ฉินเย่เม้มริมฝีปากบางของเขาและยังคงไม่ตอบเธอ “เย่ พูดอะไรหน่อยสิ ได้ไหม? ถึงจะเป็นนักโทษประหาร แต่ก่อนตายก็ต้องรู้นี่ว่าได้ก่ออาชญากรรมอะไรไว้?” “หรือว่า นายจะมองที่ตัวตนของฉันที่เคยช่วยนายไว้ไม่ได้เลย บอกฉันทีว่าทำไมกันแน่?” การเอ่ยถึงบุญคุณขึ้นมาก็ยิ่งทำให้ชายเย็นชาที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานรู้สึกถูกกระตุ้นอีกครั้ง เขาหันกลับมามองเธอด้วยสายตาที่ลึกล้ำ “ในตอนแรกก็เพราะบุญคุณ ก็เลยอยากเอาตำแหน่งที่ดีที่สุดไว้ให้กับเธอ แต่พออายุมากขึ้น ผมก็รู้ว่าถ้าผมเอาตำ แหน่งนี้ให้กับเธอจริงๆ มันจะไม่ยุติธรรมสำหรับทั้งเธอและผม” “ไม่ยุติธรรมหรอ?” เจียงฉูฉู่มองเขาอย่างสับสน: “ทำไมถึงไม่ยุติธรรมสำหรับฉัน?” ฉินเย่มองเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาแทบไม่ต้องพูดอะไรเลย สีหน้าของเขาแสดงออกมาอย่างชัดเจน แต่เจียงฉูฉู่ไม่อยากจะเชื่อเลย... อาจเพราะเห็นว่าเธอไม่ยอมแพ้ ฉินเย่จึงพูดอย่างใจเย็น: "เธอคิดว่าคู่สามีภรรยาที่ไม่มีความรู้สึกต่อกันจะมีความสุขไหม? ฉูฉู่ เธอคู่ควรกับผู้ชายที่ดีกว่านี้" ไม่มีความรู้สึกต่อกัน? เจียงฉูฉู่ชอบเขา แต่เขาบอกว่าเขาไม่มีความรู้สึก เขาหมายถึงตัวเขาเอง
แม่พูดถูก หลังจากที่เธอพูดคำพูดเหล่านี้ ฉินเย่ก็ลดความระมัดระวังที่มีต่อเธอลง เพราะเธอเคยช่วยชีวิตเขาไว้ ดังนั้นไม่ว่ายังไง เขาก็ยังมีที่ให้เธอไว้เสมอ เสิ่นหยินอู้ก็จากไปไกลแล้วในเวลานั้น เธอมีเวลาห้าปีเต็มๆ ตราบใดที่เธอคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ เธอก็ยังสามารถกลับไปอยู่เคียงข้างฉินเย่ได้ เพียงแต่ว่า…… เพียงแต่ว่าคาดไม่ถึงว่าฉินเย่จะไม่เปลี่ยนใจเลยสักนิดในห้าปีที่ผ่านมา และเขาก็ปฏิบัติต่อเธอในฐานะเพื่อนมาโดยตลอด หากเธอคิดที่จะล้ำเส้นของคำว่าเพื่อน เขาก็จะหยุดไว้เธออย่างจริงจัง ดังนั้นเจียงฉูฉู่จึงทำได้เพียงถอยไปก่อนเท่านั้น "ฉูฉู่?" เสียงของกู้เหยียนซีทำให้เจียงฉูฉู่กลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง ทันทีที่เจียงฉูฉู่กลับมารู้สึกตัว เธอเห็นกู้เหยียนซียืนอยู่ตรงหน้าเธอที่กำลังจับไหล่ของเธอด้วยสีหน้าร้อนรน: "เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เธอพูดอะไรกับฉินเย่?" เมื่อได้ยิน เจียงฉูฉู่ก็เม้มริมฝีปากของเธอและดันมือของกู้เหยียนซีออกไป จากนั้นก็ไม่พูดอะไรเลย เธอจะพูดอะไรได้อีกล่ะ? หรือจะให้เธอยอมรับต่อหน้าทุกคนว่าเธอเคยพูดกับฉินเย่ว่าเธอเป็นเพื่อนกับเขาหรอ? เธอจะไม่ทำอย่างนั้น ไม่อย่างเด็ดขาด
แต่ใครจะรู้ว่าขณะที่เธอเดินผ่านกู้เหยียนซี ไม่รู้ว่าเขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมา จู่ๆเขาก็คว้าแขนของเสิ่นหยินอู้ แล้วพูดด้วยความโกรธ: "ไม่เกี่ยวอะไรงั้นหรอ? แล้วฟังดูเผินๆแล้วมันดูดีจังนะ ถ้าไม่เกี่ยวอะไรจริงๆ เธอจะพาลูกๆทั้งสองของเธอมาที่นี่ได้ยังไง?” ตลอดชีวิตของเธอ สิ่งที่เสิ่นหยินอู้เกลียดที่สุดคือการถูกใส่ร้าย ในเวลานี้ กู้เหยียนซีกำลังพูดใส่ร้ายเธอ ทันใดนั้นแววตาของเธอก็เย็นชาขึ้นมาและเธอก็เย้ยหยันว่า: "กู้เหยียนซี ในสายตาของนาย ฉินเย่กับเจียงฉูฉู่เป็นคู่รักกันใช่ไหม?" ฉินเย่ซึ่งเดิมคิดจะเดินไปหาเธอหยุดฝีเท้าลงหลังจากได้ยินคำพูดนี้ เขาหรี่ตาลงและมองไปที่ด้านหลังของเสิ่นหยินอู้ เธอหมายความว่าอย่างไร? "แน่นอน!" กู้เหยียนซีกัดฟันแล้วพูดว่า "ในสายตาของฉัน ฉูฉู่ดีกว่าพันเท่าหมื่นเท่า แน่นอนว่าเธอเป็นคนเดียวที่คู่ควรกับฉินเย่" “จะบอกว่า ในสายตาของนายพวกเขาเป็นคู่รักกัน แต่นายก็ยังคิดถึงแต่เจียงฉูฉู่ ใช่ไหม?” กู้เหยียนซีชะงักไป คาดไม่ถึงว่าคำพูดของเธอจะเปลี่ยนไปกะทันหัน เสิ่นหยินอู้มองไปที่กู้เหยียนซี และกระตุกมุมปากอย่างเย้ยหยัน “วันนี้ฉันไม่ได้เป็นคนพาลูกมาที่นี่ แต่ถึงฉัน
เมื่อครู่นี้…… เหมือนว่าเขาจะเห็นเลือดไหลออกมาจากหน้าผากของเสิ่นหยินอู้งั้นเหรอ? เขายังคิดที่จะเตะเด็กน้อยอีกด้วยงั้นหรอ? เขา...เป็นบ้าอะไรไป? ขณะที่เขาคิดไปเรื่อย จี้ชิงเป่ยก็เข้ามาตรงหน้าเขาและมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา “กู้เหยียนซี เมื่อกี้มึงเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? รู้ไหมว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่?” "กู……" กู้เหยียนซีต้องการบอกว่าเขาไม่ได้ทำ แต่การที่ได้เห็นเลือดสีแดงสดๆไหลออกมาจากหน้าผากของเสิ่นหยินอู้ทำให้เขาพูดไม่ออก เพราะในที่สุดเขาก็รู้ว่าการกระทำของเขาไม่ถูกต้อง แต่ว่า... กู้เหยียนซีทำได้แค่มองไปที่เจียงฉูฉู่โดยหวังว่าเธอจะเข้าข้างเขา เพราะท้ายที่สุดถ้าไม่ใช่เพราะฉูฉู่ เขาคงไม่ทำอะไรเช่นนี้ ในเวลานี้ หัวใจของเจียงฉูฉู่เต้นรัว เธอแอบหวังว่าเสิ่นหยินอู้จะเป็นอะไรไป แต่หลังจากได้ยินคำพูดของจี้ชิงเป่ยเธอก็เก็บความคิดที่ชั่วร้ายเหล่านั้นไว้ในใจ และมองไปที่กู้เหยียนซีด้วยสีหน้าผิดหวัง “ใช่แล้ว เหยียนซี จะพูดก็พูดเถอะ นายไม่ควรทำแบบนั้นเลยจริงๆ” เมื่อพูดเช่นนั้น เจียงฉูฉู่ก็หยุดไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อว่า: "ยิ่งกว่านั้น เธอยังเป็นแค่เด็กตัวน้อยๆคนหนึ่ง นายไม่มีความเห็นใจ
เจียงฉูฉู่กัดริมฝีปากล่างของเธอและพูดอย่างลังเล: "แต่เรื่องมันวุ่นวายแบบนี้ ฉันคิดว่าฉันก็ต้องรับผิดชอบด้วย ฉันควรไปกับนายเพื่อไปดูอาการของหยินอู้" “ใช่ เราทุกคนต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ตอนนี้ฉินเย่คงจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ ฉันแนะนำให้เธออย่าตามมาเลยจะดีกว่า” หลังจากพูดจบ จี้ชิงเป่ยก็มองไปที่เจียงฉูฉู่ สายตานี้ทำให้เจียงฉูฉู่รู้สึกหวาดกลัวอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุความคิดภายในหัวของเธอได้อย่างปราดเปรื่อง ชั่วขณะหนึ่ง เธอไม่กล้าพูดอะไรอีก “งั้น...ก็ได้ แต่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น นายต้องโทรหาฉันนะ ถึงเราจะไม่ได้เจอกันมาห้าปีแล้ว แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงหยินอู้” จี้ชิงเป่ยฝืนพูด อืม ออกมาอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์แล้วจากไป หลังจากที่เขาจากไป ก็เหลือแค่สองคนในที่ตรงนั้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าจี้ชิงเป่ยเดินจากไปไกลแล้วและจะไม่กลับมาอีก เจียงฉูฉู่ซึ่งยืนอยู่ที่เดิมก็รีบหันหลังกลับแล้วเดินไปที่ตรงหน้ากู้เหยียนซี เธอก้มลงไปพยุงเขาลุกขึ้นมา "เอาล่ะ รีบลุกขึ้นได้แล้ว" กู้เหยียนซียังคงรู้สึกเศร้าโศกเสียใจในสิ่งที่เธอพูด ตอนนี้เมื่อเขาเห็นเธอเข้ามาช่วยพยุงเข
สถานการณ์เลวร้ายมากจนเสิ่นซือเหนียนไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ และทำได้เพียงพยักหน้า "ได้ครับ" “โอเค งั้นหนูกับเหมิงเหมิงช่วยดูแลหม่ามี๊ด้วยนะ ลุงเย่มู่จะพาพวกหนูไปโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” "อืม" เมื่อฉินเย่เห็นว่าเขาตกลง เขาก็มองไปที่ใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ที่หมดสติไป เลือดบนหน้าผากของเธอดูเป็นสีแดงสดมากเมื่อตัดกับสีผิวขาวๆของเธอ ซึ่งมันดูน่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง ฉินเย่วางเธอลงอย่างระมัดระวัง ปรับตำแหน่งและท่าทางของเธอ จากนั้นก็ให้เด็กสองคนปกป้องเธอโดยแต่ละคนนั่งอยู่ทางซ้ายและทางขวาเนื่องจากเขากลัวว่าเธอจะตกจากเก้าอี้ขณะขับรถ หลังจากวางเธอเสร็จ ฉินเย่ก็ลุกขึ้นและลงจากรถ ปัง หลังจากที่ประตูรถปิดลง เสิ่นซือเหนียนก็เอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาที่หางตาของเขา จากนั้นใช้มือเล็กๆปกป้องศีรษะของเสิ่นหยินอู้ไว้และเบาพูดๆว่า: "หม่ามี๊สบายใจได้ครับ หม่ามี๊จะต้องไม่เป็นอะไร" เสิ่นเหมิงเหมิงก็ร้องไห้อย่างหนักเช่นกัน ดวงตาที่สดใสและน่ารักของเธอก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยหยดน้ำตาใสๆที่ไหลออกมาจากดวงตาของเธอทีละหยดและตกลงไปบนหลังเท้าของเสิ่นหยินอู้ “เหมิงเหมิง อย่าร้องไห้เลย” เสียงของเสิ่นซือเหนียนดังมาจากด
นอกจากนี้ยังมีเด็กสองคนที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำ พวกเขาตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้ในทันทีและพูดอย่างจริงจังขึ้นมาทันที: "งั้นก็ตามเรามา" หลังจากนั้น ตำรวจได้ทำการเคลียร์ถนนให้ฉินเย่ล่วงหน้าและติดต่อกับโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ด้วยความช่วยเหลือจากตำรวจ ในที่สุดรถก็มาถึงที่โรงพยาบาลก่อนเวลาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขาลงจากรถ ฉินเย่ก็อุ้มหยินอู้ออกจากรถและรีบเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เด็กน้อยสองคนวิ่งตามหลังเขาไป หลังจากปัญหามากมาย ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ถูกส่งตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน - คนในครอบครัวไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในห้องฉุกเฉิน ดังนั้นฉินเย่จึงทำได้เพียงรออยู่ข้างนอกกับลูกๆสองคนเท่านั้น ขณะนี้ไม่มีใครอยู่รอบๆห้องฉุกเฉิน ที่ทางเดินก็ว่างเปล่า ฉินเย่ดึงเสิ่นซือเหนียนกับเสิ่นเหมิงเหมิงให้นั่งลงข้างๆ เขา “อีกไม่นานหรอก เรารอตรงนี้นะ” เสิ่นซือเหนียนเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นและเงียบมาก เขาไม่ได้ตอบโต้อะไรฉินเย่ เขาไม่ได้นั่งลงข้างๆฉินเย่แต่กลับนั่งในที่ๆห่างจากฉินเย่ ฉินเย่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเห็นว่าเขาอยู่ในที่ไม่ไกลและปลอดภัยอยู่ในสายตาของเขา ฉินเย่จึงไม่บังคับอะ
พูดตามตรง มันมากเพียงพอแล้ว เพราะเหมิงเหมิงยกมือขึ้นหลังจากที่เขาพูดแบบนั้นและพบว่ามันง่ายกว่าการต่อยที่ขามาก ก่อนหน้านี้ที่ฉินเย่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เธอต้องเปลืองแรงอย่างมากในการยืนเขย่งเท้าถึงจะเอื้อมไปต่อยขาของเขาได้ แต่ตอนนี้ ฉินเย่ก้มหัวลงมาให้ ดังนั้นเหมิงเหมิงจึงสามารถต่อยเขาได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ เพียงแต่…… ฉินเย่ที่อยู่ใกล้ๆเธอมีสายตาที่ดูมืดมนและสีหน้าที่เฉียบคม ซึ่งดูน่ากลัวเล็กน้อย เมื่อต้องเผชิญกับใบหน้าเช่นนี้ จู่ๆเหมิงเหมิงก็ไม่ค่อยกล้าที่จะลงมือ เธอมองไปที่ฉินเย่อย่างขี้ขลาด จากนั้นก็ถอยกลับไปหนึ่งก้าว ฉินเย่สามารถเห็นการกระทำเล็กๆน้อยๆได้อย่างชัดเจน "เป็นอะไรไปล่ะ?" เหมิงเหมิงเม้มริมฝีปากของเธอ: "ถ้าลุงต่อยคืน หนูจะทำยังไงล่ะ?" ลุงเย่มู่ตัวสูงมากขนาดนั้น มือก็ใหญ่โตมาก ถ้าเขาตบเธอแค่ครั้งเดียว เธอคงถึงตายได้อย่างแน่นอน ยิ่งเธอคิด เสิ่นเหมิงเหมิงยิ่งรู้สึกหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น เธอจึงหันหลังกลับและวิ่งไปหาพี่ชายของเธอ ฉินเย่ที่แต่เดิมเตรียมใจพร้อมแล้วที่จะให้ลูกสาวของเขาต่อยหน้า เขาคาดไม่ถึงว่าเธอจะหันหลังกลับและวิ่งไป ขณะที่รู้สึกโล่งใ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ