอบคุณค่ะ แม่ คำพูดของแม่ หนูจะจดจำไว้เสมอ" ตอนเด็ก เธอเคยอิจฉาคนอื่นที่มีแม่ ทำไมเธอไม่มี เธอก็อยากมีแม่ที่อ่อนโยนและรักเธอ คอยซื้อกระโปรงสวยๆ ให้เธอ สวมใส่ให้เธอ คอยกอดเธอตอนนอน เล่านิทานให้ฟัง
"เรื่องนี้คุณไม่ต้องห่วงเลยครับ ในตอนที่คุณฉินว่าจ้างผม เขาจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าหนึ่งปีมาแล้วครับ" หนึ่งปี?? เมื่อได้ยินตัวเลขนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงกับตกใจไปเล็กน้อย เขาจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าไว้นานขนาดนี้ "ดังนั้น คุณเสิ่น ภายในหนึ่งปีนี้ เราจะคุ้มครองความปลอดภัยของคุณอย่างดีครับ" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้เงยหน้าขึ้นมองเขาอย่างอดไม่ได้ "พวกคุณทำงานตามค่าจ้างใช่ไหม?" หัวหน้าบอดี้การ์ดพยักหน้า"งั้นก็ดี ถ้าฉันจ่ายมากกว่าเขา แล้วขอให้พวกคุณไปต่างประเทศด้วยกันเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของฉัน พวกคุณจะรับไหมคะ?" เมื่อได้ยินแบบนั้น หัวหน้าบอดี้การ์ดถึงกับอึ้งไป"ไม่ต้องห่วง ไม่ใช่แค่ฉินเย่ที่มีเงิน ฉันเองก็จ่ายได้ค่ะ ถ้าพวกคุณไม่เชื่อ ฉันก็สามารถจ่ายล่วงหน้าให้พวกคุณได้เหมือนกัน""เอ่อ......" "หรือว่าขอบเขตการคุ้มกันของพวกคุณมีแค่ในประเทศ?""ไม่ใช่นะครับ ในต่างประเทศก็ทำได้ เพียงแต่ว่า...... พวกเราสัญญากับคุณฉินแล้วว่าจะคุ้มครองความปลอดภัยของคุณ ดังนั้นพวกเรา......""ใช่" เสิ่นหยินอู้ยิ้มเล็กน้อย "พวกคุณคุ้มครองความปลอดภัยของฉัน แต่ไม่ใช่การจำกัดเสรีภาพของฉันใช่ไหมคะ? หรือว
"อย่าเป็นแบบไหน? ถ้าผมทำแบบนี้ตั้งแต่แรก เธอคงจะไม่กลับประเทศหรือเปล่า? บางทีการให้เธอกลับประเทศอาจจะเป็นความผิดพลาด อย่างน้อยถ้าอยู่ต่างประเทศ ถึงเธอจะไม่ยอมรับผม แต่ก็จะไม่ไปอยู่ข้างคนอื่น"คำพูดของเขาทำให้เสิ่นหยินอู้หลับตาลง สูดลมหายใจลึกๆ ก่อนจะถามว่า "เขาอยู่กับนายหรือเปล่า? นายทำอะไรกับเขา?""ไม่มีความอดทนพอที่จะฟังผมพูดเรื่องอื่นแล้วหรอ?""ฉัน......""ถ้าเธออยากรู้จริงๆ ว่าเขาเป็นยังไง ทำไมไม่มาดูเองล่ะ?"เสิ่นหยินอู้รู้สึกหายใจสะดุด"ก่อนจะเห็นหน้าเธอ ผมจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเขาเด็ดขาด" เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปาก"ตอนแรกทุกอย่างก็ดีอยู่แล้ว ทำไมนายต้องทำแบบนี้?""หึ"โม่ไป๋หัวเราะเบาๆ "ใช่ ก่อนหน้านั้นทุกอย่างมันดี ทำไมเธอต้องกลับประเทศ?" เสิ่นหยินอู้เงียบไปชั่วขณะ เขากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เธอไม่สามารถพูดอะไรกับเขาได้เลย"มาหาผมสิ ผมรออยู่ที่เดิม"พูดจบ โม่ไป๋ก็ทำท่าจะวางสาย เสิ่นหยินอู้รู้สึกกังวล "เดี๋ยวก่อน นายยังไม่ได้บอกเลยว่านายทำอะไรกับเขา ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?""หยินอู้ ผมจะไม่พูดอะไรทั้งนั้นจนกว่าจะเจอหน้าเธอ แน่นอนว่าเธอก็อย่าหวังว่าจะหาเขาเจอ" พูดจบ โม่ไ
ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงถูกเชิญให้กลับไปนั่งที่โต๊ะทำงาน โดยที่ตรงหน้าต่างมีคนคอยเฝ้าอยู่ รวมถึงที่หน้าประตูด้วย ถ้าหากตอนนี้มีกล้องถ่ายอยู่ในห้องนี้ คงจะคิดว่าเธอเป็นภรรยาของหัวหน้าแก๊งมาเฟียแน่ๆ เธอไม่มีอารมณ์จะทำงาน มือถือวางอยู่ข้างตัวตลอดเวลา กลัวจะพลาดการติดต่อใดๆ แม้จะไม่มีสมาธิ แต่เธอก็พยายามทำงานจนเสร็จไปบางส่วน และได้รับข้อความจากหลี่มู่ถิงว่าเขาขึ้นเครื่องแล้วหลังจากเขาขึ้นเครื่องแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้อีก ทำได้แค่รอจนกว่าเครื่องบินจะลงจอดมือถือเงียบไปทั้งบ่าย ขณะที่เสิ่นหยินอู้เตรียมเก็บของกลับบ้าน ในที่สุดมือถือก็ส่งเสียงขึ้นมา พอได้ยินเสียง เสิ่นหยินอู้หยิบมือถือขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว แล้วเห็นว่าเป็นสายจากต่างประเทศที่ไม่รู้จัก นี่คือ? เธอไม่ได้คิดมาก รีบกดรับสายทันที“ฮัลโหล?” ในใจลึกๆ เธอหวังว่าคนที่โทรมาคือฉินเย่ เพื่อบอกเธอว่าเขาไม่เป็นอะไร แค่จำเป็นต้องใช้เบอร์นี้ชั่วคราวเท่านั้น แต่เสิ่นหยินอู้ก็ยังไม่กล้าพูดชื่อเขาออกมาตรงๆ“ในที่สุด เธอก็กลับมาใช้เบอร์นี้อีกครั้งนะ” ทว่า เสียงที่ดังเข้ามาในโสตประสาทของเธอกลับเป็นเสียงอีกคนหนึ่งท
เขาเรียกเถ้าแก่อยู่หลายครั้งก่อนจะดึงสติเสิ่นหยินอู้กลับมาได้ หลังจากกลับมาได้สติอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่อู๋อี้ไห่ที่มีสีหน้าเหนื่อยใจที่อยู่ตรงหน้าเธอ ความรู้สึกผิดในใจพุ่งถึงขีดสุด “ขอโทษที เมื่อกี้ฉันฟุ้งซ่านไปหน่อย” “เถ้าแก่ ผมรู้ว่าเรื่องของคุณอาจจะสำคัญมาก แต่... ตอนนี้คุณต้องสละเวลามาดูสัญญานี้สักพัก เสร็จแล้วก็ค่อยไปฟุ้งซ่านต่อ โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่เขา เปิดริมฝีปากขาวซีดของเธอออกเล็กน้อยแล้วพยักหน้า คราวนี้เธอไม่ได้ฟุ้งซ่านอีก เธออ่านสัญญาอย่างละเอียดจนจบและทำการเซ็นชื่อ หลังจากนั้นเธอก็ยื่นสัญญาให้อู๋อี้ไห่: "ขอบคุณที่ตั้งใจทำงานในช่วงที่ผ่านมา" “ไม่หรอกครับ ใครใช้ให้ผมเป็นผู้ช่วยของคุณล่ะครับ?” อู๋อี้ไห่ยิ้มเล็กน้อย ในตอนแรกเขากำลังจะถือสัญญาแล้วเดินออกไป แต่ก่อนจากไป เขาก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “เถ้าแก่ เป็นปัญหาทางด้านความรักเหรอครับ?” อย่างไรก็ตาม คำถามของเขาไม่ได้รับการตอบกลับ เพราะหลังจากที่เสิ่นหยินอู้ส่งสัญญาให้กับเขา เธอก็ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง หลังจากนั้น อู๋อี้ไห่ก็ทำได้เพียงพูดอย่างช่วยไม่ได้: "ช่างมันเถอะ อีกเดี๋ยวตอนกลับบ้านก็กลั
เสิ่นหยินอู้เก็บโทรศัพท์ไป เธอไม่มีอารมณ์จะทานอาหารอีกต่อไป ในตอนแรกเธอคิดที่จะออกไปข้างนอก แต่ตอนนี้เธอเข้าใจสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องออกไปข้างนอกอีก “คุณหนูเสิ่น?”ก่อนหน้านี้เธอคุยโทรศัพท์อยู่ อารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน คนใช้ที่อยู่ข้างๆไม่กล้าพูดอะไร หลังจากเธอวางสาย เธอก็ยังไม่ได้ทานอาหาร ดังนั้นคนรับใช้จึงทำได้เพียงเตือนเธออย่างระมัดระวัง: "อาหารจะเย็นหมดแล้วนะคะ” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็มองลงไปที่จานอาหารตรงหน้าเธอ จากนั้นก็มองไปที่คนรับใช้ ริมฝีปากของเธอขยับ ในตอนแรกเธออยากจะบอกว่าเธอกินไม่ลงแล้วและจะให้คนรับใช้เอาอาหารไปเก็บ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะทานอาหารเข้าไปสองสามคำก่อนจะลุกขึ้นและจากไป เธอมักจะบอกลูกๆทั้งสองคนเสมอว่าอย่ากินเหลือ เธอก็ควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้พวกเขาไม่ใช่หรอ? หลังจากขึ้นไปชั้นบนแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กลับไปที่ห้องและกดโทรไปที่เบอร์ของฉินเย่ แม้ว่าหลี่มู่ถิงจะบอกว่าเธอว่าติดต่อไม่ได้ แต่เธอก็ปฏิเสธที่จะยอมแพ้ ตู๊ดตู๊ด--- หลังจากที่โทรศัพท์ดังขึ้นสองครั้ง โทรศัพท์ก็ตัดสายไปโดยอัตโนมัติ และไม่มีเสียงบอกว่าอีกฝ่าย
หากไม่ให้เงิน ก็จะฆ่าทิ้ง สถานการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักในสังคม เป็นเพราะว่าคนรวยปกป้องลูกของตัวเองเป็นอย่างดี แต่ถ้าพวกเขาประมาทและปล่อยให้อาชญากรมีเวลาและพื้นที่ แม้พวกเขาจะมีเงินทองไม่ขาดสาย แต่คงจะต้องเป็นห่วงลูกๆของพวกเขาว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้นคุณแม่ฉินจึงไม่แปลกใจที่เห็นบอดี้การ์ดติดตามพวกเขาไปในทุกๆที่ "โอเค เข้าใจแล้วค่ะ" หลังจากรับปากกับเธอแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังกลับและจากไป เธอกลับไปที่ห้องของเธอ เปลี่ยนชุดเป็นชุดลำลองแล้วลงไปที่ชั้นล่าง เดิมทีเธอคิดจะออกไปในทันที แต่คนรับใช้เรียกเธอเพื่อให้เธอลงมารับประทานอาหารเช้าเสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงนั่งลง และทานอาหารเช้าโดยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พลางเลื่อนดูโทรศัพท์ไปด้วย เธอไม่มีความอยากอาหาร ดังนั้นเธอจึงฝืนทานไปสักสองสามคำ จากนั้นก็ได้รับสายจากหลี่มู่ถิง เมื่อเห็นสายของหลี่มู่ถิง หัวใจของเสิ่นหยินอู้ก็เต้นรัวในทันที เธอรีบรับสายอย่างรวดเร็ว “ฮัลโหล ผู้ช่วยหลี่ มีข่าวอะไรบ้างไหมคะ?” อีกฝ่ายเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็พูดว่า: "คุณหนูเสิ่น อย่าเพิ่งใจร้อนครับ ถึงผมจะยังไม่ได้ติดต่อกับประธานฉ
ถ้าคิดดูอีกทีมันก็ถูก เขาน่าจะติดต่อตัวเธอเองมากที่สุดแล้ว เขาไม่ได้ติดต่อเธอ และคงไม่ได้ติดต่อตนอื่น แต่แม้ว่าจะรู้ดีว่าเป็นเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยังไม่ยอมแพ้และต้องการที่จะถามดู ตอนนี้เธอได้รับคำตอบแล้ว แต่เธอก็ยังคงผิดหวังมาก เมื่อคุณแม่ฉินเห็นหยินอู้ลดสายตาต่ำลงราวกับว่ากำลังจมเข้าสู่ภวังค์ความคิดของตัวเอง เธอรู้สึกเหมือนได้เห็นหยินอู้เติบโตขึ้น หากปะปิดปะต่อเรื่องราวก่อนหลังสักนิด เธอก็สามารถรู้ได้ว่าเสิ่นหยินอู้กำลังคิดอะไรอยู่ เธอก้าวไปข้างหน้าและถามหยั่งเชิงดู: "หยินอู้ ฉินเย่ไม่ได้ติดต่อหนูมาในช่วงสองวันมานี้ หนูเป็นห่วงเขาหรอ?" เมื่อเผชิญกับคำถามของคุณแม่ฉิน อาจเป็นเพราะพวกเธอทั้งคู่เป็นผู้หญิง เธอจึงพยักหน้ายอมรับอย่างไม่มีความกดดันใดๆ “อืม ถ้าเป็นในสถานการณ์ปกติแล้ว เขาควรจะตอบกลับข้อความมันถึงจะถูก” “จะว่าไปมันก็ใช่” หลังจากฟังคำพูดของเธอ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เขาไม่ได้ติดต่อหนูมานานแค่ไหนแล้ว?” เสิ่นหยินอู้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องเวลาและข้อความที่เธอส่งไปให้เขาที่เขายังไม่ได้ตอบกลับให้คุณแม่ฉินฟังคร่าวๆ “ถ้าพูดตามหลักเหตุผล ตั้งแต่เมื่อวานถึงตอน
เรื่องสำคัญที่ต้องทำเหรอ? ทำไมเขาถึงไม่บอกเธอล่ะ? แต่ในไม่ช้า เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกโล่งใจ ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่ตอบข้อความของเธอ ที่แท้เขาก็ยุ่งอยู่จริงๆนี่เองถ้างั้นข้อความที่เธอส่งไปก็คงไม่ได้สร้างปัญหาอะไรให้เขาใช่ไหม? “คุณหนูเสิ่น ไม่ต้องกังวลนะครับ ประธานฉินไม่เป็นไรหรอกครับ นี่ก็ดึกแล้ว คุณรีบพักผ่อนจะดีกว่านะครับ” แม้ว่าหลี่มู่ถิงจะพูดเช่นนี้ แต่เสิ่นหยินอู้ก็ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอดเวลา แต่นี่ก็ดึกมากแล้ว มันไม่ใช่เวลาที่จะรบกวนเขา “โอเค งั้นคุณพักผ่อนตามสบายค่ะ” “ถ้ามีเรื่องอะไร คุณหนูเสิ่นโทรหาผมได้ตลอดเวลานะครับ สำหรับเรื่องเกี่ยวกับประธานฉิน ผมจะรีบแจ้งให้คุณหนูเสิ่นทราบในทันทีที่ผมได้ข่าว” "ขอบคุณค่ะ" หลังจากวางสายแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็กำโทรศัพท์ไว้และพลิกตัวไป เธอยังคงไม่ได้นอน เธอกัดริมฝีปากล่าง อาจพูดได้ว่าหัวใจของเธอนั้นยุ่งเหยิงเหมือนด้ายที่พันกัน แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็หลับไปกับความคิดเช่นนี้พร้อมกับกำโทรศัพท์ไว้ในมือ จากนั้นเธอก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นจากการที่โทรศัพท์สั่น หลังจากตื่นขึ้น เธอก็พบว่ามันคื