คำตอบนี้ทำให้เจียงฉูฉู่ตระหนกตกใจขึ้นมาจริงๆ เดิมทีเธอคิดว่าเขามาถามเรื่องนี้กับเธอเพราะเขาอยากได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่กลับกลายเป็นว่า... เมื่อนึกถึงว่าเขาได้รู้ความจริง ชะตากรรมของเขาคงจะน่าอนาถาเป็นอย่างยิ่ง เจียงฉูฉู่ก็ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก คำพูดของเธอก็ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด “เย่ ตอนนั้นฉันเป็นคนช่วยชีวิตนายไว้จริงๆ อย่าไปฟังหยินอู้พูดอะไรไร้สาระ เธอแค่อยากหลอกนายเพื่อที่จะได้รับความสงสารจากนาย แล้วก็อยากให้นายทิ้งฉันไป” จากคำพูดของเธอ ในที่สุดฉินเย่ก็ได้รับข้อมูลสำคัญที่เขาต้องการ เขาหรี่ดวงตาที่เฉี่ยวคมนั้นอย่างไม่ไว้วางใจ น้ำเสียงเย็นชาจนหาที่เปรียบไม่ได้ “ผมบอกหรอว่าเป็นใคร?” เจียงฉูฉู่อึ้งไปโดยสมบูรณ์ “ตอนนั้นที่ริมฝั่งมีแค่ผมกับเธอไม่ใช่หรอ ทำไมเธอถึงคิดว่าเป็นหยินอู้ที่พูดอะไรกับผม? ถ้าเธอไม่อยู่ที่นั่น เธอจะพูดอะไรมันจะสำคัญด้วยหรอ?” เมื่อพุดถึงตรงนี้ จู่ๆน้ำเสียงของฉินเย่ก็เฉียบคมขึ้นมา “หรือจะบอกว่า ในตอนนั้น ที่นั่นไม่ได้มีแค่เราสองคน แต่ยังมีบุคคลที่สามอยู่ที่นั่นด้วย!” "ไม่! ไม่มี!" เจียงฉูฉู่ส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก เธอหลบสายตาของฉินเย่ "ฉั
เมื่อครู่นี้เจียงฉูฉู่รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่ตอนนี้เธอได้สติกลับคืนมาแล้ว วันนี้ฉินเย่มาที่นี่เพื่อหลอกเธอ แต่ตราบใดที่เธอกัดแน่นไม่ปล่อย ใครหน้าไหนก็ทำอะไรเธอไม่ได้เมื่อคิดเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็มองไปที่ฉินเย่และพูดว่า "นายมันคนเนรคุณ นายมาที่นี่เพื่อหลอกเอาหลักฐาน จะได้กลับไปอธิบายให้เสิ่นหยินอู้ฟังใช่ไหม? ฉินเย่ ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันนะไม่ดีเท่าคนในใจของนายหรอก แต่นายคือคนที่ฉันเสี่ยงชีวิตช่วยไว้ ตอนนั้นฉันเกือบจมน้ำตายในแม่น้ำเพื่อช่วยนาย สำหรับที่เกี่ยวกับเสิ่นหยินอู้มันไม่เกี่ยวกับฉัน แต่ความดีความชอบของฉัน ใครหน้าไหนก็มาแย่งไปไม่ได้ทั้งนั้น นายอยากเป็นคนเนรคุณก็เชิญเลย แต่อย่าคิดจะมาบังคับข่มขู่เพื่อเอาหลักฐานอะไรจากฉัน” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็หันหลังแล้วเดินไปนั่งลงที่ข้างๆเตียง เธอถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปบนเตียงผู้ป่วย “สิบกว่าปีมานี้ ฉันเป็นคนที่ช่วยนายมาโดยตลอด ตอนที่ทุกคนมา พวกเขาก็เห็นแค่ฉันกับนายเท่านั้น ไม่มีเสิ่นหยินอู้อะไรเลยด้วยซ้ำ เธอมีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าเธอเป็นคนที่ช่วยชีวิตนาย ถ้านายไม่อยากยอมรับว่าฉันเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนายไว้ก็เชิญ แสดงหลักฐานมาสิว่
"เกิดอะไรขึ้นกันแน่?" เสี่ยวเหลียนเล่าสิ่งที่เธอรู้คร่าวๆ “อะไรนะ? ฉินเย่มาที่นี่งั้นหรอ?” ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาของคุณแม่เจียง เธอก้าวไปข้างหน้าและจับมือของเจียงฉูฉู่: “ฉูฉู่ ทำไมแกไม่บอกแม่สักคำว่าฉินเย่มาที่นี่? เขามาเยี่ยมแกใช่ไหม?” น่าเสียดายที่ภายในดวงตาของเจียงฉูฉู่เต็มไปด้วยความรู้สึกพ่ายแพ้ เธอดูเหมือนผู้แพ้ที่เพิ่งพ่ายแพ้มาจากสงคราม คุณแม่เจียงเรียกเธอหลายครั้งแต่เธอก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรกลับมา “ฉูฉู่? รีบพูดสิ!” คุณแม่เจียงรู้สึกหงุดหงิดเมื่อเห็นเธอเป็นเช่นนี้ จากนั้นเจียงฉูฉู่ก็เงยหน้าขึ้นและมองเธอด้วยน้ำตา “แม่ เขารู้แล้ว เขารู้แล้ว หลังจากนี้เขาไม่ปล่อยหนูไปแน่ ตระกูลเจียงก็ด้วย” คุณแม่เจียงขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น “รู้อะไร? อธิบายให้แม่ฟังหน่อยสิ” “คือว่าหยินอู้ เสิ่นหยินอู้ เธอได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้ว เธอบอกความจริงกับฉินเย่ ตอนนี้ฉินเย่รู้แล้วว่าหนูไม่ใช่คนที่ช่วยเขาไว้ เขาจะจัดการหนู ต่อไปเขาจะมาจัดการกับเราแน่นอนเลย แม่ เราควรทำยังไงดี?” แม้ว่าคำพูดของเจียงฉูฉู่จะไม่ค่อยต่อเนื่องกัน บางคำถึงขั้นกัดฟันพูด ทำให้เธอได้ยินไม่ชัดด้วยซ้ำ แต่ค
หลังจากที่คุณแม่เจียงจากไป เจียงฉูฉู่ก็ล้มลงไปนอนบนเตียง สัมผัสแก้มที่ถูกจบจนรู้สึกเจ็บของเธอและร้องไห้ออกมาอย่างขมขื่น ไม่ต้องพูดถึงคุณแม่เจียงที่ต้องการจะตบเธอหรอก เธอถึงกับต้องการจะตบตัวเองด้วยซ้ำ จนถึงตอนนี้ เธอตระหนักได้แล้วจริงๆว่าเธอควรจะหยุดไปตั้งนานแล้ว... แต่ทุกอย่าง ดูเหมือนจะสายเกินไปแล้ว จะมีใครที่สามารถช่วยเธอได้บ้าง? บางที... คนที่สามารถช่วยเธอได้อาจจะเป็น เมื่อนึกถึงใครคนนั้น เจียงฉูฉู่ก็กระโดดลงจากเตียงนทันที "เสี่ยวเหลียน รีบพาฉันไปขึ้นแท็กซี่" คืนนี้เป็นคืนที่ยุ่งมากจริงๆ บนระเบียงที่เงียบสงบ ผู้ช่วยเฉินรินชาร้อนๆแก้วหนึ่งให้โม่ไป๋ น้ำชาเดือดปุดๆท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น เจียงฉูฉู่ยืนอยู่ตรงข้ามเขาโดยมีเสี่ยวเหลียนประคองอยู่ข้างๆ เธอยืนอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน โม่ไป๋ก็ไม่ได้เชิญให้เธอนั่งลง แม้แต่ผู้ช่วยเฉินที่อยู่ข้างๆเขาก็เพียงแค่เทชาร้อนเท่านั้น ในขณะที่ออกมา เธอรีบร้อนมาก เธอยังคงสวมชุดผู้ป่วยอยู่ ที่ข้อมือของเธอก็มียังมีแผลที่เกิดจากการกรีดเพื่อจัดฉากฆ่าตัวตาย เสื้อคลุมกันหนาวเพียงตัวเดียวบนร่างกายของเธอก็เป็นเสื้อที่เธอเอามาจากเสี่ยวเหลียน
ถ้าเป็นตามปกติ เธอคงจะหันหลังกลับและเดินจากไป น่าเสียดายที่ในตอนนี้เจียงฉูฉู่ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เธอก้าวไปข้างหน้าหลายก้าว กัดริมฝีปากล่างแล้วพูดว่า "หมายความว่ายังไงที่บอกว่าฉันเอาความรู้สึกของนายมาล้อเล่น? นายคงจะไม่ได้คิดว่าความรู้สึกของนายที่มีต่อเธอนั้นเป็นของจริงใช่ไหม? มันจริงมากจนเธอจะไปอยู่ในอ้อมอกของผู้ชายคนอื่นอยู่แล้วนายก็ยังนิ่งดูดายอยู่ได้งั้นหรอ?” โม่ไป๋มองไปทางผู้ช่วยเฉิน: "พาเธอออกไป" “โม่ไป๋ เสิ่นหยินอู้กำลังจะกลับมาคบกับฉินเย่แล้วนะ หรือว่านายจะปล่อยให้พวกเขาได้อยู่ด้วยกันทั้งๆแบบนี้เหรอ? ฉันรู้ว่านายอยู่กับเสิ่นหยินอู้มาตลอดห้าปี นายรอเธอมาห้าปี นายไม่อยากอยู่กับเธอแล้วหรือไง? ถ้าวันนี้เธอโดนผู้ชายคนอื่นคาบไป นายยอมได้หรือไง?” เจียงฉูฉู่คำรามออกมาอย่างบ้าคลั่งเหมือนผู้หญิงที่เสียสติ เธอกราดเกรี้ยวแทบตาย แต่คนตรงหน้าเธอกลับยังคงสงบนิ่ง “พูดจบหรือยัง?” เจียงฉูฉู่อ้ำอึ้งอยู่กับที่ หมายความว่ายังไง? เธอพูดขนาดนี้ แต่เขาไม่สนใจเลยสักนิดอย่างงั้นเหรอ? มันไม่สมเหตุสมผลเลย เขารอเสิ่นหยินอู้มาหลายปีขนาดนั้น ไม่ใช่เพราะว่าเขาชอบเธอหรอกเหรอ? เป็นเพราะโม่ไป๋อย
เมื่อตื่นขึ้น ทุกสิ่งรอบๆล้วนเงียบสงบ แสงแดดที่อบอุ่น และสายลมอ่อนๆที่พัดมา เสิ่นหยินอู้ตากลมอยู่พักหนึ่งก่อนจะปิดหน้าต่างแล้วหันหลังเดินกลับไปที่ห้องครัวเพื่อทำอาหารเช้า หลังจากที่ฉินเย่ออกไปเมื่อคืนนี้ เดิมทีเธอคิดว่าเธออาจจะนอนไม่หลับเพราะเธอนึกเรื่องในอดีตขึ้นมาได้ ใครจะรู้ว่าเธอจะนอนหลับได้สนิทตลอดทั้งคืน เพียงแค่ชั่วขณะที่เธอนอนลงและคิดถึงเรื่องต่างๆมากมาย เธอก็ผลอยหลับไปโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่เสิ่นหยินอู้ใส่ขนมปังลงในเครื่องปิ้ง เธอก็ได้ยินเสียงกริ่งประตูดังขึ้นเสิ่นหยินอู้ชะงักไป ใครกันที่จะมาที่นี่ในเวลานี้? เธอเดินไปที่ด้านหน้าจอเฝ้าระวังและเห็นร่างที่เธอคาดไม่ถึงว่าเขาจะมา หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็เปิดประตู “โม่ไป๋ นายมาที่นี่ทำไม?” โม่ไป๋ยืนอยู่ที่ประตู ยิ้มให้เธอเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "ทำไมล่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่ต้อนรับผมแล้วเหรอ?" “จะเป็นไปได้ยังไง…” เสิ่นหยินอู้เปิดริมฝีปาก จากนั้นหันกลับมาและให้เขาเข้ามาในห้อง โม่ไป๋เดินเข้าไปในห้อง สายตามองไปรอบๆอย่างแนบเนียน จากนั้นเปิดตู้รองเท้าเพื่อเปลี่ยนรองเท้าเหมือนตามตามปกติ “วันนี้เป็
เธอต้องการปฏิเสธเขาใช่ไหม? เขามาช้าไปเหรอ? หลังจากนั้นไม่นาน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มออกมา “ไม่มีอะไรที่ไม่สะดวกหรอก ขอบคุณที่นายยังให้ฉันอยู่ในฐานะเพื่อนต่อได้นะ แน่นอนว่าได้อยู่แล้ว” เสิ่นหยินอู้คิดเมื่อครู่นี้ว่า ถ้าหากฉินเย่จะจัดการกับปัญหา เขาอาจจะไม่สามารถจัดการมันได้รวดเร็วขนาดนั้น และเธอก็แค่จะพาลูกๆออกไปเล่น คงจะกลับมาในไม่ช้า ต่อให้เขาจะมาหาเธอที่บ้าน ถ้าหากเธอไม่อยู่ เขาก็จะโทรหาเธอถึงตอนนั้นเธอค่อยอธิบายให้เขาทราบก็พอ หลังจากคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ยอมรับคำเชิญของโม่ไป๋ เมื่อเห็นว่าเธอตกลง โม่ไป๋ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วถามว่า "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงล่ะ? ไม่ได้เจอตั้งนาน เด็กน้อยสองคนนั้นคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า?" เนื่องจากทั้งสองคนกลับมามีสถานะเป็นเพื่อนกันแล้ว เสิ่นหยินอู้จึงรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เมื่อได้ยินเขาถามเช่นนี้ เธอจึงยิ้มและพูดว่า "คำถามนี้ นายรอถามพวกเขาด้วยตัวเองดีกว่า คงจะเซอร์ไพรส์มากกว่า" ภายใต้แสงแดดยามเช้า รอยยิ้มของเสิ่นหยินอู้เป็นประกาย แสงในดวงตาของเธอส่องประกายราวกับเศษฝุ่นดวงดาวที่แตกออกมา มันสวยงามมากจนแทบจะละสายตาไปไม
แม้ว่าโม่ไป๋จะบอกว่าไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไร แต่เสิ่นหยินอู้ก็ไปเปิดตู้เย็น เธอเอาวัตถุดิบทั้งหมดที่สามารถใช้งานได้ง่ายๆออกมา แล้วยังไปจัดเตรียมของใช้ที่เด็กๆจำเป็นต้องใช้อีกด้วย เมื่อเตรียมไปได้ครึ่งหนึ่ง โม่ไป๋ก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นเธอกำลังเก็บของ เขาจึงพูดออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า: "ไม่เห็นต้องเอาไปเยอะขนาดนั้นเลย ไปซื้อที่นั่นเอาก็ได้" “ถ้าไปปิกนิก ซื้อของมันไม่ค่อยสะดวก เอาไปเองน่าจะดีกว่านะ แถมมีที่บ้านก็มีของที่ใช้ได้อยู่แล้ว ถ้าไปซื้อแล้วต้องแบกกลับมามันจะกินที่นะ” เสิ่นหยินอู้พูดขณะที่เธอยัดของลงในกระเป๋า โม่ไป๋มองจากด้านข้างและอดไม่ได้ที่จะพูดติดตลก: "แล้วทำไมเธอไม่เอาเครื่องสำอางกับของใช้ส่วนตัวติดตัวไปด้วยล่ะ เผื่อระหว่างทางจะได้เติมหน้า" “ไม่จำเป็นหรอก เราไปปิกนิกกัน ไม่ได้ไปเที่ยวสักหน่อย” เธอขี้เกียจ หลังจากมีลูกแล้ว เมื่อต้องอยู่กับลูกๆ เธอก็ไม่ค่อยได้แต่งหน้าเท่าไร เด็กน้อยทั้งสองชอบมาจูบและเล่นกับใบหน้าของเธอ เธอกลัวว่าลูกๆทั้งสองคนจะมาโดนเครื่องสำอางบนหน้าเธอในขณะที่พวกเขาเข้ามาเล่นใกล้ๆ เธอจึงพยายามหลีกเลี่ยงการแต่งหน้าให้มากที่สุด ไม่เช่นนั้นจะพูดได้อย่าง
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน