มันดึกขนาดนี้แล้ว ใครกันนะ? แม้ว่าสสถานที่นี้จะได้รับการคุ้มกันเป็นอย่างดี แต่ในขณะนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงระมัดระวังตัวมาก แล้วถ้ามีคนอื่นเข้ามาล่ะ? เมื่อเธอคิดเช่นนั้น ประตูก็เปิดออก และร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเสิ่นหยินอู้ ชายคนนั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลาและรูปร่างที่สูงโปร่ง ดวงตาอันล้ำลึกของเขาก็จับจ้องมาที่ใบหน้าของเธอทันที ทันทีที่เธอเห็นเขา เสิ่นหยินอู้เกือบจะคิดว่าเธอกำลังประสาทหลอน "คุณ……" อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เธอเปิดปากพูด ฉินเย่ก็รีบเข้าไป เขาเดินไปตรงหน้าเธอแล้วโน้มตัวไปกอดเธอ กลิ่นอายที่คุ้นเคยปกคลุมเธอไว้ในทันที เสิ่นหยินอู้หลับตาโดยไม่รู้ตัวและยื่นมือออกตอบสนอง ทันทีที่มือของเธอแตะหลังของฉินเย่ คนที่อยู่ข้างหน้าเธอก็กอดเธอแน่นขึ้น ทันใดนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ได้กลิ่นเลือดสดๆจางๆ เธอลืมตาขึ้นและใช้แรงดิ้นรนเบาๆ "ปล่อยฉัน" คนที่อยู่ตรงหน้าเธอดูเหมือนจะไม่ได้ยินคำพูดของเธอ เขาพูดด้วยเสียงแหบแห้งว่า: "ให้ผมกอดคุณอีกสักพักเถอะนะ" จะกอดหรืออะไรมันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือเขาได้รับบาดเจ็บ ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงไม่ยอม เมื่อเขาไม่ปล่อย
ส่วนที่มองเห็นได้ล้วนได้รับบาดเจ็บรุนแรงถึงเพียงนี้ แล้วภายใต้ร่มผ้าล่ะ? เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มกังวลขึ้นมา “คุณบาดเจ็บตรงไหนบ้างกันแน่? ถอดเสื้อออกให้ฉันดูหน่อย” ฉินเย่จ้องเธออย่างเงียบๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาแสดงอาการที่หมดหนทางออกมา “ผมไม่ได้เพิ่งพูดไปเหรอ? นั่นคือเลือดของโม่ไป๋” มือของเสิ่นหยินอู้ที่จับอยู่บริเวณคอของเขากำแน่นขึ้น เธอจับคอเสื้อของเขาไว้แน่นและกัดริมฝีปากล่างของเธอ การกระทำทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของฉินเย่ สายตาของเขาก็มืดลงจนไร้แสง ถึงขั้นแสดงความเจ็บปวดขมขื่นออกมาด้วยซ้ำ “คุณเป็นห่วงเขามากเลยหรอ?” “ฉินเย่!” ทันทีที่เขาพูดจบ เขาได้ยินเสิ่นหยินอู้ตะโกนใส่เขาอย่างเกรี้ยวกราดว่า "ถึงขนาดนี้แล้ว คุณพูดแบบนั้นแล้วมันได้อะไรล่ะ? ถึงเขาจะได้รับบาดเจ็บ แต่ตอนนี้ฉันก็บินไปหาเขาไม่ได้ ฉันอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าคุณ ฉันอยากดูแผลของคุณ” ฉินเย่ชะงักไปเล็กน้อย “หรือจะบอกว่า ที่คุณพูดมามันเป็นสิ่งที่คุณโกหกฉันทั้งเพ อันที่จริงแล้วเป็นคุณเองต่างหากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่กล้าบอกฉัน คุณก็เลยจงใจพูดอะไรแบบนั้นเพื่อให้ฉันสับสนใช่ไหม?” หลังจากที่เธอพูดปร
เธอสงบสติอารมณ์แล้วเดินเข้าไปหาเขา เธอถึงขั้นใช้เสียงนุ่มๆเพื่อง้อเขา “เมื่อกี้ฉันฉุนเฉียวเกินไป ขอโทษนะ คุณได้รับบาดเจ็บแบบนี้ก็เพื่อช่วยฉัน ฉันไม่ควรพูดกับคุณด้วยน้ำเสียงแบบนั้น ตอนนี้ให้ฉันดูแผลของคุณหน่อยได้ไหม?” น้ำเสียงของเธออ่อนโยน เธอไม่เคยพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงนี้เลยตั้งแต่พวกเขาพบกันอีกครั้ง เมื่อได้ยินน้ำเสียงของเธอที่เปลี่ยนไป ความน้อยใจในใจของฉินเย่ก็น้อยลง ในตอนแรกเขาคิดถึงเธอมาก แต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นริมฝีปากสีแดงของเธอเปิดๆปิดๆต่อหน้าเขา ดวงตาของฉินเย่ก็ลึกล้ำขึ้นมาในทันที ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลงสองครั้ง จากนั้นเขาก็เอื้อมมือไปจับเอวของเธอแล้วโน้มตัวลง “คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษผม ผมยินดีทำทุกอย่างเพื่อคุณ” ขณะที่เขาพูดเช่นนั้น น้ำเสียงของเขาแหบแห้งมาก และเขาก็โน้มตัวไปข้างหน้า ลมหายใจอันร้อนแรงเข้ามาใกล้ๆเสิ่นหยินอู้ ขนตาของเสิ่นหยินอู้สั่นเครือเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะจูบเธอ กลิ่นเลือดที่รุนแรงก็เข้ามาในลมหายใจของเธออีกครั้ง ทำให้เธอได้สติกลับมา ก่อนที่เขาจะจูบเธอ ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ยื่นมือออกมากั้นระหว่างคนทั้งสองไว้ ฉินเย่ชะงักไป อาจเป็นเพราะเข
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตอบกลับมาคือคร่ำครวญจากความเจ็บปวด คุณหมอขมวดคิ้วและทำแผลให้เขา "ประธานฉิน หลังจากทำแผลเสร็จแล้ว อย่าเพิ่งโดนน้ำในอีกหลายๆวันต่อจากนี้นะครับ ไม่งั้นถ้าแผลติดเชื้อจะมีแต่แย่ลง" ฉินเย่นั่งอยู่ที่นั่นโดยไม่มีปฏิกิริยาใดๆ นอกจากความเจ็บปวดที่ไม่คาดคิดในตอนแรกที่ทำให้เขาครวญครางออกมา หลังจากนั้นเขาก็อดทนมาโดยตลอด หลี่มู่ถิงยืนอยู่ข้างๆ หากเขาไม่เห็นเหงื่อเย็นๆบนหน้าผากของฉินเย่ไหลลงไปตามเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมา เขาอาจคิดว่าบาดแผลนั้นไม่เจ็บเลยสักนิด แต่มันเป็นไปได้ยังไงล่ะ? บาดแผลลึกมากขนาดนั้น เพียงแค่มองก็รู้สึกน่าสยดสยอง “ประธานฉิน คุณหนูเสิ่นรู้ไหมว่าแผลของคุณหนักขนาดนี้? ผมได้ยินมาว่าเมื่อกี้นี้คุณไปหาคุณหนูเสิ่นหลังจากที่กลับมาโดยที่ยังไม่ได้ทำแผลเลย” ฉินเย่ชะงักไป จากนั้นเม้มริมฝีปากบางของเขาแล้วพูดว่า "เธอรู้ว่าผมได้รับบาดเจ็บ แต่เธอยังไม่เห็นแผลของผม" เมื่อได้ยิน หลี่มู่ถิงก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก: "ดีแล้ว แผลของคุณดูน่ากลัวมากจริงๆ ทางที่ดีก็อย่าให้คุณหนูเสิ่นเห็นจะดีกว่านะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เสียงคำถามก็ดังมาจากประตู “งั้นเหรอ? แผลแบบไหนกันล
เมื่อได้ยิน สีหน้าของหลี่มู่ถิงก็เปลี่ยนไป เขาหันกลับไปมองที่ฉินเย่ และเห็นฉินเย่พยักหน้าให้เขา ดังนั้นหลี่มู่ถิงจึงก้าวออกไป ในที่สุดสายตาของเสิ่นหยินอู้ก็สบเข้ากับฉินเย่ ทั้งสองสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นฉินเย่ก็พูดว่า: "พวกคุณออกไปก่อน" หลังจากได้ยิน คุณหมอก็ยกมือขึ้นและชี้ไปที่ตัวเองโดยไม่รู้ตัว: "ประธานฉิน คุณจะให้เราออกไปหรอครับ?" ฉินเย่พยักหน้า “แต่แผลของคุณ...” “แผลของผมไม่ได้ร้ายแรง ค่อยมาทำแผลทีหลัง” “ถ้าอย่างนั้นก็โอ...” ขณะที่หมอกำลังจะบอกว่าโอเค ใครจะรู้ว่าเสิ่นหยินอู้ที่ยืนอยู่ตรงนั้นจะขัดจังหวะเขาขึ้นมา “ทำแผลตอนนี้เลยเถอะค่ะ” พวกเขาทั้งสามมองไปที่เสิ่นหยินอู้พร้อมๆกัน เธอเดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่จริงจังและมองฉินเย่ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจ “คุณมีแผลบนร่างกาย ถ้าไม่ทำแผลตอนนี้ แล้วคุณจะทำอะไร? เป็นเพราะแผลเจ็บไม่มากพอหรือคุณคิดว่าตัวเองมีเลือดเยอะ ก็เลยจะปล่อยให้มันไหลออกมาเพิ่มอีกเรื่อยๆได้งั้นเหรอ?” ฉินเย่: "ผม..." “คุณหมอ เขาบาดเจ็บตรงไหนบ้าง คุณช่วยทำแผลตอนนี้เลย ฉันจะเฝ้าอยู่ตรงนี้”เสิ่นหยินอู้ไม่ได้สนใจเขาเลย เธอหันไปสั่งคุณหมอ ภายใต
เสิ่นหยินอู้คิดว่าเขาอาจได้รับบาดเจ็บหนัก ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของเขาที่มักจะชอบทำตัวให้น่าสงสารนั้น เขาคงจะทำมันไปแล้ว แต่เธอคิดไม่ถึงว่าเขาได้รับบาดเจ็บรุนแรงขนาดนี้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็กัดริมฝีปากล่างแล้วดันมือของฉินเย่ออกไป จากนั้นก็มองไปที่คุณหมอแล้วถามว่า "หมอคะ บาดแผลของเขาไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิตใช่ไหม?" “ไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิตครับ” “แต่บาดแผลดูน่ากลัวมากเลยนะ” “ใช่ครับ มันดูน่ากลัวมาก และถ้าแผลนี้ลึกลงไปอีกสักนิดมันก็อาจถึงชีวิตได้ แต่โชคดีที่แผลยังไม่ร้ายแรงถึงชีวิต เพราะฉะนั้นหลังจากทำแผลเสร็จแล้ว ต่อจากนี้ก็อย่าโดนน้ำก็พอครับ” แม้ว่าคำพูดของคุณหมอจะฟังดูสบายๆ แต่เสิ่นหยินอู้ก็ทำได้เพียงรู้สึกขอบคุณที่อาการบาดเจ็บของฉินเย่ไม่ร้ายแรงถึงชีวิต และในขณะเดียวกันเธอก็จ้องเขาอย่างดุดัน ฉินเย่: "..." หลังจากคิดไปคิดมา ในที่สุดฉินเย่ก็มองไปยังหลี่มู่ถิงที่ยืนอยู่ข้างๆเพื่อระบายใส่เขาทางสายตา หลี่มู่ถิง: "?" เขาเป็นอะไรไปหรอ? หากเขาสามารถได้เสียงในหัวของฉินเย่ เขาคงจะได้ยินฉินเย่พูดว่า: มันเป็นความผิดของคุณ ใครใช้ให้คุณเปิดประตูทิ้งไว้ตอนที่พาคุณหมอเข้ามา? เธ
นี่ก็เป็นเวลาดึกแล้ว ภายในห้องยังคงเปิดไฟดวงใหญ่อยู่ ทำให้มันสว่างราวกับเวลากลางวัน ฉินเย่ที่แต่งตัวแบบมีเสื้อผ้าไม่ครบชิ้นนั่งมองผู้หญิงที่เขารักถือถือฉลากยาขึ้นมาอ่านอยู่บนโซฟา เธออ่านมันอย่างละเอียด จากนั้นจัดยาที่เขาต้องทานเอาไว้เป็นหมวดหมู่ เธอเงยหน้าขึ้นลงเป็นระยะๆ แม้ว่าบาดแผลที่ท้องของเขาจะเจ็บปวดมาก แต่การได้เห็นเธอเป็นห่วงเขาและเห็นท่าทางของเธอที่กำลังอ่านฉลากยาอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อเขา ความรู้สึกพึงพอใจก็เพิ่มขึ้นอยู่ภายในใจเป็นอย่างมาก ความพึงพอใจแบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกผิวเผินเหมือนในอดีต แต่มันฝังลึกอยู่ในหัวใจ ในขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ ทันใดนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นและจ้องเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว ฉินเย่ถูกท่าทางของเธอดึงสติให้กลับคืนมา จากนั้นจึงถามว่า "มีอะไรผิดหรอ?" จู่ๆ เสิ่นหยินอู้ก็ถามว่า: "เย็นนี้คุณกินข้าวหรือยัง?" ฉินเย่: "..." "สรุปยังไง?" “ดูเหมือนจะยังไม่ได้กิน ยาพวกนี้กินหลังอาหารด้วยนะ คุณ...” "งั้นเหรอ?" ท่าทางของฉินเย่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจมากนัก "ถ้าเป็นยาที่ต้องกินหลังอาหาร งั้นพรุ่งนี้ค่อยกินแล้วกัน" "ไม่ไ
“แต่คุณหมอก็บอกไม่ใช่หรอว่าไม่ได้บาดเจ็บถึงตาย แผลฉีกก็ฉีกสิ มันก็เจ็บแค่แป๊ปเดียวเอง คุณเตรียมของกินเสร็จแล้วเราค่อยกลับมา” ก่อนที่เสิ่นหยินอู้จะได้พูดเพื่อหยุดเขา ฉินเย่ก็ลุกขึ้นมาแล้ว "ไปกันเถอะ" “คุณอยากไปกับฉันจริงๆเหรอ? แผลของคุณ…” "ไปกันเถอะ" เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม ฉินเย่จึงพูดออกมา: "รีบไปรีบกลับเถอะ ถ้าคุณยังลีลาอยู่ เย็นนี้ผมจะได้กินยาเมื่อไรล่ะ?" ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ใจอ่อน เธอพาเขาไปที่ห้องครัวด้วยกัน ระหว่างนั้น หลี่มู่ถิงได้ยินเสียงดังจึงวิ่งไปดู เขาพบว่าทั้งสองคนกำลังเดินไปที่ห้องครัว จึงเสนอให้เรียกพ่อครัวมา แต่เนื่องจากมันดึกมากแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงปฏิเสธ และหลี่มู่ถิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ในครัว เสิ่นหยินอู้เปิดตู้เย็นซึ่งเต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมาย เสิ่นหยินอู้มองดู ในที่สุดก็เลือกวัตถุดิบง่ายๆมาสองสามอย่าง และเริ่มต้มน้ำ มันดึกมากแล้ว เสิ่นหยินอู้เพียงแค่ใส่เส้นบะหมี่และวัตถุดิบลงไปต้มในหม้อ กระบวนการทั้งหมดนี้ดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ฉินเย่ดูอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ “มันดึกมากแล้ว กินเยอะเกินไปเดี๋ยวจะไม่ย่อย กินอะไรง่ายๆรองท้องไปก่อนแล้
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี