มันดึกขนาดนี้แล้ว ใครกันนะ? แม้ว่าสสถานที่นี้จะได้รับการคุ้มกันเป็นอย่างดี แต่ในขณะนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงระมัดระวังตัวมาก แล้วถ้ามีคนอื่นเข้ามาล่ะ? เมื่อเธอคิดเช่นนั้น ประตูก็เปิดออก และร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเสิ่นหยินอู้ ชายคนนั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลาและรูปร่างที่สูงโปร่ง ดวงตาอันล้ำลึกของเขาก็จับจ้องมาที่ใบหน้าของเธอทันที ทันทีที่เธอเห็นเขา เสิ่นหยินอู้เกือบจะคิดว่าเธอกำลังประสาทหลอน "คุณ……" อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอเปิดปากพูด ฉินเย่ก็รีบเข้าไป เขาเดินไปตรงหน้าเธอแล้วโน้มตัวไปกอดเธอ กลิ่นอายที่คุ้นเคยปกคลุมเธอไว้ในทันที เสิ่นหยินอู้หลับตาโดยไม่รู้ตัวและยื่นมือออกตอบสนอง ทันทีที่มือของเธอแตะหลังของฉินเย่ คนที่อยู่ข้างหน้าเธอก็กอดเธอแน่นขึ้น ทันใดนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ได้กลิ่นเลือดสดๆจางๆ เธอลืมตาขึ้นและใช้แรงดิ้นรนเบาๆ "ปล่อยฉัน" คนที่อยู่ตรงหน้าเธอดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเธอ เขาพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า: "ให้ผมกอดคุณอีกสักพักเถอะนะ" จะกอดหรืออะไรมันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเขาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงไม่ยอม เมื่อเขาไม่ปล่อย
ส่วนที่มองเห็นได้ล้วนได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงเพียงนี้ แล้วภายใต้ร่มผ้าล่ะ? เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มกังวลขึ้นมา “คุณบาดเจ็บตรงไหนบ้างกันแน่? ถอดเสื้อออกให้ฉันดูหน่อย” ฉินเย่จ้องเธออย่างเงียบๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแสดงอาการที่หมดหนทางออกมา “ผมไม่ได้เพิ่งพูดไปเหรอ? นั่นคือเลือดของโม่ไป๋” มือของเสิ่นหยินอู้ที่จับอยู่บริเวณคอของเขากำแน่นขึ้น เธอจับคอเสื้อของเขาไว้แน่นและกัดริมฝีปากล่างของเธอ การกระทำทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของฉินเย่ สายตาของเขาก็มืดลงจนไร้แสง ถึงขั้นแสดงความเจ็บปวดขมขื่นออกมาด้วยซ้ำ “คุณเป็นห่วงเขามากเลยหรอ?” “ฉินเย่!” ทันทีที่เขาพูดจบ เขาได้ยินเสิ่นหยินอู้ตะโกนใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราดว่า "ถึงขนาดนี้แล้ว คุณพูดแบบนั้นแล้วมันได้อะไรล่ะ? ถึงเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ตอนนี้ฉันก็บินไปหาเขาไม่ได้ ฉันอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าคุณ ฉันอยากดูแผลของคุณ” ฉินเย่ชะงักไปเล็กน้อย “หรือจะบอกว่า ที่คุณพูดมามันเป็นสิ่งที่คุณโกหกฉันทั้งเพ อันที่จริงแล้วเป็นคุณเองต่างหากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่กล้าบอกฉัน คุณก็เลยจงใจพูดอะไรแบบนั้นเพื่อให้ฉันสับสนใช่ไหม?” หลังจากที่เธอพูดปร
เธอสงบสติอารมณ์แล้วเดินเข้าไปหาเขา เธอถึงขั้นใช้เสียงนุ่มๆเพื่อง้อเขา “เมื่อกี้ฉันฉุนเฉียวเกินไป ขอโทษนะ คุณได้รับบาดเจ็บแบบนี้ก็เพื่อช่วยฉัน ฉันไม่ควรพูดกับคุณด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ตอนนี้ให้ฉันดูแผลของคุณหน่อยได้ไหม?” น้ำเสียงของเธออ่อนโยน เธอไม่เคยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนี้เลยตั้งแต่พวกเขาพบกันอีกครั้ง เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเธอที่เปลี่ยนไป ความน้อยใจในใจของฉินเย่ก็น้อยลง ในตอนแรกเขาคิดถึงเธอมาก แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นริมฝีปากสีแดงของเธอเปิดๆปิดๆต่อหน้าเขา ดวงตาของฉินเย่ก็ลึกล้ำขึ้นมาในทันที ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงสองครั้ง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปจับเอวของเธอแล้วโน้มตัวลง “คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษผม ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณ” ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น น้ำเสียงของเขาแหบแห้งมาก และเขาก็โน้มตัวไปข้างหน้า ลมหายใจอันร้อนแรงเข้ามาใกล้ๆเสิ่นหยินอู้ ขนตาของเสิ่นหยินอู้สั่นเครือเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะจูบเธอ กลิ่นเลือดที่รุนแรงก็เข้ามาในลมหายใจของเธออีกครั้ง ทำให้เธอได้สติกลับมา ก่อนที่เขาจะจูบเธอ ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ยื่นมือออกมากั้นระหว่างคนทั้งสองไว้ ฉินเย่ชะงักไป อาจเป็นเพราะเข
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตอบกลับมาคือคร่ำครวญจากความเจ็บปวด คุณหมอขมวดคิ้วและทำแผลให้เขา "ประธานฉิน หลังจากทำแผลเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งโดนน้ำในอีกหลายๆวันต่อจากนี้นะครับ ไม่งั้นถ้าแผลติดเชื้อจะมีแต่แย่ลง" ฉินเย่นั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นอกจากความเจ็บปวดที่ไม่คาดคิดในตอนแรกที่ทำให้เขาครวญครางออกมา หลังจากนั้นเขาก็อดทนมาโดยตลอด หลี่มู่ถิงยืนอยู่ข้างๆ หากเขาไม่เห็นเหงื่อเย็นๆบนหน้าผากของฉินเย่ไหลลงไปตามเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมา เขาอาจคิดว่าบาดแผลนั้นไม่เจ็บเลยสักนิด แต่มันเป็นไปได้ยังไงล่ะ? บาดแผลลึกมากขนาดนั้น เพียงแค่มองก็รู้สึกน่าสยดสยอง “ประธานฉิน คุณหนูเสิ่นรู้ไหมว่าแผลของคุณหนักขนาดนี้? ผมได้ยินมาว่าเมื่อกี้นี้คุณไปหาคุณหนูเสิ่นหลังจากที่กลับมาโดยที่ยังไม่ได้ทำแผลเลย” ฉินเย่ชะงักไป จากนั้นเม้มริมฝีปากบางของเขาแล้วพูดว่า "เธอรู้ว่าผมได้รับบาดเจ็บ แต่เธอยังไม่เห็นแผลของผม" เมื่อได้ยิน หลี่มู่ถิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก: "ดีแล้ว แผลของคุณดูน่ากลัวมากจริงๆ ทางที่ดีก็อย่าให้คุณหนูเสิ่นเห็นจะดีกว่านะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงคำถามก็ดังมาจากประตู “งั้นเหรอ? แผลแบบไหนกันล
เมื่อได้ยิน สีหน้าของหลี่มู่ถิงก็เปลี่ยนไป เขาหันกลับไปมองที่ฉินเย่ และเห็นฉินเย่พยักหน้าให้เขา ดังนั้นหลี่มู่ถิงจึงก้าวออกไป ในที่สุดสายตาของเสิ่นหยินอู้ก็สบเข้ากับฉินเย่ ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นฉินเย่ก็พูดว่า: "พวกคุณออกไปก่อน" หลังจากได้ยิน คุณหมอก็ยกมือขึ้นและชี้ไปที่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว: "ประธานฉิน คุณจะให้เราออกไปหรอครับ?" ฉินเย่พยักหน้า “แต่แผลของคุณ...” “แผลของผมไม่ได้ร้ายแรง ค่อยมาทำแผลทีหลัง” “ถ้าอย่างนั้นก็โอ...” ขณะที่หมอกำลังจะบอกว่าโอเค ใครจะรู้ว่าเสิ่นหยินอู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นจะขัดจังหวะเขาขึ้นมา “ทำแผลตอนนี้เลยเถอะค่ะ” พวกเขาทั้งสามมองไปที่เสิ่นหยินอู้พร้อมๆกัน เธอเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่จริงจังและมองฉินเย่ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจ “คุณมีแผลบนร่างกาย ถ้าไม่ทำแผลตอนนี้ แล้วคุณจะทำอะไร? เป็นเพราะแผลเจ็บไม่มากพอหรือคุณคิดว่าตัวเองมีเลือดเยอะ ก็เลยจะปล่อยให้มันไหลออกมาเพิ่มอีกเรื่อยๆได้งั้นเหรอ?” ฉินเย่: "ผม..." “คุณหมอ เขาบาดเจ็บตรงไหนบ้าง คุณช่วยทำแผลตอนนี้เลย ฉันจะเฝ้าอยู่ตรงนี้”เสิ่นหยินอู้ไม่ได้สนใจเขาเลย เธอหันไปสั่งคุณหมอ ภายใต
เสิ่นหยินอู้คิดว่าเขาอาจได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของเขาที่มักจะชอบทำตัวให้น่าสงสารนั้น เขาคงจะทำมันไปแล้ว แต่เธอคิดไม่ถึงว่าเขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงขนาดนี้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็กัดริมฝีปากล่างแล้วดันมือของฉินเย่ออกไป จากนั้นก็มองไปที่คุณหมอแล้วถามว่า "หมอคะ บาดแผลของเขาไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิตใช่ไหม?" “ไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิตครับ” “แต่บาดแผลดูน่ากลัวมากเลยนะ” “ใช่ครับ มันดูน่ากลัวมาก และถ้าแผลนี้ลึกลงไปอีกสักนิดมันก็อาจถึงชีวิตได้ แต่โชคดีที่แผลยังไม่ร้ายแรงถึงชีวิต เพราะฉะนั้นหลังจากทำแผลเสร็จแล้ว ต่อจากนี้ก็อย่าโดนน้ำก็พอครับ” แม้ว่าคำพูดของคุณหมอจะฟังดูสบายๆ แต่เสิ่นหยินอู้ก็ทำได้เพียงรู้สึกขอบคุณที่อาการบาดเจ็บของฉินเย่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต และในขณะเดียวกันเธอก็จ้องเขาอย่างดุดัน ฉินเย่: "..." หลังจากคิดไปคิดมา ในที่สุดฉินเย่ก็มองไปยังหลี่มู่ถิงที่ยืนอยู่ข้างๆเพื่อระบายใส่เขาทางสายตา หลี่มู่ถิง: "?" เขาเป็นอะไรไปหรอ? หากเขาสามารถได้เสียงในหัวของฉินเย่ เขาคงจะได้ยินฉินเย่พูดว่า: มันเป็นความผิดของคุณ ใครใช้ให้คุณเปิดประตูทิ้งไว้ตอนที่พาคุณหมอเข้ามา? เธ
นี่ก็เป็นเวลาดึกแล้ว ภายในห้องยังคงเปิดไฟดวงใหญ่อยู่ ทำให้มันสว่างราวกับเวลากลางวัน ฉินเย่ที่แต่งตัวแบบมีเสื้อผ้าไม่ครบชิ้นนั่งมองผู้หญิงที่เขารักถือถือฉลากยาขึ้นมาอ่านอยู่บนโซฟา เธออ่านมันอย่างละเอียด จากนั้นจัดยาที่เขาต้องทานเอาไว้เป็นหมวดหมู่ เธอเงยหน้าขึ้นลงเป็นระยะๆ แม้ว่าบาดแผลที่ท้องของเขาจะเจ็บปวดมาก แต่การได้เห็นเธอเป็นห่วงเขาและเห็นท่าทางของเธอที่กำลังอ่านฉลากยาอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อเขา ความรู้สึกพึงพอใจก็เพิ่มขึ้นอยู่ภายในใจเป็นอย่างมาก ความพึงพอใจแบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกผิวเผินเหมือนในอดีต แต่มันฝังลึกอยู่ในหัวใจ ในขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ ทันใดนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นและจ้องเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว ฉินเย่ถูกท่าทางของเธอดึงสติให้กลับคืนมา จากนั้นจึงถามว่า "มีอะไรผิดหรอ?" จู่ๆ เสิ่นหยินอู้ก็ถามว่า: "เย็นนี้คุณกินข้าวหรือยัง?" ฉินเย่: "..." "สรุปยังไง?" “ดูเหมือนจะยังไม่ได้กิน ยาพวกนี้กินหลังอาหารด้วยนะ คุณ...” "งั้นเหรอ?" ท่าทางของฉินเย่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจมากนัก "ถ้าเป็นยาที่ต้องกินหลังอาหาร งั้นพรุ่งนี้ค่อยกินแล้วกัน" "ไม่ไ
“แต่คุณหมอก็บอกไม่ใช่หรอว่าไม่ได้บาดเจ็บถึงตาย แผลฉีกก็ฉีกสิ มันก็เจ็บแค่แป๊ปเดียวเอง คุณเตรียมของกินเสร็จแล้วเราค่อยกลับมา” ก่อนที่เสิ่นหยินอู้จะได้พูดเพื่อหยุดเขา ฉินเย่ก็ลุกขึ้นมาแล้ว "ไปกันเถอะ" “คุณอยากไปกับฉันจริงๆเหรอ? แผลของคุณ…” "ไปกันเถอะ" เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม ฉินเย่จึงพูดออกมา: "รีบไปรีบกลับเถอะ ถ้าคุณยังลีลาอยู่ เย็นนี้ผมจะได้กินยาเมื่อไรล่ะ?" ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ใจอ่อน เธอพาเขาไปที่ห้องครัวด้วยกัน ระหว่างนั้น หลี่มู่ถิงได้ยินเสียงดังจึงวิ่งไปดู เขาพบว่าทั้งสองคนกำลังเดินไปที่ห้องครัว จึงเสนอให้เรียกพ่อครัวมา แต่เนื่องจากมันดึกมากแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงปฏิเสธ และหลี่มู่ถิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ในครัว เสิ่นหยินอู้เปิดตู้เย็นซึ่งเต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมาย เสิ่นหยินอู้มองดู ในที่สุดก็เลือกวัตถุดิบง่ายๆมาสองสามอย่าง และเริ่มต้มน้ำ มันดึกมากแล้ว เสิ่นหยินอู้เพียงแค่ใส่เส้นบะหมี่และวัตถุดิบลงไปต้มในหม้อ กระบวนการทั้งหมดนี้ดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ฉินเย่ดูอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ “มันดึกมากแล้ว กินเยอะเกินไปเดี๋ยวจะไม่ย่อย กินอะไรง่ายๆรองท้องไปก่อนแล้
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ