ทั้งสองคุยกันไปเรื่อย จากนั้นเจ้าของโรงแรมก็บอกว่าเธอมีอย่างอื่นที่ยังต้องไปทำ ก่อนออกไป เจ้าของโรงแรมบอกให้เธอล็อคประตูให้ดีๆในตอนที่จะเข้านอน หากมีคนมาเคาะประตูก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ เสิ่นหยินอู้ตอบว่าโอเค เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ เธอก็เรียกเจ้าของโรงแรม “ขอโทษนะคะ ตอนที่ฉันมา…ฉันถูกขโมยไป โทรศัพท์ของฉันก็ไม่มี ฉันขอยืมโทรศัพท์ของคุณก่อนได้ไหมคะ?” เจ้าของโรงแรมอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า "แน่นอนค่ะ" “ที่ชั้นล่างมีโทรศัพท์สาธารณะ หลังทานข้าวเสร็จคุณลงไปใช้ก็ได้นะคะ” โทรศัพท์สาธารณะงั้นเหรอ?เสิ่นหยินอู้พยักหน้า: "ขอบคุณค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันลงไป" จากนั้นเธอก็ปิดประตูและนำอาหารแบ่งให้กับเด็กๆทั้งสองคน “ลูกรัก กินข้าวอะไรสักหน่อยก่อนนะ เดี๋ยวเรากลับไปแล้ว หม่ามี๊จะทำอาหารให้พวกหนูกินเยอะๆเลย” "ขอบคุณนะคะหม่ามี๊" เมื่อเห็นเด็กๆทั้งสองคนกินอาหาร เสิ่นหยินอู้ก็นึกถึงเรื่องโทรศัพท์ขึ้นมาได้ ดังนั้นเธอจึงออกไปเพื่อโทร การทิ้งเด็กๆทั้งสองไว้ที่นี่ มันดูจะไม่ค่อยปลอดภัย ถ้าหากว่ามีคนเข้ามาหลังจากที่เธอออกไปล่ะ? ถ้าหาก…… หลังจากคิดไปคิดมา ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ตัดสินใจรอจนกว่
ในขณะนี้โจวชวงชวงกำลังทานอาหารอยู่ จู่ๆโทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอไม่ได้คิดอะไรมาก ถึงขั้นกดรับสายโดยไม่ได้ดูเบอร์ที่โทรมาเลยด้วยซ้ำ "ฮัลโหล?" "ตู๊ดๆๆ——" เธอคาดไม่ถึงว่าทันทีที่เธอรับสาย เสียงวางสายจะดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ของเธอในทันทีแปลกจัง โจวชวงชวงเลิกคิ้วแล้วหยิบโทรศัพท์มาเปิดดู สิ่งที่เธอเห็นคือเบอร์โทรศัพท์ที่ไม่รู้จัก “โทรผิดงั้นเหรอ?” เธอพึมพำอะไรเล็กน้อย เผยจ้าวเหิงที่อยู่ตรงหน้าได้ยินเข้าพอดี จึงเงยหน้าขึ้นมองเธอ: "มีอะไรหรอ?" “มีเบอร์แปลกโทรมาหาฉัน ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอฉันรับสายปุ๊บ อีกฝ่ายก็วางสายไปเลย” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เผยจ้าวเหิงทำสายตาเคร่งขรึม “เบอร์แปลกหรอ?” เขารีบเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์ของโจวชวงชวงเพื่อมาตรวจดู “นี่เป็นเบอร์ท้องถิ่นของที่นี่” หลังจากที่โจวชวงชวงได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเธอก็สับสนมากยิ่งขึ้น “ทำไมเบอร์ท้องถิ่นของที่นี่ถึงโทรมาหาฉัน...” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ในที่สุดเธอก็ตระหนักได้ เธอเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเผยจ้าวเหิงในทันที สองวินาทีต่อมา เผยจ้าวเหิงก็กดโทรกลับไปที่เบอร์นั้น โจวชวงชวงเห็นเช่นนั้น เธอก็รออย่างใจจดใจจ่อโดยไม่ห
ใครจะรู้ว่าเมิ่อโทรศัพท์ดังขึ้นได้เพียงวินาทีเดียว ฉินเย่ก็รับสายทันที "ฮัลโหล" เมื่อเธอได้ยินเสียงผู้ชายที่เย็นยะเยือก โจวชวงชวงก็ทำอะไรไม่ถูก เธอนิ่งอยู่กับที่ “คุณโจว?” ความเงียบของเธอทำให้ชายที่รับสายต้องเรียกเธอด้วยความสงสัยอีกครั้ง จากนั้นโจวชวงชวงจึงตอบสนองได้ เธอบอกเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่นี้อีกครั้งและบอกที่อยู่ของโรงแรมให้เขาทราบ "ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นเธอ ถึงจะจะไม่ใช่ เราก็ปล่อยโอกาสนี้ไปไม่ได้ ถ้าเกิดเป็นเธอจริงๆล่ะ?" "ผมจะไปที่นั่นเดี๋ยวนี้" โจวชวงชวงได้ยินเขาบอกให้คนขับกลับรถและเปลี่ยนเส้นทาง หลังจากที่ออกคำสั่งกับคนขับแล้ว เขาก็พูดกับเธอว่า "ส่งเบอร์นั้นมาให้ผมที" "โอเค" หลังจากวางสายแล้ว โจวชวงชวงก็ส่งเบอร์ท้องถิ่นเมื่อครู่นี้ไปให้ฉินเย่ทางข้อความ ในเวลานี้ เผยจ้าวเหิงก็เข้ามา "เรียบร้อยแล้วเหรอ?" โจวชวงชวงกัดริมฝีปากล่างแล้วพยักหน้า เผยจ้าวเหิงมองเธอ แล้วจึงถามคนที่เฝ้าประตูว่า "มีรถที่สามารถขับรถออกไปได้ไหม?" ชายคนนั้นตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้า "มีครับ" "เราขอยืมใช้ได้ไหมครับ?" “แน่นอนครับ คุณเป็นแขกของประธานฉิน หาก
เมื่อเธอได้ยินเรื่องชื่อเล่น สีหน้าของโจวชวงชวงก็กระอักกระอ่วนขึ้นมาในทันที ในอดีต เธอจะมักจะแอบเรียกเขาเป็นการส่วนตัว แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ครั้งที่แล้วเธอกลับพลั้งปากออกไปต่อหน้าเขา และถึงกับเรียกเขาเช่นนั้นซึ่งๆหน้าด้วยซ้ำ แค่คิดถึงตอนนั้นมันก็ทำให้โจวชวงชวงรู้สึกขนลุกซู่ไปทั่วตัวของเธอ ในช่วงที่ผ่านมานี้ เผยจ้าวเหิงไม่ได้พูดอะไรกับเธอ อาจเป็นเพราะกำลังตกอยู่ในสถานการณ์พิเศษ ตอนนี้เขาพูดถึงมันขึ้นมา มันทำให้โจวชวงชวงประหม่าจนเท้าจิกกับพื้น เธอเกาหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า: "ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะไม่เรียกคุณว่าโจวเปาผีอีก" เผยจ้าวเหิงกล่าวต่อว่า: "ชื่อเล่นอื่นก็ไม่ได้" โจวชวงชวง: "...ฉันเข้าใจแล้ว ตอนนี้เราออกเดินทางกันได้แล้วใช่ไหม?" หลังจากพูดจบ เขาก็ขับรถออกไป โจวชวงชวงเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก - หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ออกจากโรงแรม เธอก็พาลูกๆสองคนมุ่งไปข้างหน้า เนื่องจากเธอกลัวว่าจะถูกไล่ตามทัน เธอจึงทำได้เพียงพยายามไปยังสถานที่ที่มีผู้คนอยู่จำนวนมากเท่านั้น โชคดีที่ตอนนี้ยังไม่มืดและยังมีผู้คนสันจรอยู่บนถนนจำนวนมาก เธอจูงลูกๆและเดินปะปนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
"รู้แล้วๆ" ในที่สุดเด็กผู้หญิงก็วางสายด้วยความเหลืออดอย่างถึงที่สุด ขณะที่เธอกำลังจะเดินผ่านหน้าหยินอู้ ทันใดนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ยื่นมือออกไปเพื่อรั้งเธอไว้ "สวัสดีจ๊ะ" เด็กสาวตัวเล็กตกใจเมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้ ด้วยความที่เป็นคนแปลกหน้า ความโกรธของเธอก็ลดลง นอกจากนี้เสิ่นหยินอู้ก็มีใบหน้าแบบคนเอเชีย ดังนั้นเธอจึงมองหยินอู้ด้วยความสงสัย: "มีอะไรหรอคะ?" เสิ่นหยินอู้ยิ้มเล็กน้อย “สวัสดีจ๊ะหนู ป้าขอยืมโทรศัพท์โทรหาใครสักคนได้ไหม?” เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กสาวตัวเล็กก็ย่นจมูก “ไม่ได้ค่ะ ผู้ใหญ่แบบคุณต่างก็มีโทรศัพท์เป็นของตัวเองกันหมดไม่ใช่หรอ? คุณกำลังคิดจะหลอกฉันสินะ?” แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะขอยืมโทรศัพท์ของใครสักคนเพื่อโทรออก เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่าง ขณะที่กำลังจะอธิบาย เหมิงเหมิงที่อยู่ด้านหลังก็ก้าวมาข้างหน้าแล้วจับมือของเด็กสาวคนนั้นเบาๆ “พี่สาวคะ โทรศัพท์ของหม่ามี๊หนูโดนขโมยไป ตอนนี้เราไม่มีเงินก็เลยอยากโทรหาพ่อ ให้เขามารับเราน่ะค่ะ” ขณะที่เหมิงเหมิงพูดกับเธอ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงเล็กๆ นอกจากนี้เธอยังมีหน้าตาที่ดูดี มีผิวขาวและดวงตาที่โตราวกับตุ๊กตาที่งดงาม
หลังจากวางสาย อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง หนึ่งชั่วโมง หลังจากนี้หนึ่งชั่วโมงเธอก็จะไม่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยไร้ที่พึ่งอีกต่อไป เมื่อถึงตอนนั้น ชวงชวงก็จะอยู่เคียงข้างเธอ แล้วก็ยังมีโจวเปาผีของชวงชวง เพียงแต่ว่า…… คนๆนั้นในใจเธอที่เธอรอคอยกลับยังไม่มีวี่แววอะไรเลย ชวงชวงติดต่อเขาไม่ได้ หรือหลังจากที่รู้เรื่องเขาคิดว่ามันลำบากเกินไปจึงไม่อยากมาตามหาเธอกันนะ? หลังจากคิดไปคิดมา เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจแต่เธอก็ได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว เธอส่งโทรศัพท์คืนให้เด็กสาวที่อยู่ข้างหน้าเธอ และกล่าวขอบคุณเธอ "ขอบคุณที่ให้ยืมโทรศัพท์นะ" ที่จริงแล้วในขณะที่เด็กสาวให้ยืมโทรศัพท์ไป เธอยังคงกังวลว่าเธอจะถูกหลอกหรือไม่ เธอคิดไม่ถึงว่าเธอจะได้โทรศัพท์กลับคืนมาจริงๆ เธอเม้มริมฝีปากแล้วรับโทรศัพท์กลับมา จากนั้นก็มองไปที่เหมิงเหมิงกับเสิ่นซือเหนียนที่อยู่ข้างๆแล้วถามเบาๆว่า: "งั้นพวกคุณอยากเล่นอยู่ที่นี่ไหม?" เมื่อเห็นว่าเธออยู่คนเดียว ในตอนแรกเสิ่นหยินอู้ต้องการจะพยักหน้า แต่เมื่อคิดว่าพวกเธอจะอยู่ที่นี่เป็นเวลานานไม่ได้ เธอจึงทำได้เพียงพูดว่า: "พ่อของเด
เมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้น เธอก็คุกเข่าลงไปทันที "เป็นอะไรหรือเปล่า?" เสิ่นเหมิงเหมิงส่ายหัว: "หม่ามี๊ เหมิงเหมิงไม่เป็นไรค่ะ" แต่เสิ่นหยินอู้สังเกตเห็นว่าอาการของเธอไม่ปกติ จึงถามอย่างจริงจังว่า "ลูกเท้าพลิกหรอ? ให้หม่ามี๊ดูหน่อยนะ" “หม่ามี๊ หนูไม่เป็นไรจริงๆ...” ในเวลานี้มีเสียงความโกลาหลดังมาจากที่ประตู เสิ่นหยินอู้บังเอิญนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นพอดี เมื่อได้ยินเสียบ เธอก็เงยหน้าขึ้นไปมอง เมื่อมองไปเธอก็เห็นคนหลายๆคนที่เห็นที่โรงแรมในตอนก่อนหน้านี้กำลังเดินมาที่ดินแดนแห่งเกม สีหน้าของพวกเขาดูดุร้ายป่าเถื่อนราวกับว่าพวกเขาเข้ามาเพื่อเปิดศึกทำสงครามกับใคร เด็กๆหลายคนต่างก็หวาดกลัวกับท่าทางของพวกเขา ทุกคนต่างกรีดร้องและวิ่งหนี เมื่อเห็นพวกเขา สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไป เวลาผ่านไปกว่าสี่สิบนาทีแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาจะมาที่นี่ เธอคงไม่สามารถรอโจวชวงชวงมารับเธอที่นี่ได้อย่างปลอดภัยได้อีกต่อไป เสิ่นหยินอู้มองไปรอบๆ และพบว่าที่นี่มีทางออกเพียงทางเดียว เธอกัดริมฝีปากล่าง เธอยืนขึ้นและอุ้มเหมิงเหมิงขึ้นมา จากนั้นก็ให้เหนียนเหนียนเดินตามเธอไปซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนที
ในขณะนี้ เสิ่นหยินอู้โทษตัวเองอย่างมากอยู่ภายในใจ เธอโทษตัวเองไม่เพียงแค่ที่เธอไม่ดูแลเหมิงเหมิงให้ดี แต่ที่สำคัญที่สุด เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหมิงเหมิงได้รับบาดเจ็บตั้งแต่เมื่อไรและได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร เมื่อเห็นว่ามีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาของเสิ่นหยินอู้ เสิ่นเหมิงเหมิงก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย "หม่ามี๊ อย่าร้องไห้เลยนะคะ เหมิงเหมิงไม่เจ็บ" ในฐานะพี่ชาย ในเวลานี้เสิ่นซือเหนียนก็เข้ามา เขาเขย่งเท้าขึ้นมาเพื่อเช็ดน้ำตาให้เสิ่นหยินอู้ เมื่อเห็นเด็กน้อยสองคนเป็นห่วงเป็นใยเธอมากเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้จึงทำได้เพียงหยุดร้องไห้แล้วพูดกับพวกเขาว่า "เดี๋ยวกลับไป หม่ามี๊จะชดใช้ให้พวกหนูนะ" “หม่ามี๊ ไม่เป็นไรครับ มันไม่ใช่ความผิดของหม่ามี๊” “เอาล่ะ ต่อจากนี้เราจะต้องหยุดคุยกันก่อน เท้าของเหมิงเหมิง... หม่ามี๊จะช่วยนวดให้” เสิ่นหยินอู้ถูบริเวณที่เจ็บให้เธอเบาๆ เหมิงเหมิงเจ็บปวดมากจนน้ำตารื้นขึ้นมาที่หางตาของเธอในทันที แต่เธอก็กลั้นมันกลับไปเพื่อไม่ให้หม่ามี๊กังวล เมื่อเห็นเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็ยื่นมือของเขาไปให้เหมิงเหมิงอย่างระมัดระวังเพื่อให้เธอจับไว้ พวกเขาทั้งสามอยู่ในห้องน้ำ เนื่อง
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี