เจียงฉูฉู่กัดริมฝีปากล่างของเธอและพูดอย่างลังเล: "แต่เรื่องมันวุ่นวายแบบนี้ ฉันคิดว่าฉันก็ต้องรับผิดชอบด้วย ฉันควรไปกับนายเพื่อไปดูอาการของหยินอู้" “ใช่ เราทุกคนต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้ฉินเย่คงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ ฉันแนะนำให้เธออย่าตามมาเลยจะดีกว่า” หลังจากพูดจบ จี้ชิงเป่ยก็มองไปที่เจียงฉูฉู่ สายตานี้ทำให้เจียงฉูฉู่รู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุความคิดภายในหัวของเธอได้อย่างปราดเปรื่อง ชั่วขณะหนึ่ง เธอไม่กล้าพูดอะไรอีก “งั้น...ก็ได้ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น นายต้องโทรหาฉันนะ ถึงเราจะไม่ได้เจอกันมาห้าปีแล้ว แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงหยินอู้” จี้ชิงเป่ยฝืนพูด อืม ออกมาอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์แล้วจากไป หลังจากที่เขาจากไป ก็เหลือแค่สองคนในที่ตรงนั้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าจี้ชิงเป่ยเดินจากไปไกลแล้วและจะไม่กลับมาอีก เจียงฉูฉู่ซึ่งยืนอยู่ที่เดิมก็รีบหันหลังกลับแล้วเดินไปที่ตรงหน้ากู้เหยียนซี เธอก้มลงไปพยุงเขาลุกขึ้นมา "เอาล่ะ รีบลุกขึ้นได้แล้ว" กู้เหยียนซียังคงรู้สึกเศร้าโศกเสียใจในสิ่งที่เธอพูด ตอนนี้เมื่อเขาเห็นเธอเข้ามาช่วยพยุงเข
สถานการณ์เลวร้ายมากจนเสิ่นซือเหนียนไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ และทำได้เพียงพยักหน้า "ได้ครับ" “โอเค งั้นหนูกับเหมิงเหมิงช่วยดูแลหม่ามี๊ด้วยนะ ลุงเย่มู่จะพาพวกหนูไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” "อืม" เมื่อฉินเย่เห็นว่าเขาตกลง เขาก็มองไปที่ใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ที่หมดสติไป เลือดบนหน้าผากของเธอดูเป็นสีแดงสดมากเมื่อตัดกับสีผิวขาวๆของเธอ ซึ่งมันดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ฉินเย่วางเธอลงอย่างระมัดระวัง ปรับตำแหน่งและท่าทางของเธอ จากนั้นก็ให้เด็กสองคนปกป้องเธอโดยแต่ละคนนั่งอยู่ทางซ้ายและทางขวาเนื่องจากเขากลัวว่าเธอจะตกจากเก้าอี้ขณะขับรถ หลังจากวางเธอเสร็จ ฉินเย่ก็ลุกขึ้นและลงจากรถ ปัง หลังจากที่ประตูรถปิดลง เสิ่นซือเหนียนก็เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่หางตาของเขา จากนั้นใช้มือเล็กๆปกป้องศีรษะของเสิ่นหยินอู้ไว้และเบาพูดๆว่า: "หม่ามี๊สบายใจได้ครับ หม่ามี๊จะต้องไม่เป็นอะไร" เสิ่นเหมิงเหมิงก็ร้องไห้อย่างหนักเช่นกัน ดวงตาที่สดใสและน่ารักของเธอก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยหยดน้ำตาใสๆที่ไหลออกมาจากดวงตาของเธอทีละหยดและตกลงไปบนหลังเท้าของเสิ่นหยินอู้ “เหมิงเหมิง อย่าร้องไห้เลย” เสียงของเสิ่นซือเหนียนดังมาจากด
นอกจากนี้ยังมีเด็กสองคนที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำ พวกเขาตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ในทันทีและพูดอย่างจริงจังขึ้นมาทันที: "งั้นก็ตามเรามา" หลังจากนั้น ตำรวจได้ทำการเคลียร์ถนนให้ฉินเย่ล่วงหน้าและติดต่อกับโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ด้วยความช่วยเหลือจากตำรวจ ในที่สุดรถก็มาถึงที่โรงพยาบาลก่อนเวลาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขาลงจากรถ ฉินเย่ก็อุ้มหยินอู้ออกจากรถและรีบเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เด็กน้อยสองคนวิ่งตามหลังเขาไป หลังจากปัญหามากมาย ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ถูกส่งตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน - คนในครอบครัวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องฉุกเฉิน ดังนั้นฉินเย่จึงทำได้เพียงรออยู่ข้างนอกกับลูกๆสองคนเท่านั้น ขณะนี้ไม่มีใครอยู่รอบๆห้องฉุกเฉิน ที่ทางเดินก็ว่างเปล่า ฉินเย่ดึงเสิ่นซือเหนียนกับเสิ่นเหมิงเหมิงให้นั่งลงข้างๆ เขา “อีกไม่นานหรอก เรารอตรงนี้นะ” เสิ่นซือเหนียนเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นและเงียบมาก เขาไม่ได้ตอบโต้อะไรฉินเย่ เขาไม่ได้นั่งลงข้างๆฉินเย่แต่กลับนั่งในที่ๆห่างจากฉินเย่ ฉินเย่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นว่าเขาอยู่ในที่ไม่ไกลและปลอดภัยอยู่ในสายตาของเขา ฉินเย่จึงไม่บังคับอะ
พูดตามตรง มันมากเพียงพอแล้ว เพราะเหมิงเหมิงยกมือขึ้นหลังจากที่เขาพูดแบบนั้นและพบว่ามันง่ายกว่าการต่อยที่ขามาก ก่อนหน้านี้ที่ฉินเย่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอต้องเปลืองแรงอย่างมากในการยืนเขย่งเท้าถึงจะเอื้อมไปต่อยขาของเขาได้ แต่ตอนนี้ ฉินเย่ก้มหัวลงมาให้ ดังนั้นเหมิงเหมิงจึงสามารถต่อยเขาได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ เพียงแต่…… ฉินเย่ที่อยู่ใกล้ๆเธอมีสายตาที่ดูมืดมนและสีหน้าที่เฉียบคม ซึ่งดูน่ากลัวเล็กน้อย เมื่อต้องเผชิญกับใบหน้าเช่นนี้ จู่ๆเหมิงเหมิงก็ไม่ค่อยกล้าที่จะลงมือ เธอมองไปที่ฉินเย่อย่างขี้ขลาด จากนั้นก็ถอยกลับไปหนึ่งก้าว ฉินเย่สามารถเห็นการกระทำเล็กๆน้อยๆได้อย่างชัดเจน "เป็นอะไรไปล่ะ?" เหมิงเหมิงเม้มริมฝีปากของเธอ: "ถ้าลุงต่อยคืน หนูจะทำยังไงล่ะ?" ลุงเย่มู่ตัวสูงมากขนาดนั้น มือก็ใหญ่โตมาก ถ้าเขาตบเธอแค่ครั้งเดียว เธอคงถึงตายได้อย่างแน่นอน ยิ่งเธอคิด เสิ่นเหมิงเหมิงยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น เธอจึงหันหลังกลับและวิ่งไปหาพี่ชายของเธอ ฉินเย่ที่แต่เดิมเตรียมใจพร้อมแล้วที่จะให้ลูกสาวของเขาต่อยหน้า เขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะหันหลังกลับและวิ่งไป ขณะที่รู้สึกโล่งใ
เขาจะไม่ปล่อยกู้เหยียนซีไปง่ายๆ จี้ชิงเป่ยรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจที่ถูกระงับไว้จากคำพูดของเขา และรู้สึกหมดหนทาง “ที่จริงกูไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันจะกลายมาเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่มีทางอื่น มันกลายเป็นแบบนี้แล้ว หยินอู้ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” ฉินเย่เม้มริมฝีปากบางและเมินเขา ราวกับว่าฉินเย่ไม่ได้คิดที่จะสนใจเขาเลย เมื่อจี้ชิงเป่ยเห็นเช่นนั้น เขาไม่พูดอะไรอีก ได้แต่นั่งเงียบๆบนเก้าอี้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆฉินเย่ก็พูดกับเขาว่า: "มึงไม่ต้องรอที่นี่หรอก" จี้ชิงเป่ย: "กูอยู่ที่นี่แบบไม่พูดอะไรก็ไม่ได้เหรอ?" "ไม่ได้" จี้ชิงเป่ย: "...มึงทำแบบนี้ มันใจร้ายไปหน่อยนะ" “กูใจร้าย แล้วไงต่อล่ะ?” ไม่ยังไงหรอก เขาจะทำยังไงได้อีกล่ะ? อย่างไรก็ตาม จี้ชิงเป่ยยังคงไม่ไปไหน เขาเพียงนั่งอยู่ที่นั่น เป็นเวลาเนิ่นนาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะถูกกระตุ้นจากบางสิ่ง เขาหันหน้าไปจ้องมองเขาด้วยสายตาอันมืดมนที่ไม่พอใจ “จี้ชิงเป่ย อย่าบังคับให้กูต้องลงไม้ลงมือ” หากไม่มีเด็กสองคนอยู่ที่นั่น ฉินเย่คงจะกระชากคอเสื้อของเขาแล้วลากเขาไปที่อื่นไปนานแล้ว ใครจะไปให้เขาอยู่ที่นี่กันล่ะ? “งั้นเหรอ
เมื่อฉินเย่ไม่ตอบอะไร จี้ชิงเป่ยก็พูดอีกครั้ง: "เสิ่นหยินอู้ยังไม่ได้สติหรอ?" หลังจากได้ยิน ในที่สุดฉินเย่ก็ตอบสนองได้และพูดอย่างเย็นชา: "ไม่เป็นอะไรหรอก พวกเขาทั้งสองฉลาดมาก" แม้ว่าจะไม่มีเขาอยู่ด้านใน แต่เด็กน้อยทั้งสองก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเสิ่นซือเหนียน เขาต้องมีวิธีดูแลแม่ของเขาได้เป็นอย่างดีแน่นอน เพียงแต่…… “แต่สุดท้ายพวกเขาก็เป็นแค่เด็กสองคน” จี้ชิงเป่ยกล่าว: “ถ้ามีอะไรไม่คาดฝันเกิด...” ฉินเย่พูดแทรกเขา: "เดี๋ยวกูเฝ้าอยู่ที่นี่" "ก็ได้" “มึงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ ไปได้แล้ว” เมื่อจี้ชิงเป่ยเห็นท่าทางที่ดื้อรั้นของฉินเย่ เขาคิดว่าหากเขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงจะไม่มีอะไรที่เขาสามารถช่วยได้ แต่... เขาคิดอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับฉินเย่อีก เขาจึงไปนั่งที่เก้าอี้ยาวตรงทางเดินและรออย่างเงียบ ๆ ฉินเย่ยืนอยู่ด้านนอกห้องผู้ป่วย เขาพิงกำแพงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรหาหลี่มู่ถิง เมื่อเขาวางสาย ฉินเย่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็หันกลับมาแล้วผลักประตูห้องผู้ป่วยเข้าไปอย่างรวดเร็ว อย่างที่ค
หลังจากเป้าหมายสำเร็จแล้ว ฉินเย่ก็ถือโทรศัพท์ออกมาจากห้องผู้ป่วย หลังจากออกจากห้องผู้ป่วย เขาก็กดรหัสผ่านเพื่อปลดล็อคประตู หลังจากปลดล็อคหน้าจอ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาก็หายไป อย่างที่คิด หน้าที่อยู่บนจอจากก่อนหน้านี้คือหน้าการโทร หน้าการโทรอยู่ที่หน้าที่มีชื่อของโม่ไป๋แล้วด้วย หากเขาเข้ามาหลังจากนั้นแค่วินาทีเดียว เบอร์นี้ก็คงจะถูกกดโทรออกไปแล้ว โชคดีที่เขามาทันเวลาพอดี ฉินเย่คลิกที่ชื่อของโม่ไป๋ แทบจะอยากจะลบชื่อของเขาออกจากสมุดที่การโทรของเสิ่นหยินอู้อย่างวู่วาม สุดท้ายเขาก็อดทนไว้ ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ลบไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร หากมีอะไรระหว่างเธอกับโม่ไป๋จริงๆ มันก็ไม่มีประโยชน์เลยที่เขาจะลบเบอร์โทรศัพท์ของโม่ไป๋ ฉินเย่ล็อคหน้าจอโทรศัพท์ และเลือกที่จะไม่มองมัน ภายในห้องหลังจากที่ฉินเย่ออกไป เด็กน้อยทั้งสองคนก็เดินเข้ามากระซิบพูดคุยกัน “พี่ชาย เอามือถือของหม่ามี๊ให้เขาไปแบบนี้ จะไม่เป็นไรหรอคะ?” เหมิงเหมิงกังวลเล็กน้อย อย่างไรเสีย หม่ามี๊ก็ยังมีเงินอยู่ในโทรศัพท์อีกตั้งมากมาย ถ้าลุงเย่มู่ขโมยเงินทั้งหมดไปจะทำอย่างไรล่ะ? แต่แล้วเธอก็ค
หลี่มู่ถิงที่บังเอิญไปจี้ใจดำของใครบางคนได้ตรงจุดพอดีแอบรู้สึกสะใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะกล้าพูดเรื่องแบบนี้กับฉินเย่ได้อย่างไรกัน? แค่พริบตาเดียวก็ถูกสายตาของเขาแช่แข็งจนตายได้แล้ว และประธานฉินก็ไม่ส่งเสริมพฤติกรรมเช่นนี้ของเขาอีกด้วย แต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป หลังจากที่คุณหนูเสิ่นและเด็กสองคนนั้นปรากฏตัวขึ้น อารมณ์ของประธานฉินก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้เป็นตอนที่เขาหยอกเล่น ประธานฉินก็แค่บอกให้เขาไสหัวไป ดูเผินๆก็เหมือนว่าเขาจะโกรธ แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้โกรธ เหมือนกับเมื่อครู่นี้ หลังจากฟังสิ่งที่เขาพูด ฉินเย่ก็พูดเพียง "ไสหัวไป" แต่หลังจากพูดจบไปไม่กี่วินาที สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ถึงขั้นพูดเร่งเขา: "รีบไปจัดการ จัดการเสร็จก็ไปซื้อของที่เด็กๆชอบกินมาด้วย” หลี่มู่ถิงจึงลงไปชั้นล่าง ตอนที่เดินออกมา เขาเดินผ่านจี้ชิงเป่ยและสบตากับเขา เมื่อคิดดูในตอนนี้ หลี่มู่ถิงก็อดไม่ได้ที่จะเกาหัว ทำไมจี้ชิงเป่ยถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ? วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เมื่อเขาซื้อของเสร็จและกลับไปแล้ว เขาต้องถามให้ละเอียดชัดเจน หลี่มู่ถิงขับรถออกไป ตั้งใจไปที่สนามเด็กเล่นในบริ
ขณะที่ทั้งสามคนกำลังคุยกัน พวกเขาก็เดินไปที่ประตู ดังนั้นเสียงของพวกเขาจึงดังลอดผ่านประตูเข้าไปถึงหูของเสิ่นหยินอู้ได้อย่างชัดเจน เสิ่นหยินอู้ชะงักไปชั่วคราว เธอเงยหน้าขึ้นมองฉินเย่ กดเสียงลงแล้วพูดว่า "ฉันต้องออกไปแล้ว ไม่งั้น..." คำพูดของเธอถูกขัดจากการที่ฉินเย่โน้มตัวเข้าไปหาเธออย่างกะทันหันลมหายใจที่ร้อนรุ่มของฉินเย่กระทบเข้ากับใบหน้าของเธอ ออร่าของเขาปกคลุมเธอเธอไว้ และริมฝีปากบางแนบกดลงไปบนมุมปากของเธอ เสียงของเขาแหบห้าว: "ขอจูบอีกที" ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็จูบเธออีกครั้งในทันทีโดยไม่รอให้ได้ทันเธอโต้ตอบอะไรทั้งนั้น "อื้อ" เสิ่นหยินอู้ยังไม่ทันได้ผลักเขาออกไปก็ถูกเขาจูบอีกครั้ง เธอส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่เธอก็ตระหนักได้ว่าเสียงที่เธอเปล่งออกมาอาจทำให้คนที่อยู่นอกประตูได้ยินเข้า ดังนั้นเธอจึงรีบกลั้นเสียงนั้นไว้ในลำคอ เธอยื่นมือออกไปขวางไว้ระหว่างหน้าอกของฉินเย่ด้วยท่าทางที่ตื่นตระหนกเล็กน้อย เขาที่ช่างกล้าจริงๆ เขายังทำอะไรเช่นนี้ได้ในขณะที่เด็กๆกับหลี่มู่ถิงมาตามหาเธอ... เนื่องจากเด็กๆอยู่ข้างนอก เสิ่นหยินอู้จึงไม่กล้าแม้แต่จะดิ้นขัดขืนเพราะกลัวว่าพวกเขาจะไ
“ก่อนออกเดินทาง เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนถามฉันว่าพวกเขาจะได้เจอคุณเมื่อไร”เสิ่นหยินอู้พิงอยู่ในอ้อมแขนของเขาและพูดเบาๆ "อืม" ฉินเย่ตอบแล้วพูดว่า: "พวกเขาน่ะ ผมว่าจะไม่ไปเจอ" เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นจากอ้อมแขนของเขาด้วยท่าทางสับสน: "ทำไมล่ะ? คุณมาหาฉันแล้ว แล้วทำไมไม่ไปเจอพวกเขาด้วยเลยล่ะ?" ฉินเย่ก้มหน้าลง มองเธอด้วยสายตาที่จริงจัง แล้วสัมผัสริมฝีปากสีแดงของเธอเบาๆ "ไว้รอผมกลับไปค่อยเจอ แต่ผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้น... ในตอนที่เจอกันอีกครั้ง พวกเขาจะเปลี่ยนคำเรียกผม โอเคไหม?” เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและไม่ตอบอะไร “ยังไม่ยอมอีกเหรอ?” เขาสัมผัสหน้าผากของเธออย่างอ่อนโยนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบห้าวและต่ำ “คุณให้ผมจูบมานานขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่ยอมอีกล่ะ?” เดิมทีเขารู้สึกหึงหวงเล็กน้อยที่รู้สึกว่าเขายังต้องแข่งกับโม่ไป๋อยู่ แต่หลังจากการจูบครั้งนี้ ความหึงหวงภายในใจของฉินเย่ก็หายไปในทันที เพราะเขาสัมผัสได้ถึงการตอบสนองและความไว้วางใจของเธอ ตอนนี้เพียงแค่ต้องรอให้เขาจัดการเรื่องทางนี้ให้เสร็จ และหลังจากที่กลับไป พวกเขาสี่คนก็สามารถอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ