นี่ก็เป็นเวลาดึกแล้ว ภายในห้องยังคงเปิดไฟดวงใหญ่อยู่ ทำให้มันสว่างราวกับเวลากลางวัน ฉินเย่ที่แต่งตัวแบบมีเสื้อผ้าไม่ครบชิ้นนั่งมองผู้หญิงที่เขารักถือถือฉลากยาขึ้นมาอ่านอยู่บนโซฟา เธออ่านมันอย่างละเอียด จากนั้นจัดยาที่เขาต้องทานเอาไว้เป็นหมวดหมู่ เธอเงยหน้าขึ้นลงเป็นระยะๆ แม้ว่าบาดแผลที่ท้องของเขาจะเจ็บปวดมาก แต่การได้เห็นเธอเป็นห่วงเขาและเห็นท่าทางของเธอที่กำลังอ่านฉลากยาอย่างตั้งอกตั้งใจเพื่อเขา ความรู้สึกพึงพอใจก็เพิ่มขึ้นอยู่ภายในใจเป็นอย่างมาก ความพึงพอใจแบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงความรู้สึกผิวเผินเหมือนในอดีต แต่มันฝังลึกอยู่ในหัวใจ ในขณะที่สายตาของเขาจับจ้องไปที่ใบหน้าของเธอ ทันใดนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นและจ้องเขาพร้อมกับขมวดคิ้ว ฉินเย่ถูกท่าทางของเธอดึงสติให้กลับคืนมา จากนั้นจึงถามว่า "มีอะไรผิดหรอ?" จู่ๆ เสิ่นหยินอู้ก็ถามว่า: "เย็นนี้คุณกินข้าวหรือยัง?" ฉินเย่: "..." "สรุปยังไง?" “ดูเหมือนจะยังไม่ได้กิน ยาพวกนี้กินหลังอาหารด้วยนะ คุณ...” "งั้นเหรอ?" ท่าทางของฉินเย่ดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจมากนัก "ถ้าเป็นยาที่ต้องกินหลังอาหาร งั้นพรุ่งนี้ค่อยกินแล้วกัน" "ไม่ไ
“แต่คุณหมอก็บอกไม่ใช่หรอว่าไม่ได้บาดเจ็บถึงตาย แผลฉีกก็ฉีกสิ มันก็เจ็บแค่แป๊ปเดียวเอง คุณเตรียมของกินเสร็จแล้วเราค่อยกลับมา” ก่อนที่เสิ่นหยินอู้จะได้พูดเพื่อหยุดเขา ฉินเย่ก็ลุกขึ้นมาแล้ว "ไปกันเถอะ" “คุณอยากไปกับฉันจริงๆเหรอ? แผลของคุณ…” "ไปกันเถอะ" เมื่อเห็นว่าเธอยังคงยืนอยู่ที่เดิม ฉินเย่จึงพูดออกมา: "รีบไปรีบกลับเถอะ ถ้าคุณยังลีลาอยู่ เย็นนี้ผมจะได้กินยาเมื่อไรล่ะ?" ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ใจอ่อน เธอพาเขาไปที่ห้องครัวด้วยกัน ระหว่างนั้น หลี่มู่ถิงได้ยินเสียงดังจึงวิ่งไปดู เขาพบว่าทั้งสองคนกำลังเดินไปที่ห้องครัว จึงเสนอให้เรียกพ่อครัวมา แต่เนื่องจากมันดึกมากแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงปฏิเสธ และหลี่มู่ถิงก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ในครัว เสิ่นหยินอู้เปิดตู้เย็นซึ่งเต็มไปด้วยวัตถุดิบมากมาย เสิ่นหยินอู้มองดู ในที่สุดก็เลือกวัตถุดิบง่ายๆมาสองสามอย่าง และเริ่มต้มน้ำ มันดึกมากแล้ว เสิ่นหยินอู้เพียงแค่ใส่เส้นบะหมี่และวัตถุดิบลงไปต้มในหม้อ กระบวนการทั้งหมดนี้ดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก ฉินเย่ดูอยู่ข้างๆอย่างเงียบๆ “มันดึกมากแล้ว กินเยอะเกินไปเดี๋ยวจะไม่ย่อย กินอะไรง่ายๆรองท้องไปก่อนแล้
หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่ใช่ว่าพวกเขาทั้งสองไม่เคยอยู่ห้องเดียวกันมาก่อน แต่ทั้งหมดนั่นล้วนเป็นเรื่องในอดีต หลังจากนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน ทั้งสองก็ไม่ได้เจอกัน และไม่ได้อยู่ร่วมห้องกันอีก ตอนนี้พวกเขาทั้งสองจะต้องอยู่ด้วยกันอย่างกะทันหัน เมื่อเห็นความลังเลของเธอ ฉินเย่ก็ลดสายตาลงแล้วจับข้อมือของเธอ “ผมเป็นแผลหนักขนาดนี้ คุณทิ้งผมไว้คนเดียวแล้วจะวางใจได้หรอ? ถ้าผมรู้สึกไม่สบายตรงไหนในกลางดึกโดยที่ไม่รู้ตัวจะทำยังไง?” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็มองเขา แม้ว่าการแสดงออกและคำพูดของเขาจะดูเหมือนเป็นการทำตัวให้ดูน่าสงสาร แต่เธอก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นมีเหตุผล เพราะเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ เธอเห็นมันด้วยตาของตัวเองว่าอาการบาดเจ็บนั้นร้ายแรงเพียงใด เธอยังถามคุณหมอในขณะที่เขากำลังจะไป ถ้าเป็นกรณีปกติก็คงจะไม่มีอะไร แต่ถ้ามีเกิดอะไรขึ้นล่ะ? ช่างมันเถอะ นั่นมันก็เป็นห้องเขาอยู่แล้ว ถ้าเขาอยากไปก็ให้เขาไปเถอะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ เขาคงทำอะไรไม่ได้มาก หลังจากคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกโล่งใจ "ไปกันเถอะ" เมื่อเห็นเธอตามใจ
“โอเค จะไปเปลี่ยนเดี๋ยวนี้แหละ” ไม่สามารถกระตุ้นเธอได้อีก หากยังกระตุ้นเธอต่อไป เธอคงจะระเบิดอารมณ์ออกมาอย่างแน่นอน ฉินเย่หยิบเสื้อผ้าแล้วเดินไปที่ห้องน้ำ เดิมทีเสิ่นหยินอู้คิดที่จะรอเขาอยู่ข้างนอก แต่ทันใดนั้นเธอก็นึกอะไรขึ้นได้จึงเดินตามเขาไป ก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องน้ำ เธอก็กำชับเขาว่า: "คุณยังไม่ลืมสิ่งที่หมอพูดใช่ไหม? อย่าให้แผลแผลโดนน้ำนะ" ฉินเย่กำลังจะปิดประตูห้องน้ำ เมื่อเขาได้ยินเธอพูดแบบนี้ เขาก็หยุดอยู่ที่เดิม มองเธอแล้วพูดว่า "เขาเป็นคนบอกผม ผมจำได้อยู่แล้ว แต่ถ้าคุณเป็นห่วง ทำไมไม่ตามเข้ามาเฝ้าด้วยตัวเองล่ะ?" หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ตอบกลับโดยไม่รู้ตัว: "ฝันไปเถอะ" จากนั้นเธอก็หันหลังและเดินออกไป ฉินเย่มองดูแผ่นหลังของเธอแล้วค่อยๆปิดประตูห้องน้ำ ทันทีที่ประตูปิดลง สีหน้าของฉินเย่ก็แย่ลงในทันที รอยยิ้มที่เดิมทีปรากฎอยู่บนริมฝีปากของเขาหายไป เหลือเพียงเส้นเลือดดำที่ปูดขึ้นอย่างกะทันหันและเหงื่อเย็นๆ บาดแผลลึกมากจนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแม้ไม่ได้ขยับ ไม่ต้องพูดถึงการยกมือขึ้นเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ในตอนที่เขาอยู่กับเธอก่อนหน้านี้ เพราะเขากลัวว่าเธอจะเป็นห่
โซฟามีขนาดใหญ่มาก แม้เสิ่นหยินอู้จะนอนลงบนนั้น แต่ก็ยังมีที่ว่างเหลืออยู่ แต่มันก็ดูค่อนข้างน้อย ฉินเย่ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม มองดูเธอนอนลงที่ด้านหลังเขาและกินพื้นที่กว่าครึ่งไปอย่างรวดเร็ว เขาเม้มริมฝีปากบาง แต่ในที่สุดก็ควบคุมตัวเองไม่ได้และถามว่า "คุณไม่ได้เอามาให้ผมเหรอ?" เสิ่นหยินอู้นอนอยู่ตรงนั้นและสบตากับเขา "ใช่" "งั้น?" ถ้าเอามาให้เขา เธอจะมานอนอยู่ตรงนี้ด้วยทำไม? ถ้าไม่ได้เอามาให้เขา แล้วทำไมเธอถึงตอบว่าใช่? ฉินเย่ไม่เข้าใจเธอเลย เมื่อเขารู้สึกสับสน ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า: "ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ" ฉินเย่ชะงักไป หลังจากนั้นครู่หนึ่งสายตาของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หากก่อนหน้านี้สายตาของเขากระจ่างสดใส ตอนนี้ดวงตาของเขาก็มืดลง สายตาของเขาก็จับจ้องไปที่เธอโดยไม่ละไปไหนราวกับนักล่ากำลังล็อคเป้าหมาย แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหากบาดแผลของเขาฉีกขึ้นมามันจะเจ็บ แต่ในตอนนี้ฉินเย่กลับโน้มตัวไปใกล้ๆเธอและพูดเบาๆว่า: "อยู่เป็นเพื่อนผม? คุณแน่ใจเหรอ?" ลมหายใจอุ่นๆที่เข้ามาใกล้อย่างกะทันหันทำให้เสิ่นหยินอู้หดตัวลงโดยไม่รู้ตัว หัวใจของเธอก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย เมื่อตระหนักไ
สัมผัสที่นุ่มนวลจากฝ่ามือทำให้เสิ่นหยินอู้คิดที่จะดึงมือของเธอกลับไปโดยไม่รู้ตัว แต่ในวินาทีต่อมา ฉินเย่กลับจับมันไว้ ทันทีที่ผิวหนังของพวกเขาสัมผัสกัน เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิบนฝ่ามือที่ร้อนรุ่มราวกับไฟ เขาก้มศีรษะลงไปจูบที่ฝ่ามือของเธอด้วยความจริงใจ เสิ่นหยินอู้รู้สึกจั๊กจี้และต้องการจะชักมือของเธอกลับไป แต่แรงของฉินเย่นั้นแข็งแกร่งมากจนเธอไม่มีทางที่จะสลัดมือของเธอออกมาได้ เธอทำได้เพียงมองดูริมฝีปากบางๆของเขาค่อยๆขยับขึ้นมาจากฝ่ามือของเธอ จากนั้นเขาก็บรรจงจูบลงไปที่นิ้วแทบทุกนิ้วของเธอ ในช่วงเวลานี้ เสิ่นหยินอู้ดิ้นรนอย่างไรไปก็ไร้ประโยชน์ ในเวลานี้ แม้ว่าฉินเย่จะได้รับบาดเจ็บอยู่ แต่ความพละกำลังของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่เสิ่นหยินอู้จะเทียบด้วยได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เสิ่นหยินอู้กลัวว่าถ้าเธอดิ้นแรงเกินไปมันจะทำให้แผลของเขาฉีกก เธอจึงใช้แรงเพียงครึ่งเดียว... จนกระทั่งเมื่อเขาจูบครบทุกนิ้วของเธอ เขาก็จูบไปที่ซอกคอของเธอ แล้วยังเคลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆ ทันใดนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ได้สติขึ้นมา "ไม่……" “ไม่ได้นะ!” จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็กดมือที่อยู่ไม่เป็นสุขของเขาไว้ “ค
เมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็คิดได้ เสิ่นหยินอู้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอลุกขึ้นไปเทน้ำแก้วหนึ่งและดื่ม เมื่อเธอหันกลับมา เธอก็สังเกตเห็นว่ามีเหงื่อเย็นๆออกมาบนหน้าผากของฉินเย่มากมาย “คุณเหงื่อออกขนาดนี้ แผลของคุณโอเคไหมเนี่ย?” ในขณะที่ถาม เสิ่นหยินอู้ก็เอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเขา "เป็นไข้หรอ?" อุณหภูมิที่ผ่านมือเธอมาดูเหมือนจะสูงเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีไข้ "ไม่มีไข้หรอก" ฉินเย่มองเธออย่างใจเย็น "ที่ว่าทำไมอุณหภูมิภุงสูง ก็ลองคิดถึงสิ่งที่เราเพิ่งทำไปเมื่อกี้นี้สิ"เสิ่นหยินอู้: "..." หลังจากพูดประโยคหลังออกมาแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจความหมายของเขาในทันที และเธอก็ชักมือของเธอกลับ โอเค ในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงตัวร้อน แต่ก็ไม่เหมือนว่าจะมีไข้ แต่เขาก็หน้าหนามากกว่าที่คิดไว้ที่สามารถพูดมันออกมาได้อย่างเปิดเผยแบบนี้ "ไปนอนเถอะ" ฉินเย่ชี้ไปที่ที่เธอนอนอยู่ก่อนหน้านี้เป็นการบอกเป็นนัยให้เธอไปนอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ลังเลเล็กน้อย ถ้าเธอนอนลงไปอีกครั้ง ถ้าหากฉินเย่ทำอะไรเธอ... “ครั้งนี้ผมจะไม่ทำอะไรคุณแล้ว ผมสัญญา” เสิ่นหยินอู้: "ค
เธอโต้กลับอย่างไม่พอใจ: "ไม่ ถ้าคุณพิการขึ้นมา งั้นฉันก็ไม่ต้องการคุณแล้ว" "จริงเหรอ?" "จริง" “โอเค ถ้าเป็นงั้น ผมจะพยายามไม่ให้พิการ…” “คุณรู้ตัวก็ดี...” ห้าปีกว่าแล้วที่ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันแบบนี้ พวกเขาเพียงนอนด้วยกันเงียบๆแบบนี้ แล้วพูดเกี่ยวกับ'เรื่องไร้สาระ' ต่างๆที่ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร แม้ว่าบทสนทนาพวกนี้จะไม่ได้มีสาระอะไร แต่ภายในใจของเสิ่นหยินอู้กลับรู้สึกสงบมาก ความสงบเช่นนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนในอดีต ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นสันกรามที่สมบูรณ์แบบของเขา ขณะหายใจเข้าไป รอบๆเธอก็เต็มไปด้วยกลิ่นของเขา หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาไม่มีกลิ่นเลือดสดๆที่เหม็นคาวอีกต่อไป ทั้งหมดล้วนเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยจากร่างกายของเขาซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกสบายใจ เมื่อคิดเช่นนั้น มือของเสิ่นหยินอู้ซึ่งเดิมทีไม่รู้จะวางตรงไหนก็ค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าและโอบกอดเขาไว้ เธอหลับตาลงพิงไปกับหน้าอกของเขา “ฉันง่วงแล้ว” เธอพูดเบาๆ "ถ้างั้นก็นอนเถอะ" “อืม ถ้ารู้สึกไม่สบายก็เรียกฉันนะ” "โอเค" ฉินเย่ได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังมาจากในอ้อมแขนของเขาค่อยๆสม่ำเสมอและยาวขึ้น
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี