เมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็คิดได้ เสิ่นหยินอู้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอลุกขึ้นไปเทน้ำแก้วหนึ่งและดื่ม เมื่อเธอหันกลับมา เธอก็สังเกตเห็นว่ามีเหงื่อเย็นๆออกมาบนหน้าผากของฉินเย่มากมาย “คุณเหงื่อออกขนาดนี้ แผลของคุณโอเคไหมเนี่ย?” ในขณะที่ถาม เสิ่นหยินอู้ก็เอื้อมมือไปแตะหน้าผากของเขา "เป็นไข้หรอ?" อุณหภูมิที่ผ่านมือเธอมาดูเหมือนจะสูงเล็กน้อย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีไข้ "ไม่มีไข้หรอก" ฉินเย่มองเธออย่างใจเย็น "ที่ว่าทำไมอุณหภูมิภุงสูง ก็ลองคิดถึงสิ่งที่เราเพิ่งทำไปเมื่อกี้นี้สิ"เสิ่นหยินอู้: "..." หลังจากพูดประโยคหลังออกมาแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจความหมายของเขาในทันที และเธอก็ชักมือของเธอกลับ โอเค ในที่สุดก็รู้แล้วว่าทำไมเขาถึงตัวร้อน แต่ก็ไม่เหมือนว่าจะมีไข้ แต่เขาก็หน้าหนามากกว่าที่คิดไว้ที่สามารถพูดมันออกมาได้อย่างเปิดเผยแบบนี้ "ไปนอนเถอะ" ฉินเย่ชี้ไปที่ที่เธอนอนอยู่ก่อนหน้านี้เป็นการบอกเป็นนัยให้เธอไปนอน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ลังเลเล็กน้อย ถ้าเธอนอนลงไปอีกครั้ง ถ้าหากฉินเย่ทำอะไรเธอ... “ครั้งนี้ผมจะไม่ทำอะไรคุณแล้ว ผมสัญญา” เสิ่นหยินอู้: "ค
เธอโต้กลับอย่างไม่พอใจ: "ไม่ ถ้าคุณพิการขึ้นมา งั้นฉันก็ไม่ต้องการคุณแล้ว" "จริงเหรอ?" "จริง" “โอเค ถ้าเป็นงั้น ผมจะพยายามไม่ให้พิการ…” “คุณรู้ตัวก็ดี...” ห้าปีกว่าแล้วที่ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันแบบนี้ พวกเขาเพียงนอนด้วยกันเงียบๆแบบนี้ แล้วพูดเกี่ยวกับ'เรื่องไร้สาระ' ต่างๆที่ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร แม้ว่าบทสนทนาพวกนี้จะไม่ได้มีสาระอะไร แต่ภายในใจของเสิ่นหยินอู้กลับรู้สึกสงบมาก ความสงบเช่นนี้เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อนในอดีต ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้น เธอก็เห็นสันกรามที่สมบูรณ์แบบของเขา ขณะหายใจเข้าไป รอบๆเธอก็เต็มไปด้วยกลิ่นของเขา หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาไม่มีกลิ่นเลือดสดๆที่เหม็นคาวอีกต่อไป ทั้งหมดล้วนเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยจากร่างกายของเขาซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกสบายใจ เมื่อคิดเช่นนั้น มือของเสิ่นหยินอู้ซึ่งเดิมทีไม่รู้จะวางตรงไหนก็ค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าและโอบกอดเขาไว้ เธอหลับตาลงพิงไปกับหน้าอกของเขา “ฉันง่วงแล้ว” เธอพูดเบาๆ "ถ้างั้นก็นอนเถอะ" “อืม ถ้ารู้สึกไม่สบายก็เรียกฉันนะ” "โอเค" ฉินเย่ได้ยินเสียงลมหายใจที่ดังมาจากในอ้อมแขนของเขาค่อยๆสม่ำเสมอและยาวขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงอะไรเบาๆ ขนตาของเสิ่นหยินอู้ก็ขยับ แสงที่สาดส่องทิ่มแทงเข้ามาที่ดวงตาของเธอแทบจะทำให้เธอไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ ต้องใช้เวลาสักพักในการปรับสายตาให้เข้ากับแสงที่ส่องเข้ามา จากนั้นเธอก็ลืมตาขึ้นมา ทันทีที่เธอลืมตาขึ้น เธอก็เห็นเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นพวกเขา เสิ่นหยินอู้คิดว่าเธอดูผิด แต่เธอก็ยังสะดุ้งตกใจจนลุกขึ้นมานั่งทันที ทันทีที่เธอลุกขึ้นนั่ง เด็กน้อยทั้งสองจึงเห็นว่าเธอตื่นแล้วและเข้ามาทักทายเธอทันที "หม่ามี๊! ตื่นแล้วหรอคะ!" เสียงของเหมิงเหมิงดังมากจนทำให้ฉินเย่ที่ยังคงหลับอยู่ตื่นขึ้นมาด้วย เมื่อเห็นฉินเย่ลืมตาขึ้นมา เหมิงเหมิงก็เรียกเขาด้วยความปลื้มปิติ “ลุงเย่มู่!” เธอเดินเข้าไปข้างหน้าด้วยความดีใจและจับชายเสื้อของเขา: "ลุงเย่มู่ ลุงกับหม่ามี๊นอนด้วยกันแล้ว ต่อจากนี้จะมาเป็นพ่อของเหมิงเหมิงแล้วใช่ไหมคะ?" แม้ว่าสาวน้อยจะยังเด็ก แต่เธอก็แก่แดดในระดับหนึ่ง เธอไม่เคยเห็นหม่ามี๊กับโม่ไป๋นอนด้วยกันมาก่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงการนอนด้วยกันเลย มันไม่มีแม้แต่การกระทำที่ใกล้ชิดใดๆ แม้ว่าพวกเขาจะเด็กอยู่ แต่เรื่องบางเรื่อง แค่เห
เสิ่นหยินอู้เงียบไปสักพัก แล้วจึงพูดว่า: "ถ้างั้นฉันจะไปอาบน้ำก่อน แผลของคุณ ... " “ดีขึ้นมากแล้ว ผมกินยาไปแล้วเมื่อคืนนี้ คุณลืมหรอ?” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็มองเขา พบว่าสีหน้าของเขาดูดีขึ้นกว่าเมื่อคืนมาก ดูเหมือนว่ายาจะได้ผล เธอรู้สึกโล่งใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ ทันทีที่เธอจากไป เด็กน้อยทั้งสองก็เดินตามเธอไปอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาอยู่ในที่ๆไม่เห็นฉินเย่แล้ว เสิ่นเหมิงเหมิงก็ถามว่า "หม่ามี๊ ทำไมหม่ามี๊ถึงไม่ยอมล่ะคะ?" เมื่อรู้ว่าเธอจะตามมาและถามคำถามนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจเบาๆ "ยังไม่ถึงเวลาจ๊ะ" ยังไม่ถึงเวลางั้นเหรอ? "แล้วเมื่อไร..." “เหมิงเหมิง” เสิ่นซือเหนียนขัดจังหวะเธอและเตือนเบาๆว่า “ไม่ต้องถามแล้ว เดี๋ยวหม่ามี๊ยอมรับลุงเย่มู่เมื่อไรก็บอกเราเองแหละ” เมื่อเหมิงเหมิงได้ยินสิ่งที่พี่ชายของเธอพูด เธอก็ทำได้เพียงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง "งั้นก็ได้ค่ะ" พวกเขาทั้งสามเข้าห้องน้ำไปด้วยกัน หลังจากเข้าไปแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็พบว่าแม้แต่แปรงสีฟันสำหรับเด็กก็ถูกเตรียมไว้แล้ว มีสีน้ำเงินกับสีชมพูที่มาพร้อมกับแก้วสำหรับเด็ก เพียงมองแวบเดียว หัวใจของเสิ่นหยินอู้
“ผมให้คนเตรียมการไว้แล้ว” ฉินเย่กล่าว เขาให้คนเตรียมการไว้แต่ไม่ได้บอกให้เตรียมตัวใดๆ ดูเหมือนว่าจะพบกับอุปสรรคบางอย่าง แม้ว่าเขาจะสู้กับโม่ไป๋และพาตัวเองกลับมาได้ แต่หลักฐานยืนยันตัวตนของเธอยังคงอยู่กับโมไป๋ ถ้าเธอไม่มีเอกสารยืนยันตัวตน เธอคงจะต้องคิดหาทางหากต้องการกลับประเทศจีน ดูเหมือนว่าสองวันที่ผ่านมานี้เธอจะไม่ได้คิดถึงเรื่องที่จะกลับไปที่จีนเลย แต่การอยู่ในคฤหาสน์ทั้งวันนั้นก็น่าเบื่อมาก หลังจากที่ลงไปทานอาหารเช้าไม่นาน คุณหมอก็เข้ามาทำแผลให้ฉินเย่ บาดแผลของเขาสาหัส ดังนั้นคุณหมอจึงต้องจับตาดูแลเขาเป็นการส่วนตัวอย่างใกล้ชิด หลังจากทำแผลให้เขาเสร็จแล้ว เขาก็ยังกำชับถึงสิ่งที่ต้องระมัดระวังอีกด้วย จากนั้นก็ไปตรวจดูอาการบาดเจ็บที่เท้าของเหมิงเหมิง หลังจากเสร็จแล้ว หลี่มู่ถิงก็ไปส่งเขาออกไป แล้วก็ไปส่งเด็กทั้งสองกลับไปที่ห้อง เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่ที่เดิมและจ้องมองฉินเย่ที่กำลังกินยา ยาขมๆพวกนั้นเหมือนกับลูกอมหลากสี พวกมันเข้าไปในปากของฉินเย่ทีละเม็ด มันขมมากจนเขาขมวดคิ้ว แต่เขาทำได้เพียงฝืนกลืนมันลงไปเพราะเสิ่นหยินอู้กำลังเฝ้ามองเขาอยู่ ความรู้สึกนี้มันทั้งขมและหวา
แต่...เธอไม่คิดจริงๆว่าคนที่ทำร้ายเขาจะเป็นโม่ไป๋ จะบอกว่าเธอเป็นแม่พระก็ได้ สำหรับเสิ่นหยินอู้ ในช่วงเวลาที่สำคัญ โม่ไป๋ถือได้ว่าเป็นเพื่อนที่พิเศษคนหนึ่ง แม้ว่าเธอจะไม่ได้ถามอีก แต่หลี่มู่ถิงก็เป็นคนช่างสังเกตมาก เขาจะดูไม่ออกได้อย่างไรว่าเสิ่นหยินอู้ลังเลที่จะพูด ดังนั้นเขาจึงได้แต่ถอนหายใจและพูดว่า: "คุณหนูเสิ่น คุณคงไม่ได้เป็นห่วงโม่ไป๋หรอกใช่ไหมครับ?" “ผมอยากจะบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงเขาหรอกครับ ไม่ว่าที่ผ่านมาเขาจะดีกับคุณแค่ไหน แต่สิ่งที่เขาทำในช่วงนี้มันไม่ใช่สิ่งที่คนปกติจะทำได้เลยจริงๆ เขาพาคุณมาถึงที่ต่างประเทศโดยไม่ได้รับความยินยอมจากคุณ นี่มันคืออะไรล่ะครับ มันคือการลักพาตัว! ถ้าคุณโจวไม่ได้เอาแต่บอกเราว่าคุณไม่ให้แจ้งตำรวจ เขาที่ทำเรื่องพวกนี้ก็คงจะต้องเข้าไปนั่งอยู่ในคุกแล้วล่ะครับ" เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเขาพูดเช่นนี้ “ตอนนี้เขาแค่ยังคิดไม่ได้ ถ้าเขาคิดได้ เขาก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้” สำหรับเสิ่นหยินอู้ โม่ไป๋เคยช่วยเหลือเธอในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด และชีวิตของเขาเองก็มืดมน อาการทางจิตของเขาคงจะรุนแรงมากพอสมควร ช่วงเวลานี้คงเป็นช่วงเวลาที่ย
เขาได้รับบาดเจ็บ แต่เธอก็เป็นห่วงเขาเช่นกัน สิ่งนี้ทำให้ฉินเย่รู้สึกหวานชื่น เขารู้สึกว่าการที่เขาได้รับบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ก็ไม่ได้แย่อะไร มันคุ้มค่าเสียด้วยซ้ำ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็เป็นห่วงคนอื่นเหมือนกัน และคนๆนั้นก็คือคนที่พาเธอมาถึงที่ต่างประเทศ ถ้าไม่ใช่เพราะฉินเย่คิดถึงความสัมพันธ์ในอดีตของพวกเขา โม่ไป๋จะยังมีวันนี้ได้ที่ไหนกัน? “ประธานฉิน ถ้างั้น... เรามาทำให้มันจบๆไปเลยดีกว่าไหมครับ? ไม่อย่างนั้น หลังจากนี้คุณหนูเสิ่นคงจะคิดถึงแต่คนที่ชื่อโม่ไป๋อะไรนั่น” “ทำให้จบๆเหรอ? ทำอะไรให้จบๆ?” ฉินเย่หรี่ตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงค่อนข้างไม่สบายใจ: “ตอนนี้เขาได้รับบาดเจ็บ เธอก็เป็นห่วงเขาขนาดนั้นแล้ว ถ้าผมทำให้มันจบๆไป ต่อจากนี้ผมจะเป็นคนแบบไหนในใจเธอล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้น ผมมีครอบครัวแล้วก็ลูกแล้ว ผมต้องเคารพกฎหมาย” เมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด หลี่มู่ถิงก็รู้ว่าเขาเข้าใจผิดในสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ จึงพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า: "ประธานฉิน คุณเข้าใจผมผิดแล้วครับ อันที่จริง ที่ผมหมายถึงคือ จากนี้อย่าให้คุณหนูเสิ่นติดต่อกับโม่ไป๋นั่นอีก แล้วก็อย่าให้คุณหนูเสิ่นได้ยินเรื่องอะไรเกี่ยวกั
ต่อให้ในอดีต เขาจะได้รับประสบการณ์ที่น่าขมขื่นในวัยเด็ก แต่แล้วมันยังไงล่ะ? มันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ? ใครบ้างที่ไม่เคยได้รับประสบการณ์ที่น่าขมขื่นในวัยเด็ก? แต่เนื่องจากมันเป็นการตัดสินใจของประธานฉิน หลี่มู่ถิงจึงไม่สามารถพูดอะไรได้อีก "ผมเข้าใจแล้วครับประธานฉิน ไม่ต้องห่วง ถ้าคุณต้องการทราบเรื่องนี้ ผมจะไปตรวจสอบให้คุณ" ในไม่ช้า หลี่มู่ถิงก็จากไป เหลือเพียงฉินเย่ที่อยู่ที่เดิมตามลำพัง ริมฝีปากบางของเขาเม้มจนเกือบจะเป็นเส้นตรง สิ่งที่เข้ามาในหัวคือคำพูดที่หลี่มู่ถิงบอกเขา ดูเหมือนเธอจะเป็นห่วงโม่ไป๋มากเลยสินะ? ที่หน้าอกของเขามีความรู้สึกเจ็บจี๊ดแผ่ซ่านเข้ามา ฉินเย่จึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นและไปหาเธอ - หลังจากที่เสิ่นหยินอู้กลับมาจากที่ๆคุยกับหลี่มู่ถิง เธอก็นึกถึงโม่ไป๋มาตลอด เด็กน้อยทั้งสองคนกำลังดูการ์ตูนอยู่ในห้อง พวกเขาถือโทรศัพท์อยู่ในมือ เสิ่นหยินอู้ก็มีอีกเครื่องที่โม่ไป๋ให้คนเตรียมไว้ให้เธอ ในคืนที่เธอหนีไปคืนนั้น เป็นเพราะสถานการณ์ฉุกเฉินมาก เธอจึงลืมเอาโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย ในตอนนี้เธอสามารถใช้ได้เฉพาะโทรศัพท์ที่ฉินเย่เตรียมไว้ให้เธอเท่านั้น และซิมการ์ดก็เป
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี