เธอต้องการปฏิเสธเขาใช่ไหม? เขามาช้าไปเหรอ? หลังจากนั้นไม่นาน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มออกมา “ไม่มีอะไรที่ไม่สะดวกหรอก ขอบคุณที่นายยังให้ฉันอยู่ในฐานะเพื่อนต่อได้นะ แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว” เสิ่นหยินอู้คิดเมื่อครู่นี้ว่า ถ้าหากฉินเย่จะจัดการกับปัญหา เขาอาจจะไม่สามารถจัดการมันได้รวดเร็วขนาดนั้น และเธอก็แค่จะพาลูกๆออกไปเล่น คงจะกลับมาในไม่ช้า ต่อให้เขาจะมาหาเธอที่บ้าน ถ้าหากเธอไม่อยู่ เขาก็จะโทรหาเธอถึงตอนนั้นเธอค่อยอธิบายให้เขาทราบก็พอ หลังจากคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยอมรับคำเชิญของโม่ไป๋ เมื่อเห็นว่าเธอตกลง โม่ไป๋ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วถามว่า "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงล่ะ? ไม่ได้เจอตั้งนาน เด็กน้อยสองคนนั้นคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า?" เนื่องจากทั้งสองคนกลับมามีสถานะเป็นเพื่อนกันแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้ เธอจึงยิ้มและพูดว่า "คำถามนี้ นายรอถามพวกเขาด้วยตัวเองดีกว่า คงจะเซอร์ไพรส์มากกว่า" ภายใต้แสงแดดยามเช้า รอยยิ้มของเสิ่นหยินอู้เป็นประกาย แสงในดวงตาของเธอส่องประกายราวกับเศษฝุ่นดวงดาวที่แตกออกมา มันสวยงามมากจนแทบจะละสายตาไปไม
แม้ว่าโม่ไป๋จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไร แต่เสิ่นหยินอู้ก็ไปเปิดตู้เย็น เธอเอาวัตถุดิบทั้งหมดที่สามารถใช้งานได้ง่ายๆออกมา แล้วยังไปจัดเตรียมของใช้ที่เด็กๆจำเป็นต้องใช้อีกด้วย เมื่อเตรียมไปได้ครึ่งหนึ่ง โม่ไป๋ก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นเธอกำลังเก็บของ เขาจึงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า: "ไม่เห็นต้องเอาไปเยอะขนาดนั้นเลย ไปซื้อที่นั่นเอาก็ได้" “ถ้าไปปิกนิก ซื้อของมันไม่ค่อยสะดวก เอาไปเองน่าจะดีกว่านะ แถมมีที่บ้านก็มีของที่ใช้ได้อยู่แล้ว ถ้าไปซื้อแล้วต้องแบกกลับมามันจะกินที่นะ” เสิ่นหยินอู้พูดขณะที่เธอยัดของลงในกระเป๋า โม่ไป๋มองจากด้านข้างและอดไม่ได้ที่จะพูดติดตลก: "แล้วทำไมเธอไม่เอาเครื่องสำอางกับของใช้ส่วนตัวติดตัวไปด้วยล่ะ เผื่อระหว่างทางจะได้เติมหน้า" “ไม่จำเป็นหรอก เราไปปิกนิกกัน ไม่ได้ไปเที่ยวสักหน่อย” เธอขี้เกียจ หลังจากมีลูกแล้ว เมื่อต้องอยู่กับลูกๆ เธอก็ไม่ค่อยได้แต่งหน้าเท่าไร เด็กน้อยทั้งสองชอบมาจูบและเล่นกับใบหน้าของเธอ เธอกลัวว่าลูกๆทั้งสองคนจะมาโดนเครื่องสำอางบนหน้าเธอในขณะที่พวกเขาเข้ามาเล่นใกล้ๆ เธอจึงพยายามหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นจะพูดได้อย่าง
“ไม่มีอะไรหรอก รอเขาคุยเสร็จ เราก็ออกเดินทางได้แล้ว” ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้ช่วยเฉินก็วางสายและขึ้นมาบนรถ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรอีก อย่างไรก็ตาม หลังจากขับรถออกไปได้ไม่ถึงสิบนาที เด็กน้อบสองคนที่นั่งเกาะอยู่ข้างๆเธอก็เริ่มนั่งไม่เป็นสุข พวกเขาเกาะเธออย่างสะลึมสะลือและขยี้ตา “หม่ามี๊คะ เหมิงเหมิงง่วง...” เสิ่นหยินอู้ลดสายตาลงและบีบแก้มเนียนๆของเธอ “หมูน้อยจอมขี้เกียจ เพิ่งตื่นไม่ใช่เหรอ? ทำไมง่วงแล้วล่ะ?” เหมิงเหมิงส่ายหัว เป็นการบอกว่าเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เสิ่นหยินอู้ที่เห็นดังนั้นก็หัวใจละลาย เธอตบขาของเธอแล้วพูดว่า "ถ้างั้นก็นอนเถอะ" "ผมจัดการเอง" บังเอิญที่ในเวลานี้ โม่ไป๋ก็เอื้อมมือมาอุ้มเสิ่นเหมิงเหมิงไป: "เด็กน้อยทั้งสองขึ้นรถปุ๊บก็ง่วงเลย ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวเหนียนเหนียนก็อาจจะหลับด้วย ผมจะอุ้มเหมิงเหมิงไว้" เสิ่นหยินอู้มองดูเสิ่นซือเหนียนที่มีท่าทางง่วงเหงาหาวนอน เธอคิดว่ามันก็มีเหตุผล จึงพยักหน้า "ได้" ทันทีที่เหมิงเหมิงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของโม่ไป๋ เธอก็หลับไปอย่างรวดเร็วในอ้อมแขนของเขาและถึงกับกรนขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นเธอในสภาพนี้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได
ปลายนิ้วที่ร้อนรุ่มของโม่ไป๋กับแก้มของเสิ่นหยินอู้ที่เย็นเล็กน้อย ผิวพรรณขาวผ่องและละเอียดอ่อน เมื่อได้สัมผัสก็รู้สึกดี ผู้ช่วยเฉินได้แต่เฝ้ามองอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่ปลายนิ้วของโม่ไป๋ขยับไปมาบนใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ด้วยความโหยหา มันผ่านดวงตาของเธอ จมูกเล็กๆของเธอ และในที่สุดก็ตกลงบนริมฝีปากสีแดงสดของเธอ ผู้ช่วยเฉินละสายตาไปในทันทีด้วยความตื่นตระหนก ไม่กล้ามองซี้ซั้วอีก ปลายนิ้วของโม่ไป๋หยุดอยู่บนริมฝีปากของเธอ สัมผัสที่ปลายนิ้วของเขานั้นนุ่มนวลราวกับเจลลี่ที่เพิ่งถูกทำเสร็จโดยพ่อครัวฝีมือระดับท็อป แม้ว่าเขาจะไม่เคยสัมผัสมัน แต่เขากลับรู้ดีว่าความรู้สึกเช่นนี้ก็คงจะเหมือนกัน ตั้งแต่สมัยเด็ก ความปรารถนาของเขาก็คือการครอบครองเธอ เขาหวังว่าเขาจะสามารถอยู่ในสายตาของเธอได้มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงมักชอบทำเรื่องอะไรบางอย่างต่อหน้าเธอเพื่อดึงดูดความสนใจ แม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะทำให้เธอโกรธ เขาก็จะทำมันโดยไม่สนผิดสนถูก ซึ่งนานวันเข้า มันก็ทำให้เธอเกลียดเขามาก แค่เพียงเห็นเขาจากระยะไกล เธอก็หันหลังกลับและเดินหนี แม้ว่าเขาจะรู้สึกเศร้าใจจากเรื่องนี้ไประยะหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เสียใจเพราะนอกจา
ผู้ช่วยเฉินอุ้มเสิ่นเหมิงเหมิงกลับไปที่อ้อมแขนของโม่ไป๋แล้วพูดว่า "ประธานโม่" โม่ไป๋รับเสิ่นเหมิงเหมิงมาอย่างระมัดระวัง จัดท่าทางของเด็กน้อยทั้งสองให้ดีเพื่อนอนหลับได้อย่างสบาย และถามว่า "อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึง?" “น่าจะอีกประมาณยี่สิบนาที เฮลิคอปเตอร์ก็จะมารับเราไปยังสถานที่ที่จะออกเดินทาง กระบวนการทั้งหมดน่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆ” เมื่อพูดเช่นนี้ ผู้ช่วยเฉินก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้กับลูกๆด้วยความลังเล “พวกคุณหนูเสิ่น จะตื่นขึ้นมาระหว่างทางหรือเปล่าครับ?” หลังจากได้ยินเช่นนั้น โม่ไป๋ก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย: "น่าจะไม่ ต่อให้ตื่นขึ้นมา มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก" ผู้ช่วยเฉินมองไปที่เสิ่นหยินอู้และพูดด้วยความลังเลว่า: "ประธานโม่ ของสำหรับปิกนิกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วจริงๆครับ... " “อืม” โม่ไป๋ตอบรับอย่างเฉยชา ไม่มีปฏิกิริยาพิเศษใดๆ “ผมหมายความว่า ถ้าเรารีบไปก็ยังทันอยู่ พอคุณหนูเสิ่นกับเด็กๆตื่นขึ้น พวกเขาจะแค่คิดว่าพวกเขาเหนื่อยมากจนหลับไป และจะไม่สงสัยอะไร” หลังจากได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดโม่ไป๋ก็หันไปมองเขา “ผู้ช่วยเฉิน คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?” ผู้ช่วยเฉ
ท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมตัวที่จะรับคำดุด่าว่ากล่าวต่างๆจากเธอไว้แล้ว เสิ่นหยินอู้หายใจเข้าลึกๆ เธอพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่โกรธ เธอมองไปที่ความสูงของเครื่องบิน ในขณะนี้เธอไม่สามารถเห็นตึกรามบ้านช่องที่อยู่บนพื้นดินได้ คาดว่าคงจะบินขึ้นมาได้สักพักแล้ว “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนล่ะ?” เธอถาม “อยู่ข้างหน้า มีคนดูแลอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอก” "ฉันอยากเจอพวกเขา" โม่ไป๋พยักหน้า: "ได้ เดี๋ยวผมพาไป" หลังจากนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้น โม่ไป๋พาเธอไปที่อีกห้องหนึ่งของเครื่องบิน ที่ด้านในห้อง เธอเห็นเด็กน้อยสองคนตื่นแล้วและกำลังทานอาหารอยู่ เมื่อพวกเขาสองคนเห็นเธอก็เดินเข้ามาหา แล้วยังยิ้มให้เธอ เห็นได้ชัดว่ามีคนดูแลพวกเขาอย่างดี เด็กน้อยทั้งสองเชื่อใจโม่ไป๋อย่างสุดใจและไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร แต่เสิ่นซือเหนียนกลับถามเธอเบาๆว่า "หม่ามี๊ครับ เราตกลงกันไว้ว่าจะไปปิกนิกไม่ใช่เหรอครับ? แล้วทำไมจู่ๆเราถึงขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินล่ะครับ?" เสิ่นหยินอู้ยิ้มและเอื้อมมือไปลูบหัวเขาเบาๆ "เปลี่ยนแพลนกะทันหันน่ะจ๊ะ อร่อยมั้ย?" "อร่อยครับ" “งั้นพวกลูกกินกันไปก่อนนะ หม่ามี๊จะไปคุยกับลุงโม
“ความชอบของนาย ก็คือการใช้ความไว้ใจของฉันกับลูกๆที่มีให้นายมาทำให้เราสลบเพื่อบังคับให้เราขึ้นมาบนเครื่องบิน นี่เป็นสิ่งที่นายทำกับคนที่นายชอบงั้นหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของโม่ไป๋ก็เศร้าโศกเล็กน้อย “ขอโทษ ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่หยินอู้ ผมใช้เวลามาห้าปี แต่เธอก็ยังไม่ยอมรับผม ผมก็ไม่มีทางเลือก ก็เลยทำได้แค่เลือกทางเลือกสุดท้ายนี้ อย่าโทษผมเลย” หากยังพูดต่อ มันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ตอนนี้เธออยู่บนเครื่องบินแล้ว จะระเบิดอารมณ์เป็นบ้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า: "ฉันไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ในช่วงเวลานี้ นายลองไปคิดดูใหม่ได้ ถ้านายเปลี่ยนใจแล้วส่งเรากลับไปยังประเทศจีนอย่างปลอดภัย ฉันก็ยังทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นได้อยู่” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรกับเขาอีก เธอเลือกที่นั่งที่หนึ่งแล้วนั่งลง หลับตาด้วยความเหนื่อยล้า ฤทธิ์ของยายังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเธอ ตอนนี้เธอยังคงเหนื่อยมาก เมื่อหลับตาลงก็เริ่มรู้สึกง่วงนอน อย่างไรก็ตาม หัวใจและส
โม่ไป๋มองไปที่จานอาหารของเธอและขมวดคิ้วเล็กน้อย “หยินอู้ เธอกินไปนิดเดียวเอง” เธอไม่พูด โม่ไป๋ดูออกว่าเธอในตอนนี้เธอกำลังปฏิเสธเขาอย่างมาก เขาเม้มริมฝีปากบาง จากนั้นก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้ แล้วจึงพูดว่า "ก็ได้ เธอคงจะคิดว่าอาหารที่เชฟคนนี้ทำไม่อร่อย ไม่เป็นไร เดี๋ยวลงจากเครื่องบินแล้วเราค่อยไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน" หลังจากพูดจบ เขาก็ไปเรียกคนมาเพื่อเก็บจานอาหาร จากนั้นโม่ไป๋ก็ยกไวน์แดงเข้ามาแก้วหนึ่ง “ดื่มหน่อยไหม?” "ไม่ ขอบคุณ" โม่ไป๋หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและค่อยๆดื่ม หลังจากดื่มเสร็จแล้ว เขาก็มองเสิ่นหยินอู้อย่างเงียบๆ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้มองเขาเลย เธอหลับตาลงและประสานมือไว้บนหน้าอกของเธอราวกับว่าเธอกำลังหลับอยู่ โม่ไป๋มองดูเธออย่างเงียบๆสักพัก และในที่สุดก็ได้แต่ถอนหายใจ ช่างเถอะ เมื่อไปถึงที่นั่น เขาจะดูแลเธออย่างดี จากนั้นพวกเขาก็ไปถึงประเทศ M ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนตลอดการเดินทาง ระหว่างประเทศ M กับประเทศจีนมีความต่างของเวลาอยู่ ที่จีนในตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว แต่ที่นี่ยังเป็นเวลากลางวัน “ไปอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนที่โรงแรมใกล้ๆสนามบินก่อน เธอกับลูกตื่นเมื่อไร
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ