แต่รอยยิ้มนี้คงอยู่เพียงครู่หนึ่งแล้วก็หายไป เพราะเธอเริ่มกังวลเรื่องฉินเย่ขึ้นมาอีกครั้ง หลี่มู่ถิงเป็นคนช่างสังเกต เมื่อเห็นว่าจู่ๆสีหน้าของเธอเปลี่ยนไปมาก เขาก็รีบปลอบเธอ: "วางใจเถอะครับคุณหนูเสิ่น ไม่ต้องกังวลจริงๆนะครับ ประธานฉินไม่เคยทำอะไรที่เขาไม่มั่นใจหรอกครับ" "ฉันรู้"เสิ่นหยินอู้พยักหน้า เธอรู้จักฉินเย่มานานเช่นนี้ แน่นอนว่าเธอรู้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรที่เขาไม่มั่นใจ แต่การที่เธอรู้มันก็เป็นเรื่องหนึ่ง การเป็นห่วงเขามันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพราะฉินเย่อยู่ที่นั่นเพื่อจัดการปัญหา ดังนั้นการเดินทางของพวกเธอจึงราบรื่นมาก เมื่อไปถึงสถานที่ที่ปลอดภัย หลี่มู่ถิงก็ส่งทั้งสามคนเข้าไปในห้อง การเดินทางมาที่นี่ใช้เวลาไปไม่น้อยเลย ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงเรียกหลี่มู่ถิงก่อนที่เขาจะจากไปและถามว่า "เขาจะกลับมาได้เมื่อไร?" "เอ่อ..." หลี่มู่ถิงส่ายหัว: "ผมไม่แน่ใจครับ คงจะกลับมาหลังจากจัดการทุกอย่างงเรียบร้อยแหละครับ" “เขายังไม่ได้ตอบคุณเลยเหรอ?” “คุณหนูเสิ่น คุณอยู่กับผมมาตลอดทาง โทรศัพท์ของผมดังขึ้นเพียงครั้งเดียว นั่นคือสายจากคุณโจว ก็อย่างที่คุณรู้”
“ยังไงก็เป็นการรักษาส่วนตัวอยู่แล้ว ไม่ต้องเกร็งมากหรอก ทำตัวสบายๆเถอะครับ” หลังจากพูดจบ คุณหมอก็คุกเข่าลงตรงหน้าเสิ่นเหมิงเหมิง และจับข้อเท้าขวาของเธอเบาๆ “เท้าข้างนี้เจ็บใช่ไหม?” ชั่วพริบตาที่ข้อเท้าของเธอถูกกด เสิ่นเหมิงเหมิงก็กำชายเสื้อของเธอแน่นขึ้นด้วยความเกร็งและพยักหน้า คุณหมอตรวจดูข้อเท้าขาวๆของเธอ จากนั้นจึงกดเบาๆที่จุดหนึ่ง สาวน้อยเจ็บจนตัวสั่นและตะโกนร้องเรียกหม่ามี๊ดังลั่น ในวินาทีนี้ เสิ่นหยินอู้รู้สึกปวดใจอย่างยิ่งและยื่นมือออกไปให้เธอกอด “ดูเหมือนตรงนี้จะเจ็บ เป็นไงบ้าง ตรงนี้ก็เจ็บงั้นเหรอ?” หลังจากตรวจดูได้สักพัก คุณหมอก็บอกว่า “สาวน้อยไม่ได้เป็นอะไรหนักหนา แค่ข้อเท้าแพลง ผมจะสั่งยาให้เธอ พักสักสองสามวัน แต่ช่วงนี้ต้องงดการเดินบนพื้นไปก่อนนะครับ” เสิ่นหยินอู้ขอบคุณเขา และเขาก็สั่งยาให้แล้วจึงจากไป ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงกว่าๆในการตรวจเหมิงเหมิง หลังจากที่คุณหมอออกไปเสิ่นหยินอู้ก็อุ้มเหมิงเหมิงกลับไปที่เดิมและกำชับว่า: "ครั้งหน้าถ้าลูกได้รับบาดเจ็บ ต้องบอกหม่ามี๊ทันทีนะ อย่าฝืนตัวเองอีก เข้าใจไหม?” ครั้งนี้เสิ่นเหมิงเหมิงได้บทเรียนแล้ว เธอพยักหน้าอย
หลังจากคิดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ไม่คิดจะออกไปข้างนอกอีก ตอนนี้ดึกมากขนาดนี้แล้ว พวกเขายังคงเฝ้าอยู่ที่นี่เพื่อความปลอดภัยของเธอ ถ้าเธอไปไหนซี้ซั้ว มันจะไม่เป็นการสร้างปัญหาให้พวกเขาหรอกเหรอ? ดังนั้น หลังจากที่เสิ่นหยินอู้คิดได้ เธอก็พูดกับเขา: "เอางี้นะ ฉันจะไม่ไปไหนแล้ว แต่ฉันมีเรื่องจะรบกวนคุณหน่อยน่ะ" "คุณหนูเสิ่น เราทุกคนทำงานภายใต้ประธานฉิน คุณคือคนของประธานฉิน เรื่องของคุณคือเรื่องของประธานฉิน เรื่องของประธานฉินก็เป็นเรื่องของเราเช่นกัน ดังนั้นถ้าคุณมีอะไรให้เราทำ แค่สั่งพวกเรามาก็พอครับ มันไม่ได้ต้องรบกวนอะไรเลย” “อีกเดี๋ยวถ้าผู้ช่วยหลี่มา คุณช่วยให้เขามาหาฉันหน่อยได้ไหม?” “ไม่มีปัญหา ผมจะไปตามผู้ช่วยหลี่ตอนนี้เลย”เสิ่นหยินอู้: "...ไม่จำเป็น" เดิมทีเธออยากจะบอกว่าเธอไม่จำเป็นต้องไปตามเขา แค่ถ้าเจอเขาก็บอกให้เขามาหาเธอก็พอ แต่เธอไม่คาดคิดว่าชายคนนั้นจะเอาโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรหาหลี่มู่ถิง หลังจากโทรติดแล้ว เขาก็พูดตรงๆ: "ผู้ช่วยหลี่ คุณหนูเสิ่นมีเรื่องจะคุยกับคุณ คุณช่วยมาตอนนี้เลยได้ไหมครับ?" เสิ่นหยินอู้: "..."ช่างมันเถอะ เอางั้นก็ได้ เธอทำได้เพ
เมื่อโจวชวงชวงกับเสิ่นหยินอู้ผละออกจากกัน พวกเธอก็พบว่าหลี่มู่ถิงจากไปแล้ว สายตาของเสิ่นหยินอู้มืดมนลง เธอไม่สามารถบังคับให้เขาตอบคำถามเธอไปได้ตลอด เขาก็มีเรื่องของเขาที่ต้องไปจัดการ ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาไปทำเถอะ โจวชวงชวงตระหนักได้ถึงอารมณ์ของเพื่อนสนิทเธอ จึงถามอย่างระแวดระวังทันที: "เป็นอะไรไปหรอ?" เสิ่นหยินอู้ได้สติกลับมาอีกครั้งและยิ้มอย่างเรียบเฉย "ไม่มีอะไรหรอก เธอมาแล้วสินะ รถซ่อมเสร็จแล้วเหรอ?" “ยังไม่เสร็จหรอก โจวเปาผีกลัวว่าฉันจะเป็นห่วงเธอมากเกินไป เขาเลยให้คนมาส่งฉันกลับมาก่อนน่ะ” หลังจากพูดจบ โจวชวงชวงก็เปลี่ยนคำพูดทันทีและพูดว่า: "ไม่สิ เรียกเขาว่าโจวเปาผีไม่ได้แล้ว ฉันสัญญากับเขาว่าจะไม่ตั้งชื่อเล่นให้เขาอีก จากนี้ฉันจะเรียกเขาว่าประธานเผยแล้วกัน" “ชื่อเล่นเหรอ?” “ใช่ ครั้งนี้เขามากับฉันเพื่อมาช่วยตามหาเธอ ฉันใช้เวลาอยู่กับเยอะอยู่ บางครั้งฉันก็หลุดเรียกเขาว่าโจวเปาผีโดยไม่รู้ตัว…” เสิ่นหยินอู้: "..." เธออยากจะพูดว่าสมกับเป็นเธอจริงๆ “เขาไม่โกรธเหรอ?” “โกรธที่ไหนล่ะ? ชื่อเล่นที่ฉันตั้งให้ไม่ได้ตั้งซี้ซั้วนะ มันเป็นเรื่องจริงต่างหาก ชอบให้ฉันทำงานล่วงเ
เสิ่นหยินอู้อยู่ข้างๆ เธอเลิกคิ้วขึ้นด้วยความขบขัน เมื่อไม่คิดอะไรก็ไม่คิดอะไรเลย แต่เมื่อคิดได้ ก็กลับคิดได้ถูกเผง เธอเลิกคิ้วแล้วพูดว่า "มันยากที่จะบอก ไม่แน่ว่าเขาอาจจะชอบเธอหรือเปล่า?" "เป็นไปไม่ได้!" โจวชวงชวงส่ายหัวปฏิเสธในทันที: "โจวเปาผีจะชอบฉันได้ยังไง ไม่ ไม่ ไม่ ฉันพูดผิด ต้องเป็นประธานเผย ฉันสัญญาไปแล้วว่าจะไม่ตั้งชื่อเล่นให้เขาอีก เขาบ้าไปแล้วหรือเปล่าที่จะมาชอบฉัน?" “แล้วทำไมเธอถึงคิดว่าเขาถึงจะไม่ชอบเธอล่ะ?” “มันง่ายมากนะ ฉันเป็นแค่พนักงานธรรมดาๆเอง แล้วรอบๆตัวเขาก็มีลูกคุณหนูรวยๆตั้งเยอะแยะ ไหนจะพวกผู้หญิงสวยๆที่ทั้งหน้าตาดี หุ่นดี แล้วก็มีสถานะที่สูงส่งอีกตั้งมากมาย เขาคงบ้าไปแล้วแหละถ้าจะมาชอบฉัน” เสิ่นหยินอู้รู้สึกไม่ดีเล็กน้อยเมื่อเธอได้ยินเพื่อนสนิทของเธอกำลังด้อยค่าตัวเอง เธอโต้กลับอย่างไม่สบอารมณ์: "เธอเองก็ไม่ได้แย่เลย" “โถ่ ฉันเข้าใจแล้ว” โจวชวงชวงกอดเธอแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: “แน่นอนว่าฉันรู้ว่าฉันไม่ได้แย่ แต่ว่านะที่รัก วิเคราะห์ปัญหาให้ละเอียดนะ ถ้าเทียบกับผู้หญิงที่ทั้งรวยและมีสง่าราศีพวกนั้น ฉันก็แย่กว่าพวกนั้นเยอะมาก รอบๆประธานเผยมีผู้หญิงแบบ
“นี่ไม่เกี่ยวกับเธอหรอก” โจวชวงชวงยังคงเสียใจอยู่มาก “ฉันรู้สึกว่าวันนี้ถ้าเขาไม่ส่งข้อความอะไรกลับมาเลย เธออาจจะนอนไม่หลับ คืนนี้ฉันก็จะไม่นอนเหมือนกัน ฉันจะรออยู่ที่นี่กับเธอเพื่อรอข้อความจากฉินเย่ ถ้าเขากลับมาเมื่อไรแล้วเธอรู้สึกสบายใจแล้ว ฉันค่อยไป” “ไม่จำเป็น ชวงชวง” เสิ่นหยินอู้ส่ายหัว “ฉันอยู่คนเดียวได้ วันนี้เธอก็เดินทางมาทั้งวัน รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ” “เงียบไปเลย แล้วก็อย่าไล่ฉันไปอีก ฉันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอนะ ไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ ฉันจะอยู่นอนกับเธอไม่ได้หรือไง หรือเธอไม่ชอบฉันแล้ว?” “ไม่แน่นอนอยู่แล้ว งั้นเธออยู่ต่อก็ได้” ในท้ายที่สุด โจวชวงชวงก็อยู่เป็นเพื่อนเธอเพื่อรอ เพราะทั้งคู่นอนไม่หลับ โจวชวงชวงจึงตั้งใจให้คนนำอาหารมามากมายเป็นพิเศษ แล้วก็ยังมีไวน์ เธอดื่มไวน์กับเสิ่นหยินอู้ในห้องใกล้ๆระเบียง“ฉันไม่ได้ดื่มกับเธอมานานแล้ว ถึงเธอจะเลิกดื่มหลังจากแต่งงานแล้ว แต่วันนี้เป็นวันพิเศษ เพื่อเป็นการฉลองการที่เธอกลับมาได้อย่างปลอดภัย เรามาดื่มกันสักแก้วไหม?” แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะไม่ต้องการไปยุ่งกับแอลกอฮอล์ แต่เธอก็ไม่ต้องการที่จะไปขัดความสุขของโจวชวงชวงในขณะ
มันดึกขนาดนี้แล้ว ใครกันนะ? แม้ว่าสสถานที่นี้จะได้รับการคุ้มกันเป็นอย่างดี แต่ในขณะนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงระมัดระวังตัวมาก แล้วถ้ามีคนอื่นเข้ามาล่ะ? เมื่อเธอคิดเช่นนั้น ประตูก็เปิดออก และร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเสิ่นหยินอู้ ชายคนนั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลาและรูปร่างที่สูงโปร่ง ดวงตาอันล้ำลึกของเขาก็จับจ้องมาที่ใบหน้าของเธอทันที ทันทีที่เธอเห็นเขา เสิ่นหยินอู้เกือบจะคิดว่าเธอกำลังประสาทหลอน "คุณ……" อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอเปิดปากพูด ฉินเย่ก็รีบเข้าไป เขาเดินไปตรงหน้าเธอแล้วโน้มตัวไปกอดเธอ กลิ่นอายที่คุ้นเคยปกคลุมเธอไว้ในทันที เสิ่นหยินอู้หลับตาโดยไม่รู้ตัวและยื่นมือออกตอบสนอง ทันทีที่มือของเธอแตะหลังของฉินเย่ คนที่อยู่ข้างหน้าเธอก็กอดเธอแน่นขึ้น ทันใดนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ได้กลิ่นเลือดสดๆจางๆ เธอลืมตาขึ้นและใช้แรงดิ้นรนเบาๆ "ปล่อยฉัน" คนที่อยู่ตรงหน้าเธอดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเธอ เขาพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า: "ให้ผมกอดคุณอีกสักพักเถอะนะ" จะกอดหรืออะไรมันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเขาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงไม่ยอม เมื่อเขาไม่ปล่อย
ส่วนที่มองเห็นได้ล้วนได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงเพียงนี้ แล้วภายใต้ร่มผ้าล่ะ? เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มกังวลขึ้นมา “คุณบาดเจ็บตรงไหนบ้างกันแน่? ถอดเสื้อออกให้ฉันดูหน่อย” ฉินเย่จ้องเธออย่างเงียบๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแสดงอาการที่หมดหนทางออกมา “ผมไม่ได้เพิ่งพูดไปเหรอ? นั่นคือเลือดของโม่ไป๋” มือของเสิ่นหยินอู้ที่จับอยู่บริเวณคอของเขากำแน่นขึ้น เธอจับคอเสื้อของเขาไว้แน่นและกัดริมฝีปากล่างของเธอ การกระทำทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของฉินเย่ สายตาของเขาก็มืดลงจนไร้แสง ถึงขั้นแสดงความเจ็บปวดขมขื่นออกมาด้วยซ้ำ “คุณเป็นห่วงเขามากเลยหรอ?” “ฉินเย่!” ทันทีที่เขาพูดจบ เขาได้ยินเสิ่นหยินอู้ตะโกนใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราดว่า "ถึงขนาดนี้แล้ว คุณพูดแบบนั้นแล้วมันได้อะไรล่ะ? ถึงเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ตอนนี้ฉันก็บินไปหาเขาไม่ได้ ฉันอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าคุณ ฉันอยากดูแผลของคุณ” ฉินเย่ชะงักไปเล็กน้อย “หรือจะบอกว่า ที่คุณพูดมามันเป็นสิ่งที่คุณโกหกฉันทั้งเพ อันที่จริงแล้วเป็นคุณเองต่างหากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่กล้าบอกฉัน คุณก็เลยจงใจพูดอะไรแบบนั้นเพื่อให้ฉันสับสนใช่ไหม?” หลังจากที่เธอพูดปร
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี