เพราะต่อหน้าเขา เธอเป็นคนอ่อนโยนและใจกว้างมาโดยตลอด เธอไม่เคยดูเหมือนคนปากร้ายที่ชอบด่ากราดแบบในตอนนี้ เจียงฉูฉู่ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที เธอเอาผ้าห่มออกแล้วลุกจากเตียง “เย่ นายมาที่นี่ได้ยังไง?” เมื่อพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง น้ำตาของเจียงฉูฉู่ก็ไหลออกมา เธอร้องให้และเดินเข้าไปตรงหน้าฉินเย่ “ฉันคิดว่านายจะไม่สนใจฉันแล้ว” ฉินเย่ลดสายตาลงและมองไปที่ข้อมือของเธอ “ทำไมถึงโกรธขนาดนี้?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงฉูฉู่จึงรีบอธิบาย: "ฉัน ฉันคิดว่านายไม่สนใจฉันแล้ว ฉันก็เลยอารมณ์ไม่ดีมากๆ ฉันขอโทษ... ฉันไม่ได้ตั้งใจ เสี่ยวเหลียน เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?" เสี่ยวเหลียนส่ายหัว เธอต่อว่าฉูฉู่อยู่ภายในใจว่าเป็นพวกตีสองหน้าเก่ง จากนั้นก็ถอยหลังออกไป: "งั้นฉันออกไปก่อนนะคะ คุณหนูกับคุณฉินค่อยๆคุยกันนะคะ" เธอออกไปอย่างรวดเร็วและปิดประตูห้องผู้ป่วยให้เจียงฉูฉู่ เจียงฉูฉู่ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงแล้ว แต่ก็คงดึกมากแล้ว เธอไม่คิดเลยว่าฉินเย่จะมาหาเธอในเวลานี้ “เย่ นายยังโกรธฉันอยู่ใช่ไหม? ฉันอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ นายอย่าไปฟังข่าวลือพวกนั้นนะ ฉันไม่ได้มีอะไรกับผู้ชายที่ชื่อต้วนจื่อฝ
เมื่อเจียงฉูฉู่ถูกเขาถามเช่นนั้น เธอก็ยืนเหม่อลอยอยู่กับที่ มองเขาอย่างงุนงง หลังจากนั้นสักพัก เธอก็ได้สติ หรือว่าฉินเย่จะรู้แล้วว่าเธอแอบอ้างความดีความชอบนั้น? ไม่ เป็นไปไม่ได้ ตอนนั้นที่ช่วยเขาขึ้นมา เขาอยู่ในสภาพที่ไม่ได้สติ และเสิ่นหยินอู้ก็สูญเสียความทรงจำของเธอไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรู้เรื่องนี้ เว้นแต่ว่าเสิ่นหยินอู้จะได้ความทรงจำกลับคืนมา แต่นี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว หากเสิ่นหยินอู้จะได้ความทรงจำกลับคืนมา เธอก็คงจะนึกเรื่องนี้ได้ไปนานแล้ว เธอจะรอมาถึงตอนนี้ไปเพื่ออะไร? ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหยินอู้ได้ความทรงจำกลับมาจริงๆ แล้วทำไมจนถึงตอนนี้หยินอู้ถึงไม่มาหาเธอล่ะ? เธอกลัวว่าจะต้องป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรับรู้ว่าเธอคือคนที่ช่วยชีวิตฉินเย่งั้นสินะ? หลังจากคิดเช่นนั้นแล้ว เจียงฉูฉู่ก็รู้สึกว่าที่เธออ่อนไหวและหวาดระแวงมากขนาดนี้อาจเป็นเพราะความฝันนั้น การที่ฉินเย่ถามคำถามนี้ขึ้นมา มันก็เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเธอ ขอแค่เธอแต่งเรื่องให้ตัวเองดูน่าเวทนาสักหน่อย เขาคงจะเห็นใจเธออย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น เธอค่อยใช้โอกาสนั้นในการให้ฉินเย่ขอเธอแต่งงาน ถ้าไม่ได้ เธอก็จะใช้ชีวิตข
คำตอบนี้ทำให้เจียงฉูฉู่ตระหนกตกใจขึ้นมาจริงๆ เดิมทีเธอคิดว่าเขามาถามเรื่องนี้กับเธอเพราะเขาอยากได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า... เมื่อนึกถึงว่าเขาได้รู้ความจริง ชะตากรรมของเขาคงจะน่าอนาถาเป็นอย่างยิ่ง เจียงฉูฉู่ก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก คำพูดของเธอก็ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด “เย่ ตอนนั้นฉันเป็นคนช่วยชีวิตนายไว้จริงๆ อย่าไปฟังหยินอู้พูดอะไรไร้สาระ เธอแค่อยากหลอกนายเพื่อที่จะได้รับความสงสารจากนาย แล้วก็อยากให้นายทิ้งฉันไป” จากคำพูดของเธอ ในที่สุดฉินเย่ก็ได้รับข้อมูลสำคัญที่เขาต้องการ เขาหรี่ดวงตาที่เฉี่ยวคมนั้นอย่างไม่ไว้วางใจ น้ำเสียงเย็นชาจนหาที่เปรียบไม่ได้ “ผมบอกหรอว่าเป็นใคร?” เจียงฉูฉู่อึ้งไปโดยสมบูรณ์ “ตอนนั้นที่ริมฝั่งมีแค่ผมกับเธอไม่ใช่หรอ ทำไมเธอถึงคิดว่าเป็นหยินอู้ที่พูดอะไรกับผม? ถ้าเธอไม่อยู่ที่นั่น เธอจะพูดอะไรมันจะสำคัญด้วยหรอ?” เมื่อพุดถึงตรงนี้ จู่ๆน้ำเสียงของฉินเย่ก็เฉียบคมขึ้นมา “หรือจะบอกว่า ในตอนนั้น ที่นั่นไม่ได้มีแค่เราสองคน แต่ยังมีบุคคลที่สามอยู่ที่นั่นด้วย!” "ไม่! ไม่มี!" เจียงฉูฉู่ส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก เธอหลบสายตาของฉินเย่ "ฉั
เมื่อครู่นี้เจียงฉูฉู่รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ตอนนี้เธอได้สติกลับคืนมาแล้ว วันนี้ฉินเย่มาที่นี่เพื่อหลอกเธอ แต่ตราบใดที่เธอกัดแน่นไม่ปล่อย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรเธอไม่ได้เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็มองไปที่ฉินเย่และพูดว่า "นายมันคนเนรคุณ นายมาที่นี่เพื่อหลอกเอาหลักฐาน จะได้กลับไปอธิบายให้เสิ่นหยินอู้ฟังใช่ไหม? ฉินเย่ ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันนะไม่ดีเท่าคนในใจของนายหรอก แต่นายคือคนที่ฉันเสี่ยงชีวิตช่วยไว้ ตอนนั้นฉันเกือบจมน้ำตายในแม่น้ำเพื่อช่วยนาย สำหรับที่เกี่ยวกับเสิ่นหยินอู้มันไม่เกี่ยวกับฉัน แต่ความดีความชอบของฉัน ใครหน้าไหนก็มาแย่งไปไม่ได้ทั้งนั้น นายอยากเป็นคนเนรคุณก็เชิญเลย แต่อย่าคิดจะมาบังคับข่มขู่เพื่อเอาหลักฐานอะไรจากฉัน” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็หันหลังแล้วเดินไปนั่งลงที่ข้างๆเตียง เธอถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปบนเตียงผู้ป่วย “สิบกว่าปีมานี้ ฉันเป็นคนที่ช่วยนายมาโดยตลอด ตอนที่ทุกคนมา พวกเขาก็เห็นแค่ฉันกับนายเท่านั้น ไม่มีเสิ่นหยินอู้อะไรเลยด้วยซ้ำ เธอมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าเธอเป็นคนที่ช่วยชีวิตนาย ถ้านายไม่อยากยอมรับว่าฉันเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนายไว้ก็เชิญ แสดงหลักฐานมาสิว่
"เกิดอะไรขึ้นกันแน่?" เสี่ยวเหลียนเล่าสิ่งที่เธอรู้คร่าวๆ “อะไรนะ? ฉินเย่มาที่นี่งั้นหรอ?” ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาของคุณแม่เจียง เธอก้าวไปข้างหน้าและจับมือของเจียงฉูฉู่: “ฉูฉู่ ทำไมแกไม่บอกแม่สักคำว่าฉินเย่มาที่นี่? เขามาเยี่ยมแกใช่ไหม?” น่าเสียดายที่ภายในดวงตาของเจียงฉูฉู่เต็มไปด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ เธอดูเหมือนผู้แพ้ที่เพิ่งพ่ายแพ้มาจากสงคราม คุณแม่เจียงเรียกเธอหลายครั้งแต่เธอก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรกลับมา “ฉูฉู่? รีบพูดสิ!” คุณแม่เจียงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ จากนั้นเจียงฉูฉู่ก็เงยหน้าขึ้นและมองเธอด้วยน้ำตา “แม่ เขารู้แล้ว เขารู้แล้ว หลังจากนี้เขาไม่ปล่อยหนูไปแน่ ตระกูลเจียงก็ด้วย” คุณแม่เจียงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น “รู้อะไร? อธิบายให้แม่ฟังหน่อยสิ” “คือว่าหยินอู้ เสิ่นหยินอู้ เธอได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว เธอบอกความจริงกับฉินเย่ ตอนนี้ฉินเย่รู้แล้วว่าหนูไม่ใช่คนที่ช่วยเขาไว้ เขาจะจัดการหนู ต่อไปเขาจะมาจัดการกับเราแน่นอนเลย แม่ เราควรทำยังไงดี?” แม้ว่าคำพูดของเจียงฉูฉู่จะไม่ค่อยต่อเนื่องกัน บางคำถึงขั้นกัดฟันพูด ทำให้เธอได้ยินไม่ชัดด้วยซ้ำ แต่ค
หลังจากที่คุณแม่เจียงจากไป เจียงฉูฉู่ก็ล้มลงไปนอนบนเตียง สัมผัสแก้มที่ถูกจบจนรู้สึกเจ็บของเธอและร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น ไม่ต้องพูดถึงคุณแม่เจียงที่ต้องการจะตบเธอหรอก เธอถึงกับต้องการจะตบตัวเองด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้ เธอตระหนักได้แล้วจริงๆว่าเธอควรจะหยุดไปตั้งนานแล้ว... แต่ทุกอย่าง ดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว จะมีใครที่สามารถช่วยเธอได้บ้าง? บางที... คนที่สามารถช่วยเธอได้อาจจะเป็น เมื่อนึกถึงใครคนนั้น เจียงฉูฉู่ก็กระโดดลงจากเตียงนทันที "เสี่ยวเหลียน รีบพาฉันไปขึ้นแท็กซี่" คืนนี้เป็นคืนที่ยุ่งมากจริงๆ บนระเบียงที่เงียบสงบ ผู้ช่วยเฉินรินชาร้อนๆแก้วหนึ่งให้โม่ไป๋ น้ำชาเดือดปุดๆท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น เจียงฉูฉู่ยืนอยู่ตรงข้ามเขาโดยมีเสี่ยวเหลียนประคองอยู่ข้างๆ เธอยืนอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน โม่ไป๋ก็ไม่ได้เชิญให้เธอนั่งลง แม้แต่ผู้ช่วยเฉินที่อยู่ข้างๆเขาก็เพียงแค่เทชาร้อนเท่านั้น ในขณะที่ออกมา เธอรีบร้อนมาก เธอยังคงสวมชุดผู้ป่วยอยู่ ที่ข้อมือของเธอก็มียังมีแผลที่เกิดจากการกรีดเพื่อจัดฉากฆ่าตัวตาย เสื้อคลุมกันหนาวเพียงตัวเดียวบนร่างกายของเธอก็เป็นเสื้อที่เธอเอามาจากเสี่ยวเหลียน
ถ้าเป็นตามปกติ เธอคงจะหันหลังกลับและเดินจากไป น่าเสียดายที่ในตอนนี้เจียงฉูฉู่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เธอก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว กัดริมฝีปากล่างแล้วพูดว่า "หมายความว่ายังไงที่บอกว่าฉันเอาความรู้สึกของนายมาล้อเล่น? นายคงจะไม่ได้คิดว่าความรู้สึกของนายที่มีต่อเธอนั้นเป็นของจริงใช่ไหม? มันจริงมากจนเธอจะไปอยู่ในอ้อมอกของผู้ชายคนอื่นอยู่แล้วนายก็ยังนิ่งดูดายอยู่ได้งั้นหรอ?” โม่ไป๋มองไปทางผู้ช่วยเฉิน: "พาเธอออกไป" “โม่ไป๋ เสิ่นหยินอู้กำลังจะกลับมาคบกับฉินเย่แล้วนะ หรือว่านายจะปล่อยให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันทั้งๆแบบนี้เหรอ? ฉันรู้ว่านายอยู่กับเสิ่นหยินอู้มาตลอดห้าปี นายรอเธอมาห้าปี นายไม่อยากอยู่กับเธอแล้วหรือไง? ถ้าวันนี้เธอโดนผู้ชายคนอื่นคาบไป นายยอมได้หรือไง?” เจียงฉูฉู่คำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งเหมือนผู้หญิงที่เสียสติ เธอกราดเกรี้ยวแทบตาย แต่คนตรงหน้าเธอกลับยังคงสงบนิ่ง “พูดจบหรือยัง?” เจียงฉูฉู่อ้ำอึ้งอยู่กับที่ หมายความว่ายังไง? เธอพูดขนาดนี้ แต่เขาไม่สนใจเลยสักนิดอย่างงั้นเหรอ? มันไม่สมเหตุสมผลเลย เขารอเสิ่นหยินอู้มาหลายปีขนาดนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเขาชอบเธอหรอกเหรอ? เป็นเพราะโม่ไป๋อย
เมื่อตื่นขึ้น ทุกสิ่งรอบๆล้วนเงียบสงบ แสงแดดที่อบอุ่น และสายลมอ่อนๆที่พัดมา เสิ่นหยินอู้ตากลมอยู่พักหนึ่งก่อนจะปิดหน้าต่างแล้วหันหลังเดินกลับไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้า หลังจากที่ฉินเย่ออกไปเมื่อคืนนี้ เดิมทีเธอคิดว่าเธออาจจะนอนไม่หลับเพราะเธอนึกเรื่องในอดีตขึ้นมาได้ ใครจะรู้ว่าเธอจะนอนหลับได้สนิทตลอดทั้งคืน เพียงแค่ชั่วขณะที่เธอนอนลงและคิดถึงเรื่องต่างๆมากมาย เธอก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่เสิ่นหยินอู้ใส่ขนมปังลงในเครื่องปิ้ง เธอก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้นเสิ่นหยินอู้ชะงักไป ใครกันที่จะมาที่นี่ในเวลานี้? เธอเดินไปที่ด้านหน้าจอเฝ้าระวังและเห็นร่างที่เธอคาดไม่ถึงว่าเขาจะมา หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็เปิดประตู “โม่ไป๋ นายมาที่นี่ทำไม?” โม่ไป๋ยืนอยู่ที่ประตู ยิ้มให้เธอเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "ทำไมล่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่ต้อนรับผมแล้วเหรอ?" “จะเป็นไปได้ยังไง…” เสิ่นหยินอู้เปิดริมฝีปาก จากนั้นหันกลับมาและให้เขาเข้ามาในห้อง โม่ไป๋เดินเข้าไปในห้อง สายตามองไปรอบๆอย่างแนบเนียน จากนั้นเปิดตู้รองเท้าเพื่อเปลี่ยนรองเท้าเหมือนตามตามปกติ “วันนี้เป็
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ