“ผมจำได้ว่าในงานประมูลครั้งครั้งก่อน ฉินเย่ดูเหมือนจะพาเจียงฉูฉู่ไปเข้าร่วมด้วย” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลี่มู่ถิงก็อธิบายอย่างรวดเร็วว่า: "ก็ใช่ แต่ครั้งนั้นเป็นเพราะคำสั่งของคุณแม่ของประธานฉิน แล้วตอนนั้นคุณเจียงมีของที่ต้องการประมูลด้วย พวกเขาก็เลยไปด้วยกัน" “แล้ว?” จี้ชิงเป่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย: “เขาเจอหยินอู้เมื่อไร? หยินอู้กลับมาเมื่อไร? เด็กสองคนนั้น...เป็นลูกของเขาเหรอ?” หลี่มู่ถิง "ถ้าไม่งั้นล่ะครับ? แค่เห็นหน้าตาของเด็กสองคนนั้นก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นลูกของประธานฉินใช่ไหมล่ะ?" เมื่อได้ยิน จี้ชิงเป่ยก็หัวเราะเบาๆ : "ก็ใช่ พวกเขาเหมือนกันมาก" โครงหน้าของพวกเขาเหมือนกับของฉินเย่ทุกประการ ช่วงตาและระหว่างคิ้วก็เหมือนกับเสิ่นหยินอู้ ไม่จำเป็นต้องไปตรวจดีเอ็นเอด้วยซ้ำ แค่เห็นก็แทบสามารถแยกได้ด้วยตาเปล่า หลี่มู่ถิงมองเขา อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฉินเย่ให้ท้ายเขา มันจึงทำให้เขามีความกล้ามากยิ่งขึ้น “แล้ววันนี้ทำไมคุณจี้ถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?” เดิมทีหลี่มู่ถิงคิดที่จะถามให้ชัดว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่เพราะหลังจากฉินเย่เข้าไปในห้องผู้ป่วย เขาเดาว่าฉินเย่น่าจะไม่ออกมาสักพ
ณ ห้องผู้ป่วยเหมิงเหมิงได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตูและมองไปที่เสิ่นซือเหนียนในทันที หลังจากที่เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าให้เธอ เขาก็เห็นด้วยกับฉินเย่ที่จะเข้ามา จากนั้นประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดออก เด็กทั้งสองเห็นฉินเย่เดินเข้ามาพร้อมกับถุงใบใหญ่สองใบในมือ เสิ่นเหมิงเหมิงมองไปที่ถุงทั้งสองใบโดยไม่รู้ตัวและโพล่งออกมา “ลุงเย่มู่ ซื้ออะไรมาหรอคะ?” หลังจากถาม เสิ่นเหมิงเหมิงก็ตระหนักได้ว่าเธอพูดอะไรไป และรีบยื่นมือออกไปปิดปากของเธอ ดวงตากลมโตที่แวววาวฉ่ำน้ำของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ แย่แล้ว! เธอตัดสินใจที่จะไม่สนใจลุงเย่มู่แล้วแท้ๆ แล้วทำไมเธอถึงถามออกไปในทันทีที่เห็นของที่อยู่ในมือของเขาโดยไม่รู้ตัวล่ะ? “อืม” ดวงตาที่เฉี่ยวคมของฉินเย่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และวางถุงในมือลงบนโต๊ะ “ลุงให้ผู้ช่วยหลี่ไปซื้อของกินมาให้พวกหนู” ในขณะที่พูด ฉินเย่ก็หยิบอาหารออกมาจากถุงแล้ววางลงบนโต๊ะ เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นเช่นนั้น ทั้งคู่ก็ยืนอยู่ที่เดิมและกำมือไว้แน่นโดยไม่พูดอะไร ภายในห้องผู้ป่วยเงียบกริบ ฉินเย่ใช้หางตาของเขามองดูเด็กน้อยสองคนที่ยังคงไม่ขยับไปไหน เขาค่อยๆวางอาหารแต่ละอย่างลงบนโต๊ะ
และที่สำคัญที่สุดคือ ลุงเย่มู่ซื้ออาหารพวกนี้มาเยอะมากแล้ว ถ้าให้ลุงโม่ไป๋มา... “พี่ชาย……” อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะได้ทันคิด เสิ่นเหมิงเหมิงก็หิวมากจนเธอทนไม่ไหวอีกต่อไปและเริ่มกระตุกชายเสื้อของเขา เสิ่นซือเหนียนรู้สึกหมดหนทาง ในตอนที่กำลังจะขอโทรศัพท์คืนจากฉินเย่ จู่ๆฉินเย่ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารและมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าทั้งสองคน “ซุบซิบอะไรกันอยู่หรอครับ?” ทันทีที่เธอเห็นเขา เสิ่นเหมิงเหมิงก็หันหนีจากเขาทันที ฉินเย่เอื้อมมือออกไปแตะหัวของเธอเบา ๆ “โกรธลุงเย่มู่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” "ฮึ" เสิ่นเหมิงเหมิงไม่อยากคุยกับเขาเลยสักนิด ฉินเย่ทำได้เพียงใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปที่หลังคอของเธอ "ลุงเย่มู่ผิดไปแล้ว ขอโทษเหมิงเหมิงกับพี่ชายด้วยนะ พวกหนูสองคนให้อภัยลุงเย่มู่ได้ไหมครับ?" "ไม่ได้!" เหมิงเหมิงซึ่งแต่เดิมต้องการเมินเขาพูดด้วยความโกรธทันที “ไม่ให้อภัยก็ไม่เป็นไร แต่พวกหนูจะไม่กินจริงหรอ? จะให้ตัวเองอดตาย เดี๋ยวก็หิวจนเป็นลมพอดี ถ้าหม่ามี๊ตื่นขึ้นมาไม่เห็นพวกหนูทำยังไงล่ะ?” ช่วยไม่ได้ ฉินเย่ทำได้เพียงใช้วิธีอ้อมๆเท่านั้น เด็กก็เป็นแค่เด็กอยู่วันยังค่ำ เมื่อได้ยินฉินเย่พูด
ดังนั้นในท้ายที่สุด เสิ่นซือเหนียนจึงวางมือเล็กๆของเขาลงไปบนมือใหญ่ๆที่ดูอบอุ่น และเขาก็ถูกจูงไป หลี่มู่ถิงซื้อของมากมายหลายอย่างเพราะเขาไม่รู้ว่าเด็กๆชอบกินอะไร เขาจึงซื้อของกินมาเกือบทุกอย่าง ดังนั้นเมื่อจัดวางพวกมันไว้บนโต๊ะ ของกินที่ดูน่าเอร็ดอร่อยก็ดูมีให้เลือกเต็มไปหมด เสิ่นเหมิงเหมิงถูกอุ้มมาวางลงบนเก้าอี้ ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเห็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด “ลุงเย่มู่ ทั้งหมดนี่สำหรับเหมิงเหมิงกับพี่ชายหรอคะ?” "ใช่ครับ"ในขณะที่พูด ฉินเย่หยิบผ้าเช็ดปากสีขาวสองผืนออกมาแล้วปูบนโต๊ะด้านหน้าของเสิ่นเหมิงเหมิงและเสิ่นซือเหนียน ช่วงนี้เขาดูแลพวกเขามานานมากแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้แน่ชัดว่าเด็กสองคนนี้ชอบอะไร แต่หลี่มู่ถิงก็รู้ว่าเด็กๆต้องใช้อะไรบ้างในการรับประทานอาหาร ดังนั้นตอนที่ไปซื้อของเมื่อครู่นี้ เขาก็ซื้อมันมาด้วย เสิ่นเหมิงเหมิงกับเสิ่นซือเหนียนนั่งอยู่ที่นั่น เขามองดูฉินเย่ยุ่งหัวหมุนอยู่กับสองพี่น้อง เสิ่นเหมิงเหมิงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากที่เมินและปากแข็งกับเขาในตอนแรก กลายเป็นค่อยๆลดความระมัดระวังลง และเริ่มพูดสั่งฉินเย่ “ลุงเย่มู่ หนูอยากกินอันนี้!
ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน มีเพียงแสงสลัวๆจากไฟดวงเล็กๆที่เปิดอยู่ในห้องผู้ป่วย แสงไฟนุ่มนวลไม่แทงตา ดังนั้นเมื่อเสิ่นหยินอู้ลืมตาขึ้นมา เธอจึงไม่ได้รู้สึกไม่สบายตา เมื่อมองไปรอบๆ ในไม่ช้าเสิ่นหยินอู้ก็เห็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งอยู่ที่ข้างเตียงของเธอ ฉินเย่... เสิ่นหยินอู้ซึ่งแต่เดิมสมองยังคงว่างเปล่า หลังจากเห็นฉินเย่ เธอก็นึกขึ้นได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ สติของเธอหายไปหลังจากที่หน้าผากของเธอไปกระแทกโดนอะไรบางอย่าง และเธอก็จำสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ได้เลย ตอนนี้ดูเหมือนว่าในตอนนั้นเธอคงจะได้รับบาดเจ็บ แล้วฉินเย่ก็มาส่งเธอที่โรงพยาบาลงั้นเหรอ? โรงพยาบาล…… แล้วเหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนล่ะ? เมื่อเขาคิดถึงพวกเขา เสิ่นหยินอู้ที่ยังคงนอนอย่างสงบอยู่ก็รู้สึกกระวนกระวายจนอยากจะลุกขึ้นมานั่งในทันที แต่ทันทีที่เธอส่งเสียง เธอก็ปลุกฉินเย่ที่กำลังพิงขอบเตียงเพื่อหลับตาพักผ่อนอยู่ ฉินเย่ลืมตาสีดำเข้มของเขาขึ้น เธอสบตากับเขาเข้าโดยไม่คาดคิด วินาทีต่อมา ฉินเย่ยืนขึ้นเพื่อมาพยุงเธอ “ตื่นแล้หรอ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?” เสียงของเขาฟังดูต่ำและแหบแห้ง ราวก
สีหน้าของฉินเย่แข็งทื่อ เส้นเลือดบนหน้าผากของเขาก็ปูดขึ้นเพราะคำพูดของเธอ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาเป็นปกติ ราวกับว่าเขาได้กำจัดอารมณ์ลบๆเมื่อครู่นี้ทั้งหมดแล้ว “คุณหิวน้ำไหม เดี๋ยวผมเทน้ำอุ่นให้นะ” เสิ่นหยินอู้จ้องมองเขาอย่างเรียบเฉย ฉินเย่สบตาเธอหลายวินาที จากนั้นลุกขึ้นไปรินน้ำอุ่นให้เธอ "ผมวัดอุณหภูมิแล้ว น่าจะกำลังพอดี" เสิ่นหยินอู้มองแก้วน้ำตรงหน้าเธอแล้วปฏิเสธ: "ไม่กิน" “คุณไม่ได้กินอะไรเลยทั้งคืน แล้วก็นอนมานานตั้งแล้ว ดื่มน้ำอุ่นๆให้ชุ่มคอก่อนเถอะ” ในขณะที่พูด ฉินเย่ก็เอาแก้วน้ำเข้าไปใกล้ๆปากของเสิ่นหยินอู้ เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วและหันหน้าหนี: "ฉันบอกว่าไม่กิน" ฉินเย่อยู่ท่าเดิมครู่หนึ่ง และในที่สุดก็วางแก้วน้ำลง “งั้นกินอะไรหน่อยไหม? คุณอยากกินอะไร?” ในขณะนี้ เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดเช่นไร เธอหัวเราะเยาะเบาๆแล้วพูดว่า: "ฉันไม่อยากกินน้ำ ไม่อยากกินอะไร แล้วก็ไม่อยากเห็นหน้าคุณด้วย ถ้าคุณรู้สึกผิดเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็เลยอยากทำอะไรเพื่อฉัน งั้นก็โทรตามโม่ไป๋มาที่นี่ให้ฉัน” หลังจากที่เธอพูดชื่อโม่ไป๋ ฉินเย่ซึ่งสงบมาโดยตลอดก็หน้าบูดบึ้
“ไม่ต้องเฝ้าหรอก” ฉินเย่เม้มริมฝีปากบางของเขาแล้วมองเธออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ลุกขึ้นและออกไป เสิ่นหยินอู้: "..." ไม่รู้ว่าเธอคิดไปเองหรือเปล่า แต่เธอรู้สึกว่าสายตาของฉินเย่ที่มองมาที่เธอเมื่อครู่นี้เหมือนกับว่าเขาน้อยใจ หลังจากตอบสนองได้ จู่ๆเสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกโกรธเล็กน้อย เขาน้อยใจอะไร? คนเจ็บคือเธอ ไม่ใช่เขา มีอะไรให้เขาน้อยใจกัน? ปัง ประตูห้องผู้ป่วยถูกปิดลง และฉินเย่ก็ออกไป เสิ่นหยินอู้พลิกตัวเบาๆ บาดแผลยังคงเจ็บอยู่เล็กน้อย แต่เธอพลิกไปจนสามารถที่จะมองเห็นเด็กๆ เธอนอนตะแคงและมองดูพวกเขา เด็กน้อยสองคนนอนหลับสนิทปราศจากความกังวล เป็นเพราะพวกเขารู้ว่าเธออยู่ที่นี่ หรือเพราะพวกเขารู้ว่าคนในห้องผู้ป่วยคือฉินเย่? เนื่องจากแผลบนหน้าผากของเธอยังเจ็บอยู่ เสิ่นหยินอู้จึงไม่มีกะจิตกะใจจะไปคิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องอื่น ในไม่ช้าสติของเธอก็เลือนลางลง ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงหลับไปอีกครั้งโดยหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง เพียงแต่เธอไม่ได้หลับสนิท สติของเธอฟื้นคืนมาและหายไปเป็นครั้งคราว บางครั้ง เธอก็นึกถึงบุคคลที่อยู่ด้านนอกห้องผู้ป่วย แต่เหตุผลของเธอทำให้เธอไม่สามารถคิดอะไรไร้
เธอไม่ได้ตกลง แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน หัวใจของฉินเย่ซึ่งแขวนอยู่บนด้ายตั้งแต่แรก ในที่สุดก็สงบลง เขามองแผนหลังของเธอที่นอนตะแคงอยู่และยกริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาอยากให้เธอสงสาร... แต่เพราะตอนนี้อุณหภูมิภายนอกเป็นเลขหลักเดียว เขารู้สึกหนาวจริงๆเมื่อต้องอยู่ข้างนอกด้วยเสื้อกล้ามเพียงตัวเดียว อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้พักหนึ่งเขามีเลือดออกในท้องแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายดี ร่างกายจึงมีความบกพร่องบ้างเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาสามารถบอกให้หลี่มู่ถิงไปหาเสื้อคลุมอีกตัวมาให้เขาได้ แต่ก็แค่ต้องใช้เวลาเล็กน้อย หลี่มู่ถิงก็เสนอเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ แต่ในขณะนั้น ฉินเย่อยากลองเข้ามาและมันก็จะดีถ้าได้อยู่ด้านใน แน่นอนว่าเขาทำสำเร็จ แม้ว่าในห้องจะหนาวเหมือนกัน แต่หัวใจของฉินเย่ก็ค่อยๆอบอุ่นขึ้นเมื่อเขาเห็นสภาพของเธอและลูกๆที่นอนอย่างสงบอยู่บนเตียง หลังจากนั่งได้สักพักเขาก็ลุกขึ้นไปเทน้ำร้อนให้ตัวเอง เสียงน้ำดื่มของเขาดูดังขึ้นมาเล็กน้อยท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบ ตั้งแต่เย็นจนถึงตอนนี้ เสิ่นหยินอู้กังวลมากจนยังไม่ได้กินอะไรหรือดื่มน้ำเลยสักอึก และตอนนี้เธอก็รู้สึกกระหายน้ำเล
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ