“ไม่มีอะไรหรอก รอเขาคุยเสร็จ เราก็ออกเดินทางได้แล้ว” ทันทีที่เขาพูดจบ ผู้ช่วยเฉินก็วางสายและขึ้นมาบนรถ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรอีก อย่างไรก็ตาม หลังจากขับรถออกไปได้ไม่ถึงสิบนาที เด็กน้อบสองคนที่นั่งเกาะอยู่ข้างๆเธอก็เริ่มนั่งไม่เป็นสุข พวกเขาเกาะเธออย่างสะลึมสะลือและขยี้ตา “หม่ามี๊คะ เหมิงเหมิงง่วง...” เสิ่นหยินอู้ลดสายตาลงและบีบแก้มเนียนๆของเธอ “หมูน้อยจอมขี้เกียจ เพิ่งตื่นไม่ใช่เหรอ? ทำไมง่วงแล้วล่ะ?” เหมิงเหมิงส่ายหัว เป็นการบอกว่าเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เสิ่นหยินอู้ที่เห็นดังนั้นก็หัวใจละลาย เธอตบขาของเธอแล้วพูดว่า "ถ้างั้นก็นอนเถอะ" "ผมจัดการเอง" บังเอิญที่ในเวลานี้ โม่ไป๋ก็เอื้อมมือมาอุ้มเสิ่นเหมิงเหมิงไป: "เด็กน้อยทั้งสองขึ้นรถปุ๊บก็ง่วงเลย ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวเหนียนเหนียนก็อาจจะหลับด้วย ผมจะอุ้มเหมิงเหมิงไว้" เสิ่นหยินอู้มองดูเสิ่นซือเหนียนที่มีท่าทางง่วงเหงาหาวนอน เธอคิดว่ามันก็มีเหตุผล จึงพยักหน้า "ได้" ทันทีที่เหมิงเหมิงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของโม่ไป๋ เธอก็หลับไปอย่างรวดเร็วในอ้อมแขนของเขาและถึงกับกรนขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นเธอในสภาพนี้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได
ปลายนิ้วที่ร้อนรุ่มของโม่ไป๋กับแก้มของเสิ่นหยินอู้ที่เย็นเล็กน้อย ผิวพรรณขาวผ่องและละเอียดอ่อน เมื่อได้สัมผัสก็รู้สึกดี ผู้ช่วยเฉินได้แต่เฝ้ามองอย่างช่วยไม่ได้ขณะที่ปลายนิ้วของโม่ไป๋ขยับไปมาบนใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ด้วยความโหยหา มันผ่านดวงตาของเธอ จมูกเล็กๆของเธอ และในที่สุดก็ตกลงบนริมฝีปากสีแดงสดของเธอ ผู้ช่วยเฉินละสายตาไปในทันทีด้วยความตื่นตระหนก ไม่กล้ามองซี้ซั้วอีก ปลายนิ้วของโม่ไป๋หยุดอยู่บนริมฝีปากของเธอ สัมผัสที่ปลายนิ้วของเขานั้นนุ่มนวลราวกับเจลลี่ที่เพิ่งถูกทำเสร็จโดยพ่อครัวฝีมือระดับท็อป แม้ว่าเขาจะไม่เคยสัมผัสมัน แต่เขากลับรู้ดีว่าความรู้สึกเช่นนี้ก็คงจะเหมือนกัน ตั้งแต่สมัยเด็ก ความปรารถนาของเขาก็คือการครอบครองเธอ เขาหวังว่าเขาจะสามารถอยู่ในสายตาของเธอได้มากขึ้น ดังนั้นเขาจึงมักชอบทำเรื่องอะไรบางอย่างต่อหน้าเธอเพื่อดึงดูดความสนใจ แม้ว่าสิ่งที่เขาทำจะทำให้เธอโกรธ เขาก็จะทำมันโดยไม่สนผิดสนถูก ซึ่งนานวันเข้า มันก็ทำให้เธอเกลียดเขามาก แค่เพียงเห็นเขาจากระยะไกล เธอก็หันหลังกลับและเดินหนี แม้ว่าเขาจะรู้สึกเศร้าใจจากเรื่องนี้ไประยะหนึ่ง แต่เขาก็ไม่เสียใจเพราะนอกจา
ผู้ช่วยเฉินอุ้มเสิ่นเหมิงเหมิงกลับไปที่อ้อมแขนของโม่ไป๋แล้วพูดว่า "ประธานโม่" โม่ไป๋รับเสิ่นเหมิงเหมิงมาอย่างระมัดระวัง จัดท่าทางของเด็กน้อยทั้งสองให้ดีเพื่อนอนหลับได้อย่างสบาย และถามว่า "อีกนานแค่ไหนกว่าจะถึง?" “น่าจะอีกประมาณยี่สิบนาที เฮลิคอปเตอร์ก็จะมารับเราไปยังสถานที่ที่จะออกเดินทาง กระบวนการทั้งหมดน่าจะต้องใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษๆ” เมื่อพูดเช่นนี้ ผู้ช่วยเฉินก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้กับลูกๆด้วยความลังเล “พวกคุณหนูเสิ่น จะตื่นขึ้นมาระหว่างทางหรือเปล่าครับ?” หลังจากได้ยินเช่นนั้น โม่ไป๋ก็พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย: "น่าจะไม่ ต่อให้ตื่นขึ้นมา มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก" ผู้ช่วยเฉินมองไปที่เสิ่นหยินอู้และพูดด้วยความลังเลว่า: "ประธานโม่ ของสำหรับปิกนิกเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วจริงๆครับ... " “อืม” โม่ไป๋ตอบรับอย่างเฉยชา ไม่มีปฏิกิริยาพิเศษใดๆ “ผมหมายความว่า ถ้าเรารีบไปก็ยังทันอยู่ พอคุณหนูเสิ่นกับเด็กๆตื่นขึ้น พวกเขาจะแค่คิดว่าพวกเขาเหนื่อยมากจนหลับไป และจะไม่สงสัยอะไร” หลังจากได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดโม่ไป๋ก็หันไปมองเขา “ผู้ช่วยเฉิน คุณอยากจะพูดอะไรกันแน่?” ผู้ช่วยเฉ
ท่าทางของเขาเห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมตัวที่จะรับคำดุด่าว่ากล่าวต่างๆจากเธอไว้แล้ว เสิ่นหยินอู้หายใจเข้าลึกๆ เธอพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะไม่โกรธ เธอมองไปที่ความสูงของเครื่องบิน ในขณะนี้เธอไม่สามารถเห็นตึกรามบ้านช่องที่อยู่บนพื้นดินได้ คาดว่าคงจะบินขึ้นมาได้สักพักแล้ว “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนล่ะ?” เธอถาม “อยู่ข้างหน้า มีคนดูแลอยู่ ไม่ต้องห่วงหรอก” "ฉันอยากเจอพวกเขา" โม่ไป๋พยักหน้า: "ได้ เดี๋ยวผมพาไป" หลังจากนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้น โม่ไป๋พาเธอไปที่อีกห้องหนึ่งของเครื่องบิน ที่ด้านในห้อง เธอเห็นเด็กน้อยสองคนตื่นแล้วและกำลังทานอาหารอยู่ เมื่อพวกเขาสองคนเห็นเธอก็เดินเข้ามาหา แล้วยังยิ้มให้เธอ เห็นได้ชัดว่ามีคนดูแลพวกเขาอย่างดี เด็กน้อยทั้งสองเชื่อใจโม่ไป๋อย่างสุดใจและไม่ได้รู้สึกว่ามีปัญหาอะไร แต่เสิ่นซือเหนียนกลับถามเธอเบาๆว่า "หม่ามี๊ครับ เราตกลงกันไว้ว่าจะไปปิกนิกไม่ใช่เหรอครับ? แล้วทำไมจู่ๆเราถึงขึ้นมาอยู่บนเครื่องบินล่ะครับ?" เสิ่นหยินอู้ยิ้มและเอื้อมมือไปลูบหัวเขาเบาๆ "เปลี่ยนแพลนกะทันหันน่ะจ๊ะ อร่อยมั้ย?" "อร่อยครับ" “งั้นพวกลูกกินกันไปก่อนนะ หม่ามี๊จะไปคุยกับลุงโม
“ความชอบของนาย ก็คือการใช้ความไว้ใจของฉันกับลูกๆที่มีให้นายมาทำให้เราสลบเพื่อบังคับให้เราขึ้นมาบนเครื่องบิน นี่เป็นสิ่งที่นายทำกับคนที่นายชอบงั้นหรอ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น สายตาของโม่ไป๋ก็เศร้าโศกเล็กน้อย “ขอโทษ ผมก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่หยินอู้ ผมใช้เวลามาห้าปี แต่เธอก็ยังไม่ยอมรับผม ผมก็ไม่มีทางเลือก ก็เลยทำได้แค่เลือกทางเลือกสุดท้ายนี้ อย่าโทษผมเลย” หากยังพูดต่อ มันก็คงจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ตอนนี้เธออยู่บนเครื่องบินแล้ว จะระเบิดอารมณ์เป็นบ้าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยิ่งไปกว่านั้น เธอก็ไม่ใช่คนที่มีนิสัยเช่นนี้ เสิ่นหยินอู้สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า: "ฉันไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง ในช่วงเวลานี้ นายลองไปคิดดูใหม่ได้ ถ้านายเปลี่ยนใจแล้วส่งเรากลับไปยังประเทศจีนอย่างปลอดภัย ฉันก็ยังทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นได้อยู่” หลังจากพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรกับเขาอีก เธอเลือกที่นั่งที่หนึ่งแล้วนั่งลง หลับตาด้วยความเหนื่อยล้า ฤทธิ์ของยายังคงหลงเหลืออยู่ในร่างกายของเธอ ตอนนี้เธอยังคงเหนื่อยมาก เมื่อหลับตาลงก็เริ่มรู้สึกง่วงนอน อย่างไรก็ตาม หัวใจและส
โม่ไป๋มองไปที่จานอาหารของเธอและขมวดคิ้วเล็กน้อย “หยินอู้ เธอกินไปนิดเดียวเอง” เธอไม่พูด โม่ไป๋ดูออกว่าเธอในตอนนี้เธอกำลังปฏิเสธเขาอย่างมาก เขาเม้มริมฝีปากบาง จากนั้นก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้ แล้วจึงพูดว่า "ก็ได้ เธอคงจะคิดว่าอาหารที่เชฟคนนี้ทำไม่อร่อย ไม่เป็นไร เดี๋ยวลงจากเครื่องบินแล้วเราค่อยไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน" หลังจากพูดจบ เขาก็ไปเรียกคนมาเพื่อเก็บจานอาหาร จากนั้นโม่ไป๋ก็ยกไวน์แดงเข้ามาแก้วหนึ่ง “ดื่มหน่อยไหม?” "ไม่ ขอบคุณ" โม่ไป๋หยิบแก้วไวน์ขึ้นมาและค่อยๆดื่ม หลังจากดื่มเสร็จแล้ว เขาก็มองเสิ่นหยินอู้อย่างเงียบๆ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้มองเขาเลย เธอหลับตาลงและประสานมือไว้บนหน้าอกของเธอราวกับว่าเธอกำลังหลับอยู่ โม่ไป๋มองดูเธออย่างเงียบๆสักพัก และในที่สุดก็ได้แต่ถอนหายใจ ช่างเถอะ เมื่อไปถึงที่นั่น เขาจะดูแลเธออย่างดี จากนั้นพวกเขาก็ไปถึงประเทศ M ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนตลอดการเดินทาง ระหว่างประเทศ M กับประเทศจีนมีความต่างของเวลาอยู่ ที่จีนในตอนนี้เป็นเวลาดึกแล้ว แต่ที่นี่ยังเป็นเวลากลางวัน “ไปอาบน้ำแล้วก็พักผ่อนที่โรงแรมใกล้ๆสนามบินก่อน เธอกับลูกตื่นเมื่อไร
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะพาลูกๆทั้งสองคนไปด้วยเลย ต่อให้จะมีแค่เธอคนเดียว เธอก็ไม่สามารถหนีไปไหนได้เลยยิ่งไปกว่านั้น โทรศัพท์มือถือของเธอยังอยู่กับโม่ไป๋ และการที่เขากล้าพาเธอมาถึงที่นี่ เขาคงเจอเอกสารทั้งหมดของเธอแล้ว ไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไรกันแน่ หรือว่าเขาเข้าไปในห้องเพื่อหามันในเธอขณะที่เธอกำลังทำอาหารอยู่? เสิ่นหยินอู้คิดด้วยความเศร้าหมอง ดังนั้น ทันทีที่โม่ไป๋เดินเข้ามาหาเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "โทรศัพท์มือถือของฉันล่ะ?" เพราะกลัวว่าเขาจะกลับคำและไม่คืนให้ เสิ่นหยินอู้จึงชิงพูดก่อนว่า: "ก่อนหน้านี้นายบอกฉันว่านายจะคืนโทรศัพท์ให้ฉันหลังจากลงจากเครื่องบินสินะ?" "อืม" โม่ไป๋ไม่ผิดสัญญา เขาหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เธอ เมื่อได้โทรศัพท์มา เสิ่นหยินอู้ก็คิดว่าเธอคิดมากไปเอง เขายอมที่จะคืนโทรศัพท์ให้เธอสินะ? อาจเป็นเพราะสิ่งที่เธอพูดบนเครื่องบินได้ผลงั้นเหรอ? แต่เขาคิดได้เพียงนิดเดียวเท่านั้นเองเหรอ? แต่หลังจากที่เสิ่นหยินอู้เปิดโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้ง เธอก็พบว่ามีสิ่งที่ผิดปกติ ซิมที่อยู่ในโทรศัพท์ของเธอตอนนี้ไม่ใช่อันเดิม ซิมอันเก่าได้ถูกเปลี่ยนออกไปแล้ว ซิมท
ระหว่างทางจนถึงโรงแรม เสิ่นหยินอู้ไม่ได้พูดอะไรกับโม่ไป๋อีกเลยแม้แต่ประโยคเดียว โม่ไป๋พาเธอไปที่โรงแรมที่อยู่ใกล้กับสนามบิน ถึงจะบอกว่ามันอยู่ใกล้ๆ แต่จริงๆแล้วมันก็ใช้เวลาในการขับรถไปเกือบครึ่งชั่วโมง หลังจากจัดการอะไรต่างๆให้เธอแล้ว โม่ไป๋ก็พูดกับเธอว่า "พักผ่อนตามสบายเลย ตอนเย็นผมจะมา..." ปัง! ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ ประตูห้องก็ปิดลงต่อหน้าโม่ไป๋ โม่ไป๋เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดคำพูดที่เหลือให้จบ “มารับเธอ” น่าเสียดายที่เขาไม่ได้รับการตอบกลับใดๆ “ประธานโม่...” ผู้ช่วยเฉินที่อยู่ข้างๆเห็นเช่นนั้นก็เรียกเขาด้วยความลังเล ทำไมมันลำบากเช่นนี้นะ? โม่ไป๋ได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง เขาหันไปสั่งว่า "เฝ้าที่นี่ไว้ให้ดี อย่าให้ใครที่น่าสงสัยเข้าไป" ผู้ช่วยเฉินพยักหน้า “ไม่ต้องห่วงครับประธานโม่ เราจะไม่ให้คนที่น่าสงสัยเข้าไปได้เด็ดขาด คุณไม่ได้พักผ่อนเลยตั้งแต่เมื่อคืน รีบไปพักผ่อนเถอะครับ” โม่ไป๋ไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลา20ชั่วโมงแล้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยดวงตาเส้นเลือดสีแดง ด้วยสถานการณ์ที่เป็นเช่นนี้ในตอนนี้ ต่อให้กลับไปที่ห้อง เขาคงจะนอนไม่หลับอยู่ดี แต่การได้หลับต
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน