ยกแต่เรื่องเก่าๆขึ้นมาพูด แล้วก็พูดถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดในอดีต เสิ่นหยินอู้สีหน้าฉายแววเปลี่ยนไป ริมฝีปากสีแดงขยับเล็กน้อย ในที่สุดเธอก็จ้องเขาแล้วพูดว่า “ฉินเย่ คุณมันไร้ยางอายจริงๆ” เขามีเจียงฉูฉู่แล้วแท้ๆ แต่ยังอยากมาพัวพันกับเธออีก เขาคิดว่าเธอเป็นอะไร?น่าตลกสิ้นดีเมื่อห้าปีที่แล้ว เขาคิดว่ายังทำร้ายเธอไม่พออีกหรอ?"ไร้ยางอาย?" ฉินเย่เดินมาข้างหน้า ต้อนเธอจนถอยไปติดมุมผนัง ในขณะที่เธอคิดจะหนี เขาก็ยกมือยันผนังขวางทางเธอไว้ ริมฝีปากยกยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “แต่ก่อนตอนคุณอยู่บนเตียงของผมก็ไม่ได้พูดแบบนี้นี่นา”เพี้ยะ! เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เธอตบหน้าฉินเย่ไปหนึ่งที ฉินเย่คงไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะลงมือ ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงโดนตบจนหันไปด้านข้าง พอเขาตั้งสติได้ ก็จับข้อมือของเสิ่นหยินอู้ไว้ ก้มศีรษะลงเหมือนจะจูบเธอ เพี้ยะ! เสิ่นหยินอู้ร้อนใจ จึงตบหน้าเขาไปอีกครั้ง“ฉินเย่ จะมากเกินไปแล้วนะ! เรื่องที่คุณพูดมันผ่านไปนานแล้ว! เราหย่ากันมาห้าปีแล้ว!” ไม่รู้ว่าเป็นคำไหนที่กระตุ้นให้ฉินเย่หยุดการกระทำทันที เขาจ้องมองเสิ่นหยินอู้ในระยะใกล้และหายใจหอ
ในตอนนี้เมื่อเห็นดวงตาของสาวงามที่มีน้ำตาคลอเบ้า ฟู่ถิงสือก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก รู้สึกว่าตัวเองช่างเลวทรามจริงๆเขาตั้งใจจะถามเธออย่างละเอียด แต่เสิ่นหยินอู้กลับเดินผ่านเขาไปโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพูดคุยด้วยฟู่ถิงสือยืนอยู่ตรงนั้น ในหัวมีแต่ภาพของดวงตาที่เย็นชาคลอด้วยน้ำตาและเต็มไปด้วยความอดทน ภายในใจมีแต่ความรู้สึกผิด ในขณะที่เขากำลังจะตามไป เสิ่นหยินอู้ก็หยุดและหันกลับมาหาเขา“ประธานฟู่”ฟู่ถิงสือ: "หือ?""คุณจะไม่ลงทุนในบริษัทของฉันใช่ไหมคะ?""อะไรนะ?"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ฟู่ถิงสือก็ตกใจ "ลง ลงทุนในบริษัทของคุณเหรอ? คุณเปิดบริษัทแล้วเหรอ? ที่คุณบอกว่าจะคุยเรื่องงานกับผมหมายถึงเรื่องนี้งั้นเหรอ?" เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็แสดงความสงสัยเล็กน้อย "ไม่งั้นจะเป็นเรื่องอะไรล่ะคะ?""ผม ผมคิดว่าคุณคิดได้แล้ว และยอมมาทำงานกับผม ในขณะที่ฉินเย่ไอ้สารเลวนั่นไม่ยอมให้คุณมาเลยตามมาขัดขวาง"เสิ่นหยินอู้: "......" ที่แท้ฟู่ถิงสือก็ไม่รู้เรื่องนี้ดูเหมือนว่าเป็นฉินเย่ไปสืบเรื่องนี้มาเอง แต่เขาสืบได้ยังไง ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขารู้แค่เรื่องที่เธอต้องการให้ฟู่ถิงสือลงทุนแค่นั้น ม
สำนักงานชั้นบนสุดพอฟู่ถิงสือขึ้นมาถึง ก็ตรงไปหาฉินเย่ทันที"เฮ้เฮ้ ฉันคิดว่าเธอจะมาทำงานที่บริษัทฉันซะอีก ใครจะคิดว่าเธอจะมาขอลงทุน นายรู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหม แต่ไม่บอกฉัน?" "แล้วนายรู้ไหม ตอนเธอลงไป สีหน้าไม่ดีเลย? นายทำให้เธอร้องไห้เลยนะ?" ฉินเย่ที่เคยพิงกำแพงอยู่ พอได้ยินก็ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเย้ยหยันที่ริมฝีปากบางๆ"จริงเหรอ?"ผู้หญิงใจร้ายแบบนั้น ร้องไห้เป็นด้วยเหรอ? น่าแปลกจริงๆ"อะไร? ดูจากสีหน้านายคงไม่เชื่อสินะ? ฉันพูดจริงๆ นายคงไม่รู้ตัวเลยสินะว่านายมันเลวแค่ไหน? ทำให้เธอโกรธจนร้องไห้ แต่นายยังดูไม่ใส่ใจอีก" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็ไม่ตอบอะไร ยืนอยู่ตรงนั้น เม้มปากบางๆ สีปากซีดลงเล็กน้อย ส่วนฟู่ถิงสือที่ไม่ได้สังเกตุเห็นความผิดปกติก็ยังคงบ่นต่อไป"ด้วยท่าทางแบบนี้ของนาย ฉันไม่รู้เลยว่านายต้องการอะไร ตอนแรกฉันคิดว่านายอยากได้เธอกลับมา แต่ตอนนี้ฉันสงสัยว่านายคงไม่อยากเห็นหน้าเธอเลยใช่ไหม นายเลยโกรธเธอแบบนี้?""......" ฟู่ถิงสือที่ไม่ได้รับการตอบสนองจึงหันไปมองฉินเย่ แล้วเห็นว่าฉินเย่หน้าซีดจาง และมีเหงื่อซึมอยู่ที่หน้าผากฟู่ถิงสือกระพริบตาหลายคร
เขายังรู้สึกคันในใจเมื่อนึกถึงเมื่อวานที่เธอใส่ชุดขี่ม้าอยู่ที่สนาม ผมยาวพลิ้วไหว ใบหน้าที่ดูบริสุทธิ์ ทำไมเธอถึงเป็นผู้หญิงของฉินเย่ไปได้?ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ชายคนอื่นได้ล่ะก็......ผู้ช่วยที่ติดตามเขามานาน พอจะดูความคิดเขาออก จึงพูดขึ้นว่า "ประธานฟู่ ถ้าชอบก็จีบเลยครับ ยังไงพวกเขาก็เลิกกันแล้ว ตอนนี้คุณเสิ่นก็โสด คุณจีบเธอก็ไม่ได้ผิดกฎหมายนะครับ""นายไม่เข้าใจหรอก พูดน่ะมันง่าย แต่นายไม่เห็นท่าทางของฉินเย่ เขายังไม่ลืมเธอเลย นายจะให้ฉันไปจีบเธอเหรอ? นั่นไม่เท่ากับฉันไปมีเรื่องกับเขาเหรอ?"ผู้ช่วยมองเขาด้วยความงุนงงแล้วพูดว่า "ประธานฉินไม่ได้มีคู่หมั้นอยู่แล้วเหรอครับ?" "นายหมายถึงเจียงฉูฉู่เหรอ? อย่างเธอนับเป็นคู่หมั้นอะไร?""แต่นอกวงการเขาก็พูดกันแบบนี้นะครับ หลายปีมานี้รอบๆ ตัวประธานฉินก็......" "นายกำลังจะบอกว่า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฉินเย่ไม่มีใครเลย มีแต่เจียงฉูฉู่คนเดียว ดังนั้นทุกคนก็เลยถือว่าเธอเป็นคู่หมั้นของเขา" ผู้ช่วยพยักหน้า"ใช้สมองของนายคิดดีๆ สิ นายคิดว่าทำไมฉินเย่ถึงแม้ว่าไม่มีใครอยู่ข้างๆ เขา แต่เขาก็ไม่หมั้นกับเจียงฉูฉู่? ผ่านไปห้าปีแล้ว ถ้าจะอยู่ด้วยกันจร
คำพูดของอู๋อี้ไห่ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เขาใช้ท่าทีและน้ำเสียงที่มั่นใจ เหมือนกับเรื่องที่เขาพูดเป็นความจริง เรื่องที่ไม่มีจริง เขากลับพูดเหมือนว่ามีอยู่จริง"ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ พอได้ยินผมพูดแบบนี้ คุณก็ควรจะไม่รู้สึกอะไร เพราะสำหรับคนแล้ว ถ้าแผลหายดี การไปสัมผัสมันก็ไม่ควรจะรู้สึกอะไร""จริงหรอ?" เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า "ผู้จัดการอู๋ แผลที่หายดีแล้ว ถ้าแค่สัมผัสมันคงไม่เจ็บหรอก แต่ถ้าคุณใช้ไม้ตีแรงๆ ที่แผลนั้น คุณกล้าพูดไหมว่าไม่เจ็บ?" เมื่อได้ยิน อู๋อี้ไห่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ก็แค่พูดไปงั้นๆ ไม่ได้หนักขนาดเหมือนที่คุณยกตัวอย่างเลย? หรือว่า คนที่บาดเจ็บนั้นเจ็บหนักเกินไปจนยังไม่หายดี"พอได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มที่ริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็เริ่มหายไป "คุณคิดผิดแล้ว ฉันไม่ได้สนใจเลยจริงๆ"อู๋อี้ไห่ยักไหล่แล้วพูดว่า "ถ้าท่านประธานวางเรื่องความรักลงได้แล้วมุ่งมั่นทำงาน สำหรับพนักงานอย่างพวกเรา นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดเลยครับ" พอพูดถึงตรงนี้ อู๋อี้ไห่ก็หยุด ไม่พูดต่ออีก "เอกสารอยู่บนโต๊ะนะครับ แต่ผมคิดว่าท่านประธานคงไม่ต้องการแล้ว ผมขอตัวไปทำงานก่อน
คำพูดของอู๋อี้ไห่แม้จะเป็นการหยอกล้อ แต่ก็สะท้อนถึงปัญหาที่แท้จริงว่า "ถ้าหากหาคนไม่ได้จริงๆ แค่ได้มาสักคนก็ยังดี แต่บริษัทของเราเป็นบริษัทเล็ก และในสถานการณ์ตอนนี้ คนในประเทศส่วนใหญ่หางานที่มั่นคง แม้บริษัทต่างชาติจะใหญ่ แต่มันอยู่ไกล และอาจจะไม่คุ้นเคยกับธุรกิจของเรา ก็อาจมีคนที่ยอมมาร่วมทำงาน แต่ก็คงไม่มากนัก" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มมีความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้าง"หมายความว่า ถ้าหากไม่มีทางเลือกแล้ว วิธีนี้ก็ยังพอเป็นไปได้ใช่ไหม?""ก็ใช่ ยังไงครับ มีแบ็คอัพอยู่ต่างประเทศหรอ?" อู๋อี้ไห่ถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น "คุณจะรังเกียจไหมถ้าผมถามเรื่องส่วนตัว?"เสิ่นหยินอู้รู้ทันว่าเขาต้องการถามอะไร จึงปฏิเสธทันทีหลังจากที่เขาพูดเสร็จ "รังเกียจ"เมื่อได้ยินแบบนั้น อู๋อี้ไห่ก็หัวเราะแล้วพูดว่า "จริงๆ แล้วผมแค่อยากถามว่า ท่านประธานแต่งงานใหม่หรือยัง ตอนนี้โสดหรือเปล่า?"เสิ่นหยินอู้ "......"เธอมองไปที่อู๋อี้ไห่อย่างเหนื่อยใจ "ฉันขอปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้""เฮ้อ โอเคๆ ไม่มีใครมาทำงาน จะคุยเรื่องซุบซิบนิดหน่อยก็ไม่ได้"ไม่มีใครมาทำงานจริงๆ เสิ่นหยินอู้ดูเวลา ก็เกือบถึง
โม่ไป๋เป็นคนรู้จักขอบเขต เมื่อคืนเขาพักอยู่ที่บ้านของเธอแค่คืนเดียว และคืนนี้ก็ไม่ได้เอ่ยปากขอพักอีก ก่อนจะออกไป โม่ไป๋บอกเธอว่า "พรุ่งนี้เช้าผมจะเอาอาหารเช้ามาให้ แล้วก็จะมารับเธอด้วย"。 เสิ่นหยินอู้หยุดนิ่งไปซักพัก จากนั้นก็พยักหน้า“โอเค ฉันรู้แล้ว”เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธเขาอีก โม่ไป๋จึงยิ้มและลูบหัวเธอเบาๆ “ดีใจที่เธอไม่ปฏิเสธอีกแล้ว นี่เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผม สู้ๆ ทำต่อไป” เสิ่นหยินอู้มองโม่ไป๋ ดูเหมือนเธออยากพูดบางอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง“อย่าคิดมากเกินไป” โม่ไป๋เหมือนจะมองเห็นความคิดของเธอ และพูดสิ่งที่เขาคิดออกมา“จริงๆ แล้ว ตอนที่เราอยู่ต่างประเทศ ผมไม่เคยมีโอกาสพูดสิ่งนี้กับเธอ ตอนนี้ถือว่าเป็นโอกาส แม้ว่าจะไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด แต่เสิ่นหยินอู้ ผมอยากบอกเธอว่า ถ้าเธอเลือกผม ผมจะเป็นพ่อที่ดี ผมจะดูแลเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนเหมือนกับเป็นลูกของผมเอง และผมขอสัญญาว่า นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว พวกเราจะไม่มีลูกคนอื่นอีก” เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากเขา เธอเองก็ยังคิดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ แต่ไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาหลังจากคิดอยู่ซักพัก เสิ่นหยินอู้พูด
ถ้าไม่พูดถึงเรื่องไลฟ์สด เสิ่นหยินอู้ก็เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ ตอนที่เตรียมกลับประเทศ การไลฟ์สดของเด็กน้อยทั้งสองคนก็ต้องหยุดไว้ก่อน เนื่องจากพิจารณาถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เลยไม่ได้แจ้งเวลาการเริ่มไลฟ์สดใหม่ เสิ่นหยินอู้ในช่วงนี้ก็ยุ่งมาก เลยไม่ได้ไปสนใจเรื่องการไลฟ์สดเลย ตอนนี้พอเด็กน้อยทั้งสองคนพูดถึง เธอเลยหยิบโทรศัพท์ออกมาดูความคิดเห็น ไม่คิดว่าเวลาจะผ่านไปเกินครึ่งเดือนแล้ว วิดีโอที่เธอลงในติ๊กต่อกมีความคิดเห็นเพิ่มขึ้นหลายหมื่นข้อความ ความคิดเห็นเหล่านี้ล้วนแต่ถามถึงวันที่จะเริ่มไลฟ์สดใหม่ บางความคิดเห็นที่บอกว่าคิดถึงเด็กน้อยทั้งสองคนได้รับไลค์สูงสุด“อืม” เสิ่นหยินอู้คิดอยู่ซักพัก “จริงๆ ตามตารางการเรียนของพวกหนู จะไลฟ์สดก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ แต่ต้องลดความถี่ลง เวลาส่วนใหญ่ยังคงต้องเข้าร่วมกิจกรรมกลางแจ้งให้มากขึ้น”พอได้ยินแบบนั้น เหมิงเหมิงก็สะบัดหัวเล็กน้อยและพูดว่า “หม่ามี๊ งั้นหม่ามี๊ก็ถ่ายวิดีโอในช่วงที่เหมิงเหมิงกับพี่เข้าร่วมกิจกรรมกลางแจ้งก็ได้หนิคะ” ข้อเสนอนี้ฟังดูดี เธอคิดว่าจะอยู่กับลูกๆ อยู่แล้ว การถ่ายวิดีโอเพิ่มเติมในช่วงเวลาที่อยู่ด้วย
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ