ผู้ช่วยเฉินอุ้มเสิ่นเหมิงเหมิงกลับไปที่อ้อมแขนของโม่ไป๋แล้วพูดว่า "ประธานโม่" โม่ไป๋รับเสิ่นเหมิงเหมิงมาอย่างระมัดระวัง จัดท่าทางของเด็กน้อยทั้งสองให้ดีเพื่อนอนหลับได้อย่างสบาย และถามว่า "อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึง?" “น่าจะอีกประมาณยี่สิบนาที เฮลิคอปเตอร์ก็จะมารับเราไปยังสถานที่ที่จะออกเดินทาง กระบวนการทั้งหมดน่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆ” เมื่อพูดเช่นนี้ ผู้ช่วยเฉินก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้กับลูกๆด้วยความลังเล “พวกคุณหนูเสิ่น จะตื่นขึ้นมาระหว่างทางหรือเปล่าครับ?” หลังจากได้ยินเช่นนั้น โม่ไป๋ก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย: "น่าจะไม่ ต่อให้ตื่นขึ้นมา มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก" ผู้ช่วยเฉินมองไปที่เสิ่นหยินอู้และพูดด้วยความลังเลว่า: "ประธานโม่ ของสำหรับปิกนิกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วจริงๆครับ... " “อืม” โม่ไป๋ตอบรับอย่างเฉยชา ไม่มีปฏิกิริยาพิเศษใดๆ “ผมหมายความว่า ถ้าเรารีบไปก็ยังทันอยู่ พอคุณหนูเสิ่นกับเด็กๆตื่นขึ้น พวกเขาจะแค่คิดว่าพวกเขาเหนื่อยมากจนหลับไป และจะไม่สงสัยอะไร” หลังจากได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดโม่ไป๋ก็หันไปมองเขา “ผู้ช่วยเฉิน คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?” ผู้ช่วยเฉ
ท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมตัวที่จะรับคำดุด่าว่ากล่าวต่างๆจากเธอไว้แล้ว เสิ่นหยินอู้หายใจเข้าลึกๆ เธอพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่โกรธ เธอมองไปที่ความสูงของเครื่องบิน ในขณะนี้เธอไม่สามารถเห็นตึกรามบ้านช่องที่อยู่บนพื้นดินได้ คาดว่าคงจะบินขึ้นมาได้สักพักแล้ว “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนล่ะ?” เธอถาม “อยู่ข้างหน้า มีคนดูแลอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอก” "ฉันอยากเจอพวกเขา" โม่ไป๋พยักหน้า: "ได้ เดี๋ยวผมพาไป" หลังจากนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้น โม่ไป๋พาเธอไปที่อีกห้องหนึ่งของเครื่องบิน ที่ด้านในห้อง เธอเห็นเด็กน้อยสองคนตื่นแล้วและกำลังทานอาหารอยู่ เมื่อพวกเขาสองคนเห็นเธอก็เดินเข้ามาหา แล้วยังยิ้มให้เธอ เห็นได้ชัดว่ามีคนดูแลพวกเขาอย่างดี เด็กน้อยทั้งสองเชื่อใจโม่ไป๋อย่างสุดใจและไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร แต่เสิ่นซือเหนียนกลับถามเธอเบาๆว่า "หม่ามี๊ครับ เราตกลงกันไว้ว่าจะไปปิกนิกไม่ใช่เหรอครับ? แล้วทำไมจู่ๆเราถึงขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินล่ะครับ?" เสิ่นหยินอู้ยิ้มและเอื้อมมือไปลูบหัวเขาเบาๆ "เปลี่ยนแพลนกะทันหันน่ะจ๊ะ อร่อยมั้ย?" "อร่อยครับ" “งั้นพวกลูกกินกันไปก่อนนะ หม่ามี๊จะไปคุยกับลุงโม
“ความชอบของนาย ก็คือการใช้ความไว้ใจของฉันกับลูกๆที่มีให้นายมาทำให้เราสลบเพื่อบังคับให้เราขึ้นมาบนเครื่องบิน นี่เป็นสิ่งที่นายทำกับคนที่นายชอบงั้นหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของโม่ไป๋ก็เศร้าโศกเล็กน้อย “ขอโทษ ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่หยินอู้ ผมใช้เวลามาห้าปี แต่เธอก็ยังไม่ยอมรับผม ผมก็ไม่มีทางเลือก ก็เลยทำได้แค่เลือกทางเลือกสุดท้ายนี้ อย่าโทษผมเลย” หากยังพูดต่อ มันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ตอนนี้เธออยู่บนเครื่องบินแล้ว จะระเบิดอารมณ์เป็นบ้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า: "ฉันไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ในช่วงเวลานี้ นายลองไปคิดดูใหม่ได้ ถ้านายเปลี่ยนใจแล้วส่งเรากลับไปยังประเทศจีนอย่างปลอดภัย ฉันก็ยังทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นได้อยู่” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรกับเขาอีก เธอเลือกที่นั่งที่หนึ่งแล้วนั่งลง หลับตาด้วยความเหนื่อยล้า ฤทธิ์ของยายังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเธอ ตอนนี้เธอยังคงเหนื่อยมาก เมื่อหลับตาลงก็เริ่มรู้สึกง่วงนอน อย่างไรก็ตาม หัวใจและส
โม่ไป๋มองไปที่จานอาหารของเธอและขมวดคิ้วเล็กน้อย “หยินอู้ เธอกินไปนิดเดียวเอง” เธอไม่พูด โม่ไป๋ดูออกว่าเธอในตอนนี้เธอกำลังปฏิเสธเขาอย่างมาก เขาเม้มริมฝีปากบาง จากนั้นก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้ แล้วจึงพูดว่า "ก็ได้ เธอคงจะคิดว่าอาหารที่เชฟคนนี้ทำไม่อร่อย ไม่เป็นไร เดี๋ยวลงจากเครื่องบินแล้วเราค่อยไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน" หลังจากพูดจบ เขาก็ไปเรียกคนมาเพื่อเก็บจานอาหาร จากนั้นโม่ไป๋ก็ยกไวน์แดงเข้ามาแก้วหนึ่ง “ดื่มหน่อยไหม?” "ไม่ ขอบคุณ" โม่ไป๋หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและค่อยๆดื่ม หลังจากดื่มเสร็จแล้ว เขาก็มองเสิ่นหยินอู้อย่างเงียบๆ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้มองเขาเลย เธอหลับตาลงและประสานมือไว้บนหน้าอกของเธอราวกับว่าเธอกำลังหลับอยู่ โม่ไป๋มองดูเธออย่างเงียบๆสักพัก และในที่สุดก็ได้แต่ถอนหายใจ ช่างเถอะ เมื่อไปถึงที่นั่น เขาจะดูแลเธออย่างดี จากนั้นพวกเขาก็ไปถึงประเทศ M ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนตลอดการเดินทาง ระหว่างประเทศ M กับประเทศจีนมีความต่างของเวลาอยู่ ที่จีนในตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว แต่ที่นี่ยังเป็นเวลากลางวัน “ไปอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนที่โรงแรมใกล้ๆสนามบินก่อน เธอกับลูกตื่นเมื่อไร
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะพาลูกๆทั้งสองคนไปด้วยเลย ต่อให้จะมีแค่เธอคนเดียว เธอก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้เลยยิ่งไปกว่านั้น โทรศัพท์มือถือของเธอยังอยู่กับโม่ไป๋ และการที่เขากล้าพาเธอมาถึงที่นี่ เขาคงเจอเอกสารทั้งหมดของเธอแล้ว ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไรกันแน่ หรือว่าเขาเข้าไปในห้องเพื่อหามันในเธอขณะที่เธอกำลังทำอาหารอยู่? เสิ่นหยินอู้คิดด้วยความเศร้าหมอง ดังนั้น ทันทีที่โม่ไป๋เดินเข้ามาหาเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "โทรศัพท์มือถือของฉันล่ะ?" เพราะกลัวว่าเขาจะกลับคำและไม่คืนให้ เสิ่นหยินอู้จึงชิงพูดก่อนว่า: "ก่อนหน้านี้นายบอกฉันว่านายจะคืนโทรศัพท์ให้ฉันหลังจากลงจากเครื่องบินสินะ?" "อืม" โม่ไป๋ไม่ผิดสัญญา เขาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เธอ เมื่อได้โทรศัพท์มา เสิ่นหยินอู้ก็คิดว่าเธอคิดมากไปเอง เขายอมที่จะคืนโทรศัพท์ให้เธอสินะ? อาจเป็นเพราะสิ่งที่เธอพูดบนเครื่องบินได้ผลงั้นเหรอ? แต่เขาคิดได้เพียงนิดเดียวเท่านั้นเองเหรอ? แต่หลังจากที่เสิ่นหยินอู้เปิดโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง เธอก็พบว่ามีสิ่งที่ผิดปกติ ซิมที่อยู่ในโทรศัพท์ของเธอตอนนี้ไม่ใช่อันเดิม ซิมอันเก่าได้ถูกเปลี่ยนออกไปแล้ว ซิมท
ระหว่างทางจนถึงโรงแรม เสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรกับโม่ไป๋อีกเลยแม้แต่ประโยคเดียว โม่ไป๋พาเธอไปที่โรงแรมที่อยู่ใกล้กับสนามบิน ถึงจะบอกว่ามันอยู่ใกล้ๆ แต่จริงๆแล้วมันก็ใช้เวลาในการขับรถไปเกือบครึ่งชั่วโมง หลังจากจัดการอะไรต่างๆให้เธอแล้ว โม่ไป๋ก็พูดกับเธอว่า "พักผ่อนตามสบายเลย ตอนเย็นผมจะมา..." ปัง! ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ประตูห้องก็ปิดลงต่อหน้าโม่ไป๋ โม่ไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดคำพูดที่เหลือให้จบ “มารับเธอ” น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ “ประธานโม่...” ผู้ช่วยเฉินที่อยู่ข้างๆเห็นเช่นนั้นก็เรียกเขาด้วยความลังเล ทำไมมันลำบากเช่นนี้นะ? โม่ไป๋ได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง เขาหันไปสั่งว่า "เฝ้าที่นี่ไว้ให้ดี อย่าให้ใครที่น่าสงสัยเข้าไป" ผู้ช่วยเฉินพยักหน้า “ไม่ต้องห่วงครับประธานโม่ เราจะไม่ให้คนที่น่าสงสัยเข้าไปได้เด็ดขาด คุณไม่ได้พักผ่อนเลยตั้งแต่เมื่อคืน รีบไปพักผ่อนเถอะครับ” โม่ไป๋ไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลา20ชั่วโมงแล้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยดวงตาเส้นเลือดสีแดง ด้วยสถานการณ์ที่เป็นเช่นนี้ในตอนนี้ ต่อให้กลับไปที่ห้อง เขาคงจะนอนไม่หลับอยู่ดี แต่การได้หลับต
หลังจากวางโทรศัพท์ลงแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ยืนขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง เธอเปิดม่านแล้วจึงเห็นว่าที่อยู่คือชั้น16 เมื่อเดินไปเปิดประตู เธอก็เห็นผู้ช่วยเฉินที่มีสีหน้าหวาดกลัว และยังมีการ์ดร่างสูงกำยำสองคนคอยเฝ้าอยู่ที่ประตู ไม่ว่าจะไปทางไหน มันก็ถูกปิดตายหมด การที่โม่ไป๋ทำเช่นนี้มันไม่ต่างอะไรกับการกักบริเวณเธอเลย เสิ่นหยินอู้โกรธจัดจนพูดกับผู้ช่วยเฉินว่า "ฉันอยากออกไป" ผู้ช่วยเฉินแสดงสีหน้าลำบากใจออกมาทันที “คุณหนูเสิ่น ผมเกรงว่าจะไม่ได้ คุณเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบิน ประธานโม่ได้กำชับไว้ว่าให้คุณกับลูกๆพักผ่อนเยอะๆ ดังนั้นตอนนี้ยังออกไปไม่ได้ชั่วคราวครับ” “เพราะฉันเหนื่อยจากการนั่งเครื่องบินเลยอยากให้ฉันพักผ่อนเยอะๆ หรือกำลังกักบริเวณฉันกันแน่?” เมื่อได้ยินคำว่ากักบริเวณ ผู้ช่วยเฉินก็ปฏิเสธทันทีและพูดว่า "คุณหนูเสิ่น ทำไมถึงพูดว่าเป็นการกักบริเวณล่ะครับ? คุณไม่ได้พักผ่อนในระหว่างทางเลย ประธานโม่ทำเพื่อคุณนะครับ" “ยังไงก็จะไม่ให้ฉันออกไปใช่ไหม?” ผู้ช่วยเฉินไม่พูดอะไร เสิ่นหยินอู้กระแทกปิดประตูเสียงดังต่อหน้าเขาอีกครั้ง เมื่อกลับมาที่หน้าโซฟาและเห็นเด็กน้อยทั้งสองหลับอ
เมื่อพูดถึงการกักขัง ผู้ช่วยเฉินก็ชะงักไป เขาถึงกับพูดไม่ออก “ฉันอยากกินตอนนี้ ถ้าคุณไม่อยากไปหามาให้ฉันกินก็ไม่เป็นไร ช่างเถอะ ฉันไม่กินแล้ว” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตัดสายไป เธอรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง โทรศัพท์ของเธอถูกดักฟังจริงๆสินะ? ถ้างั้น นั่นก็หมายความว่าไม่ว่าเธอจะโทรไปขออะไร ทั้งหมดก็ล้วนไร้ประโยชน์สินะ? คิดไม่ถึงเลยว่าโม่ไป๋จะทำได้ถึงขนาดนี้ เธอต้องคิดใหม่อีกครั้ง มันต้องมีวิธีอะไรสักอย่างแน่นอน - หลังจากที่ผู้ช่วยเฉินวางสาย เขาก็ตกอยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในท้ายที่สุดเขาก็ทำได้เพียงไปถามความคิดเห็นของประธานโม่เท่านั้น หลังจากทราบคำขอของเธอแล้ว โม่ไป๋ก็เม้มริมฝีปากบางแล้วพูดว่า "ทำตามที่เธอขอเถอะ" “แต่ในโรงแรม...” “ไม่มีในโรงแรม ข้างนอกก็ไม่มีงั้นเหรอ? ลองหาร้านที่เจ้าเป็นของคนจีน ถ้าต้องขับรถไปซื้อก็ขับรถไปซื้อ หรือจะจ้างเชฟในราคาสูงๆมาก็ได้” " ผู้ช่วยเฉิน: "..." “ตอนนี้ข้างๆเธอมีแค่ผมเท่านั้น ถ้าผมทำตามคำขอของเธอไม่ได้ แล้วใครจะทำได้ล่ะ?” ช่วยไม่ได้ ผู้ช่วยเฉินทำได้เพียงทำตามที่เขาพูด นิ้วของโม่ไป๋ประสานกันอยู่บนโต๊ะ เขาซึ่งแต่
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ