ถ้าเป็นตามปกติ เธอคงจะหันหลังกลับและเดินจากไป น่าเสียดายที่ในตอนนี้เจียงฉูฉู่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เธอก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว กัดริมฝีปากล่างแล้วพูดว่า "หมายความว่ายังไงที่บอกว่าฉันเอาความรู้สึกของนายมาล้อเล่น? นายคงจะไม่ได้คิดว่าความรู้สึกของนายที่มีต่อเธอนั้นเป็นของจริงใช่ไหม? มันจริงมากจนเธอจะไปอยู่ในอ้อมอกของผู้ชายคนอื่นอยู่แล้วนายก็ยังนิ่งดูดายอยู่ได้งั้นหรอ?” โม่ไป๋มองไปทางผู้ช่วยเฉิน: "พาเธอออกไป" “โม่ไป๋ เสิ่นหยินอู้กำลังจะกลับมาคบกับฉินเย่แล้วนะ หรือว่านายจะปล่อยให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันทั้งๆแบบนี้เหรอ? ฉันรู้ว่านายอยู่กับเสิ่นหยินอู้มาตลอดห้าปี นายรอเธอมาห้าปี นายไม่อยากอยู่กับเธอแล้วหรือไง? ถ้าวันนี้เธอโดนผู้ชายคนอื่นคาบไป นายยอมได้หรือไง?” เจียงฉูฉู่คำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งเหมือนผู้หญิงที่เสียสติ เธอกราดเกรี้ยวแทบตาย แต่คนตรงหน้าเธอกลับยังคงสงบนิ่ง “พูดจบหรือยัง?” เจียงฉูฉู่อ้ำอึ้งอยู่กับที่ หมายความว่ายังไง? เธอพูดขนาดนี้ แต่เขาไม่สนใจเลยสักนิดอย่างงั้นเหรอ? มันไม่สมเหตุสมผลเลย เขารอเสิ่นหยินอู้มาหลายปีขนาดนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเขาชอบเธอหรอกเหรอ? เป็นเพราะโม่ไป๋อย
เมื่อตื่นขึ้น ทุกสิ่งรอบๆล้วนเงียบสงบ แสงแดดที่อบอุ่น และสายลมอ่อนๆที่พัดมา เสิ่นหยินอู้ตากลมอยู่พักหนึ่งก่อนจะปิดหน้าต่างแล้วหันหลังเดินกลับไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้า หลังจากที่ฉินเย่ออกไปเมื่อคืนนี้ เดิมทีเธอคิดว่าเธออาจจะนอนไม่หลับเพราะเธอนึกเรื่องในอดีตขึ้นมาได้ ใครจะรู้ว่าเธอจะนอนหลับได้สนิทตลอดทั้งคืน เพียงแค่ชั่วขณะที่เธอนอนลงและคิดถึงเรื่องต่างๆมากมาย เธอก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่เสิ่นหยินอู้ใส่ขนมปังลงในเครื่องปิ้ง เธอก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้นเสิ่นหยินอู้ชะงักไป ใครกันที่จะมาที่นี่ในเวลานี้? เธอเดินไปที่ด้านหน้าจอเฝ้าระวังและเห็นร่างที่เธอคาดไม่ถึงว่าเขาจะมา หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็เปิดประตู “โม่ไป๋ นายมาที่นี่ทำไม?” โม่ไป๋ยืนอยู่ที่ประตู ยิ้มให้เธอเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "ทำไมล่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่ต้อนรับผมแล้วเหรอ?" “จะเป็นไปได้ยังไง…” เสิ่นหยินอู้เปิดริมฝีปาก จากนั้นหันกลับมาและให้เขาเข้ามาในห้อง โม่ไป๋เดินเข้าไปในห้อง สายตามองไปรอบๆอย่างแนบเนียน จากนั้นเปิดตู้รองเท้าเพื่อเปลี่ยนรองเท้าเหมือนตามตามปกติ “วันนี้เป็
เธอต้องการปฏิเสธเขาใช่ไหม? เขามาช้าไปเหรอ? หลังจากนั้นไม่นาน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มออกมา “ไม่มีอะไรที่ไม่สะดวกหรอก ขอบคุณที่นายยังให้ฉันอยู่ในฐานะเพื่อนต่อได้นะ แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว” เสิ่นหยินอู้คิดเมื่อครู่นี้ว่า ถ้าหากฉินเย่จะจัดการกับปัญหา เขาอาจจะไม่สามารถจัดการมันได้รวดเร็วขนาดนั้น และเธอก็แค่จะพาลูกๆออกไปเล่น คงจะกลับมาในไม่ช้า ต่อให้เขาจะมาหาเธอที่บ้าน ถ้าหากเธอไม่อยู่ เขาก็จะโทรหาเธอถึงตอนนั้นเธอค่อยอธิบายให้เขาทราบก็พอ หลังจากคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยอมรับคำเชิญของโม่ไป๋ เมื่อเห็นว่าเธอตกลง โม่ไป๋ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วถามว่า "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงล่ะ? ไม่ได้เจอตั้งนาน เด็กน้อยสองคนนั้นคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า?" เนื่องจากทั้งสองคนกลับมามีสถานะเป็นเพื่อนกันแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้ เธอจึงยิ้มและพูดว่า "คำถามนี้ นายรอถามพวกเขาด้วยตัวเองดีกว่า คงจะเซอร์ไพรส์มากกว่า" ภายใต้แสงแดดยามเช้า รอยยิ้มของเสิ่นหยินอู้เป็นประกาย แสงในดวงตาของเธอส่องประกายราวกับเศษฝุ่นดวงดาวที่แตกออกมา มันสวยงามมากจนแทบจะละสายตาไปไม
แม้ว่าโม่ไป๋จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไร แต่เสิ่นหยินอู้ก็ไปเปิดตู้เย็น เธอเอาวัตถุดิบทั้งหมดที่สามารถใช้งานได้ง่ายๆออกมา แล้วยังไปจัดเตรียมของใช้ที่เด็กๆจำเป็นต้องใช้อีกด้วย เมื่อเตรียมไปได้ครึ่งหนึ่ง โม่ไป๋ก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นเธอกำลังเก็บของ เขาจึงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า: "ไม่เห็นต้องเอาไปเยอะขนาดนั้นเลย ไปซื้อที่นั่นเอาก็ได้" “ถ้าไปปิกนิก ซื้อของมันไม่ค่อยสะดวก เอาไปเองน่าจะดีกว่านะ แถมมีที่บ้านก็มีของที่ใช้ได้อยู่แล้ว ถ้าไปซื้อแล้วต้องแบกกลับมามันจะกินที่นะ” เสิ่นหยินอู้พูดขณะที่เธอยัดของลงในกระเป๋า โม่ไป๋มองจากด้านข้างและอดไม่ได้ที่จะพูดติดตลก: "แล้วทำไมเธอไม่เอาเครื่องสำอางกับของใช้ส่วนตัวติดตัวไปด้วยล่ะ เผื่อระหว่างทางจะได้เติมหน้า" “ไม่จำเป็นหรอก เราไปปิกนิกกัน ไม่ได้ไปเที่ยวสักหน่อย” เธอขี้เกียจ หลังจากมีลูกแล้ว เมื่อต้องอยู่กับลูกๆ เธอก็ไม่ค่อยได้แต่งหน้าเท่าไร เด็กน้อยทั้งสองชอบมาจูบและเล่นกับใบหน้าของเธอ เธอกลัวว่าลูกๆทั้งสองคนจะมาโดนเครื่องสำอางบนหน้าเธอในขณะที่พวกเขาเข้ามาเล่นใกล้ๆ เธอจึงพยายามหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นจะพูดได้อย่าง
“ไม่มีอะไรหรอก รอเขาคุยเสร็จ เราก็ออกเดินทางได้แล้ว” ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้ช่วยเฉินก็วางสายและขึ้นมาบนรถ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรอีก อย่างไรก็ตาม หลังจากขับรถออกไปได้ไม่ถึงสิบนาที เด็กน้อบสองคนที่นั่งเกาะอยู่ข้างๆเธอก็เริ่มนั่งไม่เป็นสุข พวกเขาเกาะเธออย่างสะลึมสะลือและขยี้ตา “หม่ามี๊คะ เหมิงเหมิงง่วง...” เสิ่นหยินอู้ลดสายตาลงและบีบแก้มเนียนๆของเธอ “หมูน้อยจอมขี้เกียจ เพิ่งตื่นไม่ใช่เหรอ? ทำไมง่วงแล้วล่ะ?” เหมิงเหมิงส่ายหัว เป็นการบอกว่าเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เสิ่นหยินอู้ที่เห็นดังนั้นก็หัวใจละลาย เธอตบขาของเธอแล้วพูดว่า "ถ้างั้นก็นอนเถอะ" "ผมจัดการเอง" บังเอิญที่ในเวลานี้ โม่ไป๋ก็เอื้อมมือมาอุ้มเสิ่นเหมิงเหมิงไป: "เด็กน้อยทั้งสองขึ้นรถปุ๊บก็ง่วงเลย ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวเหนียนเหนียนก็อาจจะหลับด้วย ผมจะอุ้มเหมิงเหมิงไว้" เสิ่นหยินอู้มองดูเสิ่นซือเหนียนที่มีท่าทางง่วงเหงาหาวนอน เธอคิดว่ามันก็มีเหตุผล จึงพยักหน้า "ได้" ทันทีที่เหมิงเหมิงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของโม่ไป๋ เธอก็หลับไปอย่างรวดเร็วในอ้อมแขนของเขาและถึงกับกรนขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นเธอในสภาพนี้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได
ปลายนิ้วที่ร้อนรุ่มของโม่ไป๋กับแก้มของเสิ่นหยินอู้ที่เย็นเล็กน้อย ผิวพรรณขาวผ่องและละเอียดอ่อน เมื่อได้สัมผัสก็รู้สึกดี ผู้ช่วยเฉินได้แต่เฝ้ามองอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่ปลายนิ้วของโม่ไป๋ขยับไปมาบนใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ด้วยความโหยหา มันผ่านดวงตาของเธอ จมูกเล็กๆของเธอ และในที่สุดก็ตกลงบนริมฝีปากสีแดงสดของเธอ ผู้ช่วยเฉินละสายตาไปในทันทีด้วยความตื่นตระหนก ไม่กล้ามองซี้ซั้วอีก ปลายนิ้วของโม่ไป๋หยุดอยู่บนริมฝีปากของเธอ สัมผัสที่ปลายนิ้วของเขานั้นนุ่มนวลราวกับเจลลี่ที่เพิ่งถูกทำเสร็จโดยพ่อครัวฝีมือระดับท็อป แม้ว่าเขาจะไม่เคยสัมผัสมัน แต่เขากลับรู้ดีว่าความรู้สึกเช่นนี้ก็คงจะเหมือนกัน ตั้งแต่สมัยเด็ก ความปรารถนาของเขาก็คือการครอบครองเธอ เขาหวังว่าเขาจะสามารถอยู่ในสายตาของเธอได้มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงมักชอบทำเรื่องอะไรบางอย่างต่อหน้าเธอเพื่อดึงดูดความสนใจ แม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะทำให้เธอโกรธ เขาก็จะทำมันโดยไม่สนผิดสนถูก ซึ่งนานวันเข้า มันก็ทำให้เธอเกลียดเขามาก แค่เพียงเห็นเขาจากระยะไกล เธอก็หันหลังกลับและเดินหนี แม้ว่าเขาจะรู้สึกเศร้าใจจากเรื่องนี้ไประยะหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เสียใจเพราะนอกจา
ผู้ช่วยเฉินอุ้มเสิ่นเหมิงเหมิงกลับไปที่อ้อมแขนของโม่ไป๋แล้วพูดว่า "ประธานโม่" โม่ไป๋รับเสิ่นเหมิงเหมิงมาอย่างระมัดระวัง จัดท่าทางของเด็กน้อยทั้งสองให้ดีเพื่อนอนหลับได้อย่างสบาย และถามว่า "อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึง?" “น่าจะอีกประมาณยี่สิบนาที เฮลิคอปเตอร์ก็จะมารับเราไปยังสถานที่ที่จะออกเดินทาง กระบวนการทั้งหมดน่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆ” เมื่อพูดเช่นนี้ ผู้ช่วยเฉินก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้กับลูกๆด้วยความลังเล “พวกคุณหนูเสิ่น จะตื่นขึ้นมาระหว่างทางหรือเปล่าครับ?” หลังจากได้ยินเช่นนั้น โม่ไป๋ก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย: "น่าจะไม่ ต่อให้ตื่นขึ้นมา มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก" ผู้ช่วยเฉินมองไปที่เสิ่นหยินอู้และพูดด้วยความลังเลว่า: "ประธานโม่ ของสำหรับปิกนิกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วจริงๆครับ... " “อืม” โม่ไป๋ตอบรับอย่างเฉยชา ไม่มีปฏิกิริยาพิเศษใดๆ “ผมหมายความว่า ถ้าเรารีบไปก็ยังทันอยู่ พอคุณหนูเสิ่นกับเด็กๆตื่นขึ้น พวกเขาจะแค่คิดว่าพวกเขาเหนื่อยมากจนหลับไป และจะไม่สงสัยอะไร” หลังจากได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดโม่ไป๋ก็หันไปมองเขา “ผู้ช่วยเฉิน คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?” ผู้ช่วยเฉ
ท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมตัวที่จะรับคำดุด่าว่ากล่าวต่างๆจากเธอไว้แล้ว เสิ่นหยินอู้หายใจเข้าลึกๆ เธอพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่โกรธ เธอมองไปที่ความสูงของเครื่องบิน ในขณะนี้เธอไม่สามารถเห็นตึกรามบ้านช่องที่อยู่บนพื้นดินได้ คาดว่าคงจะบินขึ้นมาได้สักพักแล้ว “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนล่ะ?” เธอถาม “อยู่ข้างหน้า มีคนดูแลอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอก” "ฉันอยากเจอพวกเขา" โม่ไป๋พยักหน้า: "ได้ เดี๋ยวผมพาไป" หลังจากนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้น โม่ไป๋พาเธอไปที่อีกห้องหนึ่งของเครื่องบิน ที่ด้านในห้อง เธอเห็นเด็กน้อยสองคนตื่นแล้วและกำลังทานอาหารอยู่ เมื่อพวกเขาสองคนเห็นเธอก็เดินเข้ามาหา แล้วยังยิ้มให้เธอ เห็นได้ชัดว่ามีคนดูแลพวกเขาอย่างดี เด็กน้อยทั้งสองเชื่อใจโม่ไป๋อย่างสุดใจและไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร แต่เสิ่นซือเหนียนกลับถามเธอเบาๆว่า "หม่ามี๊ครับ เราตกลงกันไว้ว่าจะไปปิกนิกไม่ใช่เหรอครับ? แล้วทำไมจู่ๆเราถึงขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินล่ะครับ?" เสิ่นหยินอู้ยิ้มและเอื้อมมือไปลูบหัวเขาเบาๆ "เปลี่ยนแพลนกะทันหันน่ะจ๊ะ อร่อยมั้ย?" "อร่อยครับ" “งั้นพวกลูกกินกันไปก่อนนะ หม่ามี๊จะไปคุยกับลุงโม
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน