เขาจะไม่ปล่อยกู้เหยียนซีไปง่ายๆ จี้ชิงเป่ยรู้สึกได้ถึงความไม่พอใจที่ถูกระงับไว้จากคำพูดของเขา และรู้สึกหมดหนทาง “ที่จริงกูไม่ได้คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันจะกลายมาเป็นแบบนี้ แต่ก็ไม่มีทางอื่น มันกลายเป็นแบบนี้แล้ว หยินอู้ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?” ฉินเย่เม้มริมฝีปากบางและเมินเขา ราวกับว่าฉินเย่ไม่ได้คิดที่จะสนใจเขาเลย เมื่อจี้ชิงเป่ยเห็นเช่นนั้น เขาไม่พูดอะไรอีก ได้แต่นั่งเงียบๆบนเก้าอี้ แต่หลังจากนั้นไม่นาน จู่ๆฉินเย่ก็พูดกับเขาว่า: "มึงไม่ต้องรอที่นี่หรอก" จี้ชิงเป่ย: "กูอยู่ที่นี่แบบไม่พูดอะไรก็ไม่ได้เหรอ?" "ไม่ได้" จี้ชิงเป่ย: "...มึงทำแบบนี้ มันใจร้ายไปหน่อยนะ" “กูใจร้าย แล้วไงต่อล่ะ?” ไม่ยังไงหรอก เขาจะทำยังไงได้อีกล่ะ? อย่างไรก็ตาม จี้ชิงเป่ยยังคงไม่ไปไหน เขาเพียงนั่งอยู่ที่นั่น เป็นเวลาเนิ่นนาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะถูกกระตุ้นจากบางสิ่ง เขาหันหน้าไปจ้องมองเขาด้วยสายตาอันมืดมนที่ไม่พอใจ “จี้ชิงเป่ย อย่าบังคับให้กูต้องลงไม้ลงมือ” หากไม่มีเด็กสองคนอยู่ที่นั่น ฉินเย่คงจะกระชากคอเสื้อของเขาแล้วลากเขาไปที่อื่นไปนานแล้ว ใครจะไปให้เขาอยู่ที่นี่กันล่ะ? “งั้นเหรอ
เมื่อฉินเย่ไม่ตอบอะไร จี้ชิงเป่ยก็พูดอีกครั้ง: "เสิ่นหยินอู้ยังไม่ได้สติหรอ?" หลังจากได้ยิน ในที่สุดฉินเย่ก็ตอบสนองได้และพูดอย่างเย็นชา: "ไม่เป็นอะไรหรอก พวกเขาทั้งสองฉลาดมาก" แม้ว่าจะไม่มีเขาอยู่ด้านใน แต่เด็กน้อยทั้งสองก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะเสิ่นซือเหนียน เขาต้องมีวิธีดูแลแม่ของเขาได้เป็นอย่างดีแน่นอน เพียงแต่…… “แต่สุดท้ายพวกเขาก็เป็นแค่เด็กสองคน” จี้ชิงเป่ยกล่าว: “ถ้ามีอะไรไม่คาดฝันเกิด...” ฉินเย่พูดแทรกเขา: "เดี๋ยวกูเฝ้าอยู่ที่นี่" "ก็ได้" “มึงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ ไปได้แล้ว” เมื่อจี้ชิงเป่ยเห็นท่าทางที่ดื้อรั้นของฉินเย่ เขาคิดว่าหากเขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็คงจะไม่มีอะไรที่เขาสามารถช่วยได้ แต่... เขาคิดอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับฉินเย่อีก เขาจึงไปนั่งที่เก้าอี้ยาวตรงทางเดินและรออย่างเงียบ ๆ ฉินเย่ยืนอยู่ด้านนอกห้องผู้ป่วย เขาพิงกำแพงแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเพื่อโทรหาหลี่มู่ถิง เมื่อเขาวางสาย ฉินเย่ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็หันกลับมาแล้วผลักประตูห้องผู้ป่วยเข้าไปอย่างรวดเร็ว อย่างที่ค
หลังจากเป้าหมายสำเร็จแล้ว ฉินเย่ก็ถือโทรศัพท์ออกมาจากห้องผู้ป่วย หลังจากออกจากห้องผู้ป่วย เขาก็กดรหัสผ่านเพื่อปลดล็อคประตู หลังจากปลดล็อคหน้าจอ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาก็หายไป อย่างที่คิด หน้าที่อยู่บนจอจากก่อนหน้านี้คือหน้าการโทร หน้าการโทรอยู่ที่หน้าที่มีชื่อของโม่ไป๋แล้วด้วย หากเขาเข้ามาหลังจากนั้นแค่วินาทีเดียว เบอร์นี้ก็คงจะถูกกดโทรออกไปแล้ว โชคดีที่เขามาทันเวลาพอดี ฉินเย่คลิกที่ชื่อของโม่ไป๋ แทบจะอยากจะลบชื่อของเขาออกจากสมุดที่การโทรของเสิ่นหยินอู้อย่างวู่วาม สุดท้ายเขาก็อดทนไว้ ท้ายที่สุดแล้ว มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ลบไปแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร หากมีอะไรระหว่างเธอกับโม่ไป๋จริงๆ มันก็ไม่มีประโยชน์เลยที่เขาจะลบเบอร์โทรศัพท์ของโม่ไป๋ ฉินเย่ล็อคหน้าจอโทรศัพท์ และเลือกที่จะไม่มองมัน ภายในห้องหลังจากที่ฉินเย่ออกไป เด็กน้อยทั้งสองคนก็เดินเข้ามากระซิบพูดคุยกัน “พี่ชาย เอามือถือของหม่ามี๊ให้เขาไปแบบนี้ จะไม่เป็นไรหรอคะ?” เหมิงเหมิงกังวลเล็กน้อย อย่างไรเสีย หม่ามี๊ก็ยังมีเงินอยู่ในโทรศัพท์อีกตั้งมากมาย ถ้าลุงเย่มู่ขโมยเงินทั้งหมดไปจะทำอย่างไรล่ะ? แต่แล้วเธอก็ค
หลี่มู่ถิงที่บังเอิญไปจี้ใจดำของใครบางคนได้ตรงจุดพอดีแอบรู้สึกสะใจ ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาจะกล้าพูดเรื่องแบบนี้กับฉินเย่ได้อย่างไรกัน? แค่พริบตาเดียวก็ถูกสายตาของเขาแช่แข็งจนตายได้แล้ว และประธานฉินก็ไม่ส่งเสริมพฤติกรรมเช่นนี้ของเขาอีกด้วย แต่สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างออกไป หลังจากที่คุณหนูเสิ่นและเด็กสองคนนั้นปรากฏตัวขึ้น อารมณ์ของประธานฉินก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แม้เป็นตอนที่เขาหยอกเล่น ประธานฉินก็แค่บอกให้เขาไสหัวไป ดูเผินๆก็เหมือนว่าเขาจะโกรธ แต่จริงๆแล้วเขาไม่ได้โกรธ เหมือนกับเมื่อครู่นี้ หลังจากฟังสิ่งที่เขาพูด ฉินเย่ก็พูดเพียง "ไสหัวไป" แต่หลังจากพูดจบไปไม่กี่วินาที สีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ถึงขั้นพูดเร่งเขา: "รีบไปจัดการ จัดการเสร็จก็ไปซื้อของที่เด็กๆชอบกินมาด้วย” หลี่มู่ถิงจึงลงไปชั้นล่าง ตอนที่เดินออกมา เขาเดินผ่านจี้ชิงเป่ยและสบตากับเขา เมื่อคิดดูในตอนนี้ หลี่มู่ถิงก็อดไม่ได้ที่จะเกาหัว ทำไมจี้ชิงเป่ยถึงมาอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ? วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เมื่อเขาซื้อของเสร็จและกลับไปแล้ว เขาต้องถามให้ละเอียดชัดเจน หลี่มู่ถิงขับรถออกไป ตั้งใจไปที่สนามเด็กเล่นในบริ
“ผมจำได้ว่าในงานประมูลครั้งครั้งก่อน ฉินเย่ดูเหมือนจะพาเจียงฉูฉู่ไปเข้าร่วมด้วย” เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หลี่มู่ถิงก็อธิบายอย่างรวดเร็วว่า: "ก็ใช่ แต่ครั้งนั้นเป็นเพราะคำสั่งของคุณแม่ของประธานฉิน แล้วตอนนั้นคุณเจียงมีของที่ต้องการประมูลด้วย พวกเขาก็เลยไปด้วยกัน" “แล้ว?” จี้ชิงเป่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย: “เขาเจอหยินอู้เมื่อไร? หยินอู้กลับมาเมื่อไร? เด็กสองคนนั้น...เป็นลูกของเขาเหรอ?” หลี่มู่ถิง "ถ้าไม่งั้นล่ะครับ? แค่เห็นหน้าตาของเด็กสองคนนั้นก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นลูกของประธานฉินใช่ไหมล่ะ?" เมื่อได้ยิน จี้ชิงเป่ยก็หัวเราะเบาๆ : "ก็ใช่ พวกเขาเหมือนกันมาก" โครงหน้าของพวกเขาเหมือนกับของฉินเย่ทุกประการ ช่วงตาและระหว่างคิ้วก็เหมือนกับเสิ่นหยินอู้ ไม่จำเป็นต้องไปตรวจดีเอ็นเอด้วยซ้ำ แค่เห็นก็แทบสามารถแยกได้ด้วยตาเปล่า หลี่มู่ถิงมองเขา อาจเป็นเพราะช่วงนี้ฉินเย่ให้ท้ายเขา มันจึงทำให้เขามีความกล้ามากยิ่งขึ้น “แล้ววันนี้ทำไมคุณจี้ถึงมาที่นี่ได้ล่ะครับ?” เดิมทีหลี่มู่ถิงคิดที่จะถามให้ชัดว่าเรื่องราวมันเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่เพราะหลังจากฉินเย่เข้าไปในห้องผู้ป่วย เขาเดาว่าฉินเย่น่าจะไม่ออกมาสักพ
ณ ห้องผู้ป่วยเหมิงเหมิงได้ยินเสียงใครบางคนเคาะประตูและมองไปที่เสิ่นซือเหนียนในทันที หลังจากที่เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าให้เธอ เขาก็เห็นด้วยกับฉินเย่ที่จะเข้ามา จากนั้นประตูห้องผู้ป่วยก็เปิดออก เด็กทั้งสองเห็นฉินเย่เดินเข้ามาพร้อมกับถุงใบใหญ่สองใบในมือ เสิ่นเหมิงเหมิงมองไปที่ถุงทั้งสองใบโดยไม่รู้ตัวและโพล่งออกมา “ลุงเย่มู่ ซื้ออะไรมาหรอคะ?” หลังจากถาม เสิ่นเหมิงเหมิงก็ตระหนักได้ว่าเธอพูดอะไรไป และรีบยื่นมือออกไปปิดปากของเธอ ดวงตากลมโตที่แวววาวฉ่ำน้ำของเธอเต็มไปด้วยความตกใจ แย่แล้ว! เธอตัดสินใจที่จะไม่สนใจลุงเย่มู่แล้วแท้ๆ แล้วทำไมเธอถึงถามออกไปในทันทีที่เห็นของที่อยู่ในมือของเขาโดยไม่รู้ตัวล่ะ? “อืม” ดวงตาที่เฉี่ยวคมของฉินเย่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และวางถุงในมือลงบนโต๊ะ “ลุงให้ผู้ช่วยหลี่ไปซื้อของกินมาให้พวกหนู” ในขณะที่พูด ฉินเย่ก็หยิบอาหารออกมาจากถุงแล้ววางลงบนโต๊ะ เมื่อเด็กน้อยทั้งสองเห็นเช่นนั้น ทั้งคู่ก็ยืนอยู่ที่เดิมและกำมือไว้แน่นโดยไม่พูดอะไร ภายในห้องผู้ป่วยเงียบกริบ ฉินเย่ใช้หางตาของเขามองดูเด็กน้อยสองคนที่ยังคงไม่ขยับไปไหน เขาค่อยๆวางอาหารแต่ละอย่างลงบนโต๊ะ
และที่สำคัญที่สุดคือ ลุงเย่มู่ซื้ออาหารพวกนี้มาเยอะมากแล้ว ถ้าให้ลุงโม่ไป๋มา... “พี่ชาย……” อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะได้ทันคิด เสิ่นเหมิงเหมิงก็หิวมากจนเธอทนไม่ไหวอีกต่อไปและเริ่มกระตุกชายเสื้อของเขา เสิ่นซือเหนียนรู้สึกหมดหนทาง ในตอนที่กำลังจะขอโทรศัพท์คืนจากฉินเย่ จู่ๆฉินเย่ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารและมานั่งคุกเข่าลงตรงหน้าทั้งสองคน “ซุบซิบอะไรกันอยู่หรอครับ?” ทันทีที่เธอเห็นเขา เสิ่นเหมิงเหมิงก็หันหนีจากเขาทันที ฉินเย่เอื้อมมือออกไปแตะหัวของเธอเบา ๆ “โกรธลุงเย่มู่ขนาดนั้นเลยเหรอ?” "ฮึ" เสิ่นเหมิงเหมิงไม่อยากคุยกับเขาเลยสักนิด ฉินเย่ทำได้เพียงใช้นิ้วชี้จิ้มลงไปที่หลังคอของเธอ "ลุงเย่มู่ผิดไปแล้ว ขอโทษเหมิงเหมิงกับพี่ชายด้วยนะ พวกหนูสองคนให้อภัยลุงเย่มู่ได้ไหมครับ?" "ไม่ได้!" เหมิงเหมิงซึ่งแต่เดิมต้องการเมินเขาพูดด้วยความโกรธทันที “ไม่ให้อภัยก็ไม่เป็นไร แต่พวกหนูจะไม่กินจริงหรอ? จะให้ตัวเองอดตาย เดี๋ยวก็หิวจนเป็นลมพอดี ถ้าหม่ามี๊ตื่นขึ้นมาไม่เห็นพวกหนูทำยังไงล่ะ?” ช่วยไม่ได้ ฉินเย่ทำได้เพียงใช้วิธีอ้อมๆเท่านั้น เด็กก็เป็นแค่เด็กอยู่วันยังค่ำ เมื่อได้ยินฉินเย่พูด
ดังนั้นในท้ายที่สุด เสิ่นซือเหนียนจึงวางมือเล็กๆของเขาลงไปบนมือใหญ่ๆที่ดูอบอุ่น และเขาก็ถูกจูงไป หลี่มู่ถิงซื้อของมากมายหลายอย่างเพราะเขาไม่รู้ว่าเด็กๆชอบกินอะไร เขาจึงซื้อของกินมาเกือบทุกอย่าง ดังนั้นเมื่อจัดวางพวกมันไว้บนโต๊ะ ของกินที่ดูน่าเอร็ดอร่อยก็ดูมีให้เลือกเต็มไปหมด เสิ่นเหมิงเหมิงถูกอุ้มมาวางลงบนเก้าอี้ ดวงตาของเธอเบิกกว้างเมื่อเห็นโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด “ลุงเย่มู่ ทั้งหมดนี่สำหรับเหมิงเหมิงกับพี่ชายหรอคะ?” "ใช่ครับ"ในขณะที่พูด ฉินเย่หยิบผ้าเช็ดปากสีขาวสองผืนออกมาแล้วปูบนโต๊ะด้านหน้าของเสิ่นเหมิงเหมิงและเสิ่นซือเหนียน ช่วงนี้เขาดูแลพวกเขามานานมากแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้แน่ชัดว่าเด็กสองคนนี้ชอบอะไร แต่หลี่มู่ถิงก็รู้ว่าเด็กๆต้องใช้อะไรบ้างในการรับประทานอาหาร ดังนั้นตอนที่ไปซื้อของเมื่อครู่นี้ เขาก็ซื้อมันมาด้วย เสิ่นเหมิงเหมิงกับเสิ่นซือเหนียนนั่งอยู่ที่นั่น เขามองดูฉินเย่ยุ่งหัวหมุนอยู่กับสองพี่น้อง เสิ่นเหมิงเหมิงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วจากที่เมินและปากแข็งกับเขาในตอนแรก กลายเป็นค่อยๆลดความระมัดระวังลง และเริ่มพูดสั่งฉินเย่ “ลุงเย่มู่ หนูอยากกินอันนี้!
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ