เธอไม่ได้ตกลง แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธเช่นกัน หัวใจของฉินเย่ซึ่งแขวนอยู่บนด้ายตั้งแต่แรก ในที่สุดก็สงบลง เขามองแผนหลังของเธอที่นอนตะแคงอยู่และยกริมฝีปากบางขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเขาอยากให้เธอสงสาร... แต่เพราะตอนนี้อุณหภูมิภายนอกเป็นเลขหลักเดียว เขารู้สึกหนาวจริงๆเมื่อต้องอยู่ข้างนอกด้วยเสื้อกล้ามเพียงตัวเดียว อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้พักหนึ่งเขามีเลือดออกในท้องแต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่หายดี ร่างกายจึงมีความบกพร่องบ้างเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาสามารถบอกให้หลี่มู่ถิงไปหาเสื้อคลุมอีกตัวมาให้เขาได้ แต่ก็แค่ต้องใช้เวลาเล็กน้อย หลี่มู่ถิงก็เสนอเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ แต่ในขณะนั้น ฉินเย่อยากลองเข้ามาและมันก็จะดีถ้าได้อยู่ด้านใน แน่นอนว่าเขาทำสำเร็จ แม้ว่าในห้องจะหนาวเหมือนกัน แต่หัวใจของฉินเย่ก็ค่อยๆอบอุ่นขึ้นเมื่อเขาเห็นสภาพของเธอและลูกๆที่นอนอย่างสงบอยู่บนเตียง หลังจากนั่งได้สักพักเขาก็ลุกขึ้นไปเทน้ำร้อนให้ตัวเอง เสียงน้ำดื่มของเขาดูดังขึ้นมาเล็กน้อยท่ามกลางค่ำคืนที่เงียบสงบ ตั้งแต่เย็นจนถึงตอนนี้ เสิ่นหยินอู้กังวลมากจนยังไม่ได้กินอะไรหรือดื่มน้ำเลยสักอึก และตอนนี้เธอก็รู้สึกกระหายน้ำเล
หลังจากพูดจบ เธอก็ดื่มน้ำในแก้วที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งจนหมด แล้วจึงยื่นให้เขา ฉินเย่เอื้อมมือไปรับมันด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดออกมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย: "คุณอยากไปเข้าห้องน้ำไหม?" เสิ่นหยินอู้: "..." ทำไมเป็นคำถามนี้อีกแล้ว? เธอต้องการที่จะปฏิเสธมาก แต่ให้ตายเถอะ ดูเหมือนเธอจะอยากไปห้องน้ำขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจริงๆ... ดังนั้น ใบหน้าของเสิ่นหยินอู้จึงบูดบึ้งขึ้นมา ประเด็นคือ ฉินเย่ทำท่าเหมือนจะเข้าใจจริงๆ "เดี๋ยวผมอุ้มคุณไป" จากนั้นเขาก็อุ้มเธอขึ้นมาอีกครั้งและพาเธอไปที่หน้าห้องน้ำ โชคดีที่ตอนนี้น้ำเกลือหมดแล้ว มือของเธอเป็นอิสระขึ้นมาก และอาการบาดเจ็บก็อยู่ที่หน้าผาก ดังนั้นการเข้าห้องน้ำจึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร หลังจากเข้าห้องน้ำ ฉินเย่เปิดฝาชักโครกให้เธอและเตรียมทิชชู่ให้เธอล่วงหน้า หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็พูดกับเธอว่า: "ผมจะรอคุณอยู่ข้างนอก เสร็จแล้วบอกผม" แล้วเขาก็ออกไป พร้อมกับปิดประตูให้เธอ อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ถามด้วยเสียงแผ่วเบา: "คุณอยู่ข้างนอกหรือเปล่า?" เสียงของฉินเย่จากข้างนอกดังเข้ามาทันที
คำพูดที่บอกว่าเขาไม่ต้องการลูกทำให้ฉินเย่ขมวดคิ้วและตอบกลับโดยไม่รู้ตัว: "ผมบอกตอนไหนว่าผมไม่ต้องการลูก?" ปฏิกิริยาของเขาทำให้ เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่ามันน่าขันมากขึ้นไปอีก “หยุดทำไขสือได้แล้ว อย่าคิดว่าเพราะคุณไม่ได้พูดออกมาจากปาก มันก็เลยกลายเป็นว่าคุณไม่ได้ทำ” คำพูดเหล่านี้ทำให้ฉินเย่ขมวดคิ้ว เพราะมันไม่สมเหตุสมผลเกินไป ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแก้ต่างให้ตัวเอง “ในเมื่อผมไม่ได้พูดออกมาจากปากผมเอง แล้วทำไมผมถึงเป็นคนทำล่ะ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็แสดงสีหน้าที่ยากจะเชื่อบนใบหน้าของเธอ "ฉินเย่ คุณไม่กล้าพอที่จะยอมรับหรอ?" ฉินเย่รู้สึกอารมณ์เสียเล็กน้อย “ในเมื่อผมไม่ได้พูดเอง ทำไมผมต้องยอมรับด้วย?”เสิ่นหยินอู้ยิ้มอย่างดูถูก: "ฉันไม่คิดเลยว่าคุณจะเป็นคนขี้ขลาดขนาดนี้ คุณไม่กล้าแม้แต่จะยอมรับในสิ่งที่คุณทำแล้วยังมาเล่นเกมปั่นประสาทกับฉัน" “ผมไปเล่นเกมปั่นประสาทกับคุณตั้งแต่เมื่อไร?” เสิ่นหยินอู้: "ไม่ได้เล่นเกมปั่นประสาทแล้วทำไมคุณถึงไม่ยอมรับล่ะ?" “คุณจะให้ผมยอมรับในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำได้ยังไง?” เธอรู้สึกว่าเขาพูดไม่รู้เรื่องแล้ว เขาแค่พูดลอยๆ ไม่มีหลักฐานด้วย
“ผมไม่เคยเห็นมันเลยจริงๆ ไม่งั้นคุณคิดว่าผมจะไม่ตอบกลับเรื่องที่สำคัญขนาดนี้กับคุณเหรอ? เราโตมาด้วยกันนะ คุณคิดว่าผมเป็นคนแบบนั้นเหรอ?” “ใช่ไง เราโตมาด้วยกัน ฉันคิดว่าฉันรู้จักคุณดีพอ แต่ใครจะไปรู้ว่าคุณจะเปลี่ยนไปไหม? ยังไงฉูฉู่ก็คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตของคุณ มันก็เป็นไปได้ที่คุณจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเธอ” “หรือว่าคุณคิดว่าผมจะทำร้ายคุณลงเพื่อเธองั้นเหรอ?” คำถามนี้... เสิ่นหยินอู้มองเขาอย่างเย้ยหยัน: "หรือคุณไม่ได้ทำร้ายฉันเพื่อเธอล่ะ?" ฉินเย่ถามว่า: "เมื่อไร?" เมื่อไร? แล้วเขามีหน้ามาถามเธอว่าเมื่อไรงั้นหรอ? เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูด ฉินเย่จึงพูดว่า "ถ้าคุณหมายถึงเรื่องหย่า ผมอธิบายได้" เสิ่นหยินอู้ไม่ตอบ “ตอนแรกที่เราแต่งงานกัน เราเคยคุยกันไว้ก่อนว่าจะแต่งงานปลอมๆใช่ไหม?” หลังจากได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็มองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร ฉินเย่พูดต่อ: "ตอนนั้นคุณพูดอะไรกับผมล่ะ? เราจะหย่ากันหลังจากที่คุณย่าผ่าตัดเสร็จ" “ฉันไม่ได้เป็นคนพูด” เสิ่นหยินอู้โต้กลับ “คุณเป็นคนพูดเอง” “ลืมหรอ?” รอยยิ้มของฉินเย่หดหู่เล็กน้อย: “ตอนที่เราตื่นขึ้นมาในตอนเช้าของวันที่ห้าหลังจาก
“ตอนนั้นที่ตระกูลเสิ่นตกที่นั่งลำบาก ฉันรู้สึกขอบคุณมากที่คุณช่วยฉัน แต่คุณคงยังไม่ลืมเหตุผลที่เราแต่งงานกันใช่ไหม? เพราะร่างกายของคุณย่าไม่ดี…” เมื่อพูดถึงคุณย่า เสิ่นหยินอู้นึกถึงเรื่องที่ว่าเธอไม่เคยไปเจอคุณย่าเลยสักครั้งหลังจากที่คุณย่าจากไปแล้ว หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย และทำได้เพียงสงบลมหายใจเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด จากนั้นก็พูดว่า: "ยังไงก็ตาม พวกเราต่างก็ได้ในสิ่งที่แต่ละคนต้องการ มันไม่ต่างอะไรกับความสัมพันธ์แบบธุรกิจหรอก" "งั้นเหรอ?" สายตาของฉินเย่จับจ้องไปที่เธอ: "ถ้ามันเป็นแค่ความสัมพันธ์แบบธุรกรรม แล้วทำไมคุณถึงไม่เอาเงินไปด้วยสักบาทในตอนที่คุณจากไปล่ะ? ทำไมถึงไม่ทำแท้งลูกล่ะ?" “หย่าไปแล้ว ฉันจะเอาเงินคุณไปทำไม? คุณช่วยฉันจัดการเรื่องของตระกูลเสิ่น ฉันช่วยคุณดูแลคุณย่า ทำไมฉันถึงต้องเอาเงินไปด้วยล่ะ? สำหรับเรื่องไม่ทำแท้งลูก คำถามนี้มันยิ่งน่าขำนะ ฉันไม่ได้บังคับให้คุณมาหลับนอนด้วยสักหน่อย คุณมานอนกับฉันเองนะ พอท้อง ลูกก็อยู่ในท้องฉัน ฉันมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะให้พวกเขาเกิดมาหรือไม่" “แต่ลูกมีสายเลือดของผม” “แล้วไงล่ะ? สายเลือดของคุณมันสูงส่งมากเหรอ? ฉันคลอดพว
ฉินเย่พยักหน้าและพูดถ่ายทอดตามสิ่งที่เธอพูดอย่างใจเย็นต่อหน้าที่อัดเสียง เสิ่นหยินอู้นอนฟังเขาค่อยๆพูดตามในสิ่งที่เธอพูดจนจบ แล้วจึงพูดว่า: "ถ้าสักวันคุณมีความคิดที่จะพรากลูกๆไปจากฉัน ถ้าจะดำเนินคดีทางกฎหมาย หรือคิดจะพาลูกๆไปเป็นการส่วนตัว ฉันมีสิทธิ์ที่จะฟ้องคุณต่อศาล ถึงตอนนั้นทรัพย์สินทั้งหมดที่เป็นชื่อของคุณจะต้องเป็นของฉัน เสิ่นหยินอู้” เธอไม่เชื่อว่าเขาจะยังสามารถพูดคำพูดเหล่านี้ออกมาได้ เพราะหากพูดออกไป มันก็จะมีผลในอนาคต หากเขาคิดจะพรากลูกไปจากเธอจริงๆ เขาคงจะต้องชดใช้อย่างมหาศาล ดังนั้นหลังจากที่เสิ่นหยินอู้พูดจบ เธอก็ไม่ได้หวังว่าฉินเย่จะพูดตามในสิ่งที่เธอพูด แต่ในวินาทีต่อมา ฉินเย่กลับพูดตามที่เธอพูดจนจบโดยไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่คำเดียวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เสิ่นหยินอู้: "..." เธอมองดูฉินเย่ด้วยสายตาที่ซับซ้อน คาดไม่ถึงว่าเขาจะพูดในสิ่งที่เธอเพิ่งพูดเมื่อครู่นี้จนจบจริงๆ นี่มันหมายความว่าอะไร? หรือว่าเขาจะไม่ได้คิดที่จะพรากลูกๆไปจากเธอจริงๆ? ทั้งหมดล้วนเป็นเธอเองที่คิดมากไปงั้นหรอ? หลังจากคิดดูแล้ว ดูเหมือนว่าช่วงนี้เธอคงจะหวาดระแวงมากไปสินะ? เขาย้ำตั้งแต่แ
คำถามนี้พอถามออกไป ทั้งสองคนก็เงียบกันไปทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้เงียบไปเพราะเธอคิดถึงเรื่องตอนที่อยู่ใต้สโมสรบิลเลียด โทรศัพท์ของเธอโดนเพื่อนของเจียงฉูฉู่เอาไปแล้วแกล้งส่งข้อความให้ตัวเองส่วนสีหน้าของฉินเย่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่า เขากับเสิ่นหยินอู้กำลังคิดถึงเรื่องเดียวกัน ตอนนี้ทั้งสองคนต่างก็คิดถึงเรื่องเดียวกันหลังจากนั้นอีกพักใหญ่ ฉินเย่ก็มองไปที่เสิ่นหยินอู้และพูดว่า “หรือบางที ถ้าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ที่ผมจริงๆล่ะ?” เสิ่นหยินอู้เม้มปาก ไม่ได้ตอบอะไรฉินเย่คว้าโอกาสนี้ไว้ จึงรีบถามต่อว่า “ถ้า หยินอู้...... ผมหมายถึงถ้า ตอนที่คุณบอกผมเรื่องนี้ โทรศัพท์ไม่ได้อยู่ที่ผมจริงๆ และสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพราะแบบนั้น คุณยังจะโทษผมอยู่ไหม?”เมื่อเสิ่นหยินอู้ได้ยินแบบนั้น เธอก็เงียบไปอีกครั้ง“ถ้าโทรศัพท์ไม่ได้อยู่ที่คุณ แล้วมันจะอยู่ที่ใคร?” เสิ่นหยินอู้จ้องเขา “โทรศัพท์ของคุณไม่เคยอยู่ห่างตัวเลยไม่ใช่เหรอ? ถ้ามันไม่อยู่กับคุณจริงๆ มันก็ต้องอยู่กับคนสำคัญของคุณ ถึงแม้คุณจะไม่เห็น แล้วมันจะสำคัญอะไร?”นอกจากนี้ เธอจะรู้ได้ยังไงว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าเขาจะใช้วิธีนี้เพื่อ
เพราะตัวเองทำงานเป็นผู้ช่วยพิเศษ ซึ่งต้องพร้อมตลอดเวลา ดังนั้นโทรศัพท์ของหลี่มู่ถิงจึงเปิดสแตนบาย 24 ชั่วโมง ทันทีที่โทรศัพท์ดังขึ้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าใครโทรมา แต่วันนี้อากาศหนาว ผ้าห่มก็อุ่นมาก เขาไม่อยากลุกจากที่นอนจริงๆ เสียงโทรศัพท์ดังต่อเนื่อง...... สุดท้ายหลี่มู่ถิงก็ต้องลุกขึ้นมารับโทรศัพท์“ครับประธานฉิน?”ฉินเย่พูดวันที่หนึ่งขึ้นมา แล้วพูดต่อว่า “หาทางช่วยฉันตรวจสอบข้อความทั้งหมดที่ได้รับในช่วงเวลานั้นด้วย”หลี่มู่ถิง “……” พอรู้ว่าประธานฉินพูดถึงวันที่ไหน หลี่มู่ถิงก็ถึงกับอึ้ง “เอ่อ ประธานฉิน......นี่มันหลายปีแล้วนะครับ จะตรวจสอบได้ยังไง?” “คุณเป็นผู้ช่วย คุณต้องหาทางให้ได้ แม้แต่ข้อความขยะก็เช็คให้หมด” หลี่มู่ถิงยังอยากพูดอะไรต่อ แต่ทางนั้นก็ตัดสายไปแล้ว เขาจับโทรศัพท์ไว้ในมือและนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา- ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน เสิ่นหยินอู้รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเด็กคุยกัน รวมถึงเสียงผู้ชายแปลกหน้า และสุดท้ายก็เหมือนมีคนมาแตะที่หน้าผากของเธอเบาๆ ราวกับกำลังสำรวจบาดแผลของเธอ เธอรู้สึกสับสน แล้วก็หลับไปอีกครั้ง เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ถูกมือคู่หนึ
แต่ดูเหมือนว่าคนๆนั้นจะสัมผัสได้ถึงเจตนาของเธอ และก่อนที่เธอจะกรีดร้องออกมา เขาก็เอื้อมมือออกไปปิดปากของเธอไว้ "อื้อ" ดังนั้นเสียงร้องของเสิ่นหยินอู้จึงกลายเป็นเสียงที่อุดอู้ขึ้นมาทันที ภายในห้องไม่ได้เปิดไฟ มีแต่ความมืดมิด บวกกับหลังจากที่เธอเข้ามา ประตูก็ถูกปิดลง เธอมองเห็นเพียงร่างสูงร่างหนึ่งตรงหน้าเธอผ่านแสงสลัวๆที่ส่องมาจากด้านนอกหน้าต่าง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถบอกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่มือและเท้าของเธอถูกพันธนาการเอาไว้ และเธอไม่สามารถขยับได้ จนกระทั่งบุคคลนั้นปล่อยมือของเขาที่ปิดปากของเธอไว้เสิ่นหยินอู้คิดจะใช้โอกาสนี้ในการร้องออกมา แต่คนตรงหน้าเธอก็รวดเร็วกว่า เขาโน้มตัวลงมาและจูบเธอ ลมหายใจอุ่นๆที่หนักหน่วงกระทบเข้ากับใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ และในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็รับรู้ได้ถึงออร่าของอีกฝ่ายอย่างชัดเจนในขณะนี้ นี่มัน…… ความประหลาดใจแวบขึ้นมาในหัวใจของเธอ และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบสนองอะไรอื่น เธอก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายดันฟันของเธอให้แยกจากกัน ทำให้จูบนั้นลึกซึ้งยิ่งขึ้น ขณะที่พวกเขานัวเนียกัน ลมหายใจของพวกเขาล้วนมีแต่กลิ่นของทั้งคู่ เสิ่นหยินอู้ยังได้กลิ่นบุหรี่ที
ดังนั้นการทานอาหารมื้อนี้ก็เป็นไปตามที่เสิ่นหยินอู้คาดไว้ เมื่อพวกเขากินเกือบเสร็จแล้ว แล้วก็จนอาหารเย็นชืดหมดแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาปรากฏให้เห็น ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่พวกเขาจะต้องเดินทางไปสนามบิน เสิ่นหยินอู้พาเด็กน้อยทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบน หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว เหมิงเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า: "หม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่อยู่ไหนล่ะคะ? เขาจะกลับมาเมื่อไร?" เสิ่นหยินอู้ตอบคำถามของเธอแบบเดียวกันกับที่หลี่มู่ถิงตอบเธอ “หม่ามี๊ก็เหมือนลุงหลี่มู่ถิงจ๊ะ ยังไม่รู้เลย เขาไม่ได้บอกหม่ามี๊ว่าเขาจะไปทำอะไร แน่นอนว่าหม่ามี๊ไม่รู้หรอกว่าเขาจะกลับมาเมื่อไร” หลังจากได้ยิน เหมิงเหมิงก็ร้อง อ่า ออกมาเบาๆ เธอขมวดคิ้วราวกับรู้สึกเป็นไม่สบายใจเพราะเรื่องนี้ “ถ้างั้นหม่ามี๊คะ ลุงเย่มู่คงจะไม่ได้จะไม่กลับมาแม้แต่ตอนเราไปสนามบินใช่ไหมคะ? แปลว่าวันนี้เราก็จะไม่ได้เจอลุงเย่มู่แล้วหรอคะ?” เนื่องจากเธอไม่ต้องการให้เด็กๆทั้งสองคนมีความหวังมากเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงพูดว่า: "อืม ก็อาจจะเป็นแบบนี้ ลุงเย่มู่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เดี๋ยวเขาจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเขาจะกลับไปหาเราที่จีน” หากพู
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ