คำพูดของอู๋อี้ไห่ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เขาใช้ท่าทีและน้ำเสียงที่มั่นใจ เหมือนกับเรื่องที่เขาพูดเป็นความจริง เรื่องที่ไม่มีจริง เขากลับพูดเหมือนว่ามีอยู่จริง"ถ้าไม่มีอะไรจริงๆ พอได้ยินผมพูดแบบนี้ คุณก็ควรจะไม่รู้สึกอะไร เพราะสำหรับคนแล้ว ถ้าแผลหายดี การไปสัมผัสมันก็ไม่ควรจะรู้สึกอะไร""จริงหรอ?" เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า "ผู้จัดการอู๋ แผลที่หายดีแล้ว ถ้าแค่สัมผัสมันคงไม่เจ็บหรอก แต่ถ้าคุณใช้ไม้ตีแรงๆ ที่แผลนั้น คุณกล้าพูดไหมว่าไม่เจ็บ?" เมื่อได้ยิน อู๋อี้ไห่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "ก็แค่พูดไปงั้นๆ ไม่ได้หนักขนาดเหมือนที่คุณยกตัวอย่างเลย? หรือว่า คนที่บาดเจ็บนั้นเจ็บหนักเกินไปจนยังไม่หายดี"พอได้ยินแบบนั้น รอยยิ้มที่ริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็เริ่มหายไป "คุณคิดผิดแล้ว ฉันไม่ได้สนใจเลยจริงๆ"อู๋อี้ไห่ยักไหล่แล้วพูดว่า "ถ้าท่านประธานวางเรื่องความรักลงได้แล้วมุ่งมั่นทำงาน สำหรับพนักงานอย่างพวกเรา นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดเลยครับ" พอพูดถึงตรงนี้ อู๋อี้ไห่ก็หยุด ไม่พูดต่ออีก "เอกสารอยู่บนโต๊ะนะครับ แต่ผมคิดว่าท่านประธานคงไม่ต้องการแล้ว ผมขอตัวไปทำงานก่อน
คำพูดของอู๋อี้ไห่แม้จะเป็นการหยอกล้อ แต่ก็สะท้อนถึงปัญหาที่แท้จริงว่า "ถ้าหากหาคนไม่ได้จริงๆ แค่ได้มาสักคนก็ยังดี แต่บริษัทของเราเป็นบริษัทเล็ก และในสถานการณ์ตอนนี้ คนในประเทศส่วนใหญ่หางานที่มั่นคง แม้บริษัทต่างชาติจะใหญ่ แต่มันอยู่ไกล และอาจจะไม่คุ้นเคยกับธุรกิจของเรา ก็อาจมีคนที่ยอมมาร่วมทำงาน แต่ก็คงไม่มากนัก" เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เริ่มมีความคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้าง"หมายความว่า ถ้าหากไม่มีทางเลือกแล้ว วิธีนี้ก็ยังพอเป็นไปได้ใช่ไหม?""ก็ใช่ ยังไงครับ มีแบ็คอัพอยู่ต่างประเทศหรอ?" อู๋อี้ไห่ถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น "คุณจะรังเกียจไหมถ้าผมถามเรื่องส่วนตัว?"เสิ่นหยินอู้รู้ทันว่าเขาต้องการถามอะไร จึงปฏิเสธทันทีหลังจากที่เขาพูดเสร็จ "รังเกียจ"เมื่อได้ยินแบบนั้น อู๋อี้ไห่ก็หัวเราะแล้วพูดว่า "จริงๆ แล้วผมแค่อยากถามว่า ท่านประธานแต่งงานใหม่หรือยัง ตอนนี้โสดหรือเปล่า?"เสิ่นหยินอู้ "......"เธอมองไปที่อู๋อี้ไห่อย่างเหนื่อยใจ "ฉันขอปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้""เฮ้อ โอเคๆ ไม่มีใครมาทำงาน จะคุยเรื่องซุบซิบนิดหน่อยก็ไม่ได้"ไม่มีใครมาทำงานจริงๆ เสิ่นหยินอู้ดูเวลา ก็เกือบถึง
โม่ไป๋เป็นคนรู้จักขอบเขต เมื่อคืนเขาพักอยู่ที่บ้านของเธอแค่คืนเดียว และคืนนี้ก็ไม่ได้เอ่ยปากขอพักอีก ก่อนจะออกไป โม่ไป๋บอกเธอว่า "พรุ่งนี้เช้าผมจะเอาอาหารเช้ามาให้ แล้วก็จะมารับเธอด้วย"。 เสิ่นหยินอู้หยุดนิ่งไปซักพัก จากนั้นก็พยักหน้า“โอเค ฉันรู้แล้ว”เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ปฏิเสธเขาอีก โม่ไป๋จึงยิ้มและลูบหัวเธอเบาๆ “ดีใจที่เธอไม่ปฏิเสธอีกแล้ว นี่เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผม สู้ๆ ทำต่อไป” เสิ่นหยินอู้มองโม่ไป๋ ดูเหมือนเธออยากพูดบางอย่างแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง“อย่าคิดมากเกินไป” โม่ไป๋เหมือนจะมองเห็นความคิดของเธอ และพูดสิ่งที่เขาคิดออกมา“จริงๆ แล้ว ตอนที่เราอยู่ต่างประเทศ ผมไม่เคยมีโอกาสพูดสิ่งนี้กับเธอ ตอนนี้ถือว่าเป็นโอกาส แม้ว่าจะไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุด แต่เสิ่นหยินอู้ ผมอยากบอกเธอว่า ถ้าเธอเลือกผม ผมจะเป็นพ่อที่ดี ผมจะดูแลเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนเหมือนกับเป็นลูกของผมเอง และผมขอสัญญาว่า นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว พวกเราจะไม่มีลูกคนอื่นอีก” เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนี้จากเขา เธอเองก็ยังคิดถึงเรื่องเหล่านี้อยู่ แต่ไม่คิดว่าเขาจะพูดออกมาหลังจากคิดอยู่ซักพัก เสิ่นหยินอู้พูด
ถ้าไม่พูดถึงเรื่องไลฟ์สด เสิ่นหยินอู้ก็เกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริงๆ ตอนที่เตรียมกลับประเทศ การไลฟ์สดของเด็กน้อยทั้งสองคนก็ต้องหยุดไว้ก่อน เนื่องจากพิจารณาถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เลยไม่ได้แจ้งเวลาการเริ่มไลฟ์สดใหม่ เสิ่นหยินอู้ในช่วงนี้ก็ยุ่งมาก เลยไม่ได้ไปสนใจเรื่องการไลฟ์สดเลย ตอนนี้พอเด็กน้อยทั้งสองคนพูดถึง เธอเลยหยิบโทรศัพท์ออกมาดูความคิดเห็น ไม่คิดว่าเวลาจะผ่านไปเกินครึ่งเดือนแล้ว วิดีโอที่เธอลงในติ๊กต่อกมีความคิดเห็นเพิ่มขึ้นหลายหมื่นข้อความ ความคิดเห็นเหล่านี้ล้วนแต่ถามถึงวันที่จะเริ่มไลฟ์สดใหม่ บางความคิดเห็นที่บอกว่าคิดถึงเด็กน้อยทั้งสองคนได้รับไลค์สูงสุด“อืม” เสิ่นหยินอู้คิดอยู่ซักพัก “จริงๆ ตามตารางการเรียนของพวกหนู จะไลฟ์สดก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้ แต่ต้องลดความถี่ลง เวลาส่วนใหญ่ยังคงต้องเข้าร่วมกิจกรรมกลางแจ้งให้มากขึ้น”พอได้ยินแบบนั้น เหมิงเหมิงก็สะบัดหัวเล็กน้อยและพูดว่า “หม่ามี๊ งั้นหม่ามี๊ก็ถ่ายวิดีโอในช่วงที่เหมิงเหมิงกับพี่เข้าร่วมกิจกรรมกลางแจ้งก็ได้หนิคะ” ข้อเสนอนี้ฟังดูดี เธอคิดว่าจะอยู่กับลูกๆ อยู่แล้ว การถ่ายวิดีโอเพิ่มเติมในช่วงเวลาที่อยู่ด้วย
รุ่งเช้า หลังจากที่ฉินเย่ตื่นมาไม่นาน ก็ได้รับสายจากจี้ชิงเป่ย “หลี่มู่ถิงโทรหาฉัน บอกว่าเมื่อคืนนายก็ไม่ยอมกินอะไรอีกแล้ว?”เมื่อคืนฉินเย่นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง อารมณ์ในตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอตื่นขึ้นมาก็นึกถึงคำพูดเย็นชาของเสิ่นหยินอู้หน้าของเขาก็เริ่มบูดบึ้งอีกครั้ง“มีอะไร?”จี้ชิงเป่ยถอนหายใจ “เราเป็นเพื่อนกัน ไม่มีเรื่องอะไรจะโทรมาแสดงความห่วงใยนายไม่ได้เลยเหรอ?”“ไม่ต้อง” พูดจบ ฉินเย่ก็คิดจะวางสายทันที“เดี๋ยวก่อน”จี้ชิงเป่ยที่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไรก็รีบพูดขัดขึ้นทันที “ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”ฉินเย่ยังคงเหลือความอดทนเล็กน้อยสำหรับเพื่อน “ว่ามา”“นายทำร้ายจิตใจฉูฉู่อีกแล้วเหรอ?” พอได้ยินแบบนั้น แววตาของฉินเย่ก็ปรากฏแววเย้ยหยันขึ้นมา“ทำไม? เธอไปฟ้องนายแล้วเหรอ?”“ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นเหยียนซี เหยียนซีสงสารเธอมาก ขอให้ฉันช่วยพูดกับนาย” ฉินเย่ “……”“จี้ชิงเป่ย ถ้านายว่างแล้วไม่มีอะไรทำจริงๆ…...”“หยุดเลย หยุดเลย” จี้ชิงเป่ยรีบพูดแทรกเขา “ฉันไม่ได้ว่างงานหรอก นายไม่ต้องบอกให้ฉันทำอะไร ฉันมาเพื่อเตือนนาย ฉันอยากถามว่านายคิดยังไงกันแน่”พอมาถึงตรงนี้ จี้ชิงเป่ยก
จี้ชิงเป่ยถอนหายใจ “ไม่ใช้วิธีสะอาดตามกฎหมาย แล้วนายจะไม่รู้เรื่องของหล่อนหรือไง?”“เข้าใจแล้ว”หลังจากวางสาย ฉินเย่ก็เข้าสู้ภวังค์ความเงียบใช้วิธีอื่นงั้นเหรอ?จะว่าไปก็ลองดูได้-วันนี้ โม่ไป๋ขับรถส่งเสิ่นหยินอู้ไปทำงานด้วยตัวเองแน่นอนว่าระหว่างนั้นก็รวดส่งเด็กทั้งสองคนไปโรงเรียนด้วยระหว่างทางไปบริษัท เสิ่นหยินอู้เอาแต่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังตกอยู่ในความคิดของตัวเองโม่ไป๋รู้ดีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่หลังจากที่เธอกลับมาถึงเมื่อวาน เธอก็เอาแต่เหม่อลอยเหมือนคนคิดมากอะไรอยู่ตลอด“เป็นอะไร?”แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น โม่ไป๋ก็ปิดเพลงในรถ แล้วถามขึ้นก่อนเป็นไปตามคาด เพราะตอนแรกเสิ่นหยินอู้ไม่ได้ยินเสียงเขาเลย จนกระทั่งโม่ไป๋พูดขึ้นอีกครั้ง เธอถึงจะรู้สึกตัว“หา? ปะ…เปล่า ฉันกำลังคิดเรื่องบริษัทน่ะ”โม่ไป๋ “บริษัท? บริษัทเป็นไงบ้าง? ช่วงนี้ฉันเองก็ยุ่ง เลยไม่ได้ถามเธอเลย มีอะไรให้ฉันช่วยไหม?”“ไม่มีหรอก”เสิ่นหยินอู้ส่ายศีรษะ “เรื่องพวกนั้น ฉันจัดการเองได้”“มีเรื่องอะไร ก็อย่าเก็บไว้คนเดียว ช่วงนี้ยุ่งเรื่องอะไรอยู่เหรอ?”“ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนะ แค่อยากหาบริษัทหนึ่งมา
ได้ยินดังนั้น ดวงตาของโม่ไป๋พลันเป็นประกาย“จริงเหรอ?”เขาพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองเต็มที่ ริมฝีปากบางค่อยๆ ยกสูงขึ้น “บริษัทอะไรถึงได้ตาถึงขนาดนี้ เจอของดีอย่างพวกเธอเข้าน่ะ”เสิ่นหยินอู้มองเขาด้วยสายตาซับซ้อนเมื่อเห็นสายตาของเธอ โม่ไป๋ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา“มีอะไรเหรอ?”“เขา เขาเป็นคนลงทุนเอง”แม้จะเป็นโม่ไป๋ที่ใจเย็นมาก แต่คราวนี้เขาก็ยังเหยียบเบรก หยุดรถอยู่ริมถนนเสิ่นหยินอู้ตกใจสะดุ้ง แล้วหันไปมองเขาโชคดีที่ไม่มีรถตามอยู่ข้างหลัง ไม่อย่างนั้นการที่เขาเบรกแบบนั้น คงถูกชนท้ายต่อเป็นทอดๆ แล้วหลังจากที่จอดรถ โม่ไป๋ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่ตรงนั้น แล้วคืนสู่สภาวะใจเย็นอย่างรวดเร็ว“เหรอ?”เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าการแสดงออกของเขาผิดปกติ แต่ก็พยักหน้าหงึกๆ“อืม นายเป็นยังไงบ้าง? ให้ฉัน…ขับรถแทนไหม?”“หยินอู้ ไม่ต้อง” โม่ไป๋ขับรถ แล้วอธิบายเสียงเบาว่า “เมื่อกี้ฉันตอบสนองแรงไปหน่อย แค่ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้น่ะ ตกใจแย่เลยใช่ไหม?”“ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ว่าครั้งหน้าถ้านายเจอเรื่องแบบนี้อีก อย่าเบรกกะทันหันแบบนี้อีก โชคดีที่ไม่มีรถตามหลังเรามา ไม่อย่างงั้นวันนี้ต้องถูกชนท้ายเป็
อู๋อี้ไห่ลุกขึ้นพยักหน้าให้กับเธอ “บอสครับ คนนี้คือผู้ช่วยหลี่ เป็นตัวแทนจากฉินซื่อกรุ๊ปครับ”เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้ หลี่มู่ถิงก็ลุกขึ้นตาม แล้วมองเธอด้วยสายตาตะลึงงันก่อนที่จะมา เขาสงสัยว่าทำไมจู่ๆ ประธานฉินถึงได้ทำเรื่องที่ทำคนสับสนแบบนี้ได้ หลี่มู่ถิงมึนงงมาก ถึงขนาดโทรไปถามพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตน แต่พี่ชายลูกพี่ลูกน้องกลับบอกให้เขาไม่ต้องถามมาก แค่ทำตามก็พอ เพราะยังไงสุดท้ายก็จะมีคำตอบให้เองซึ่งเป็นไปตามคาด เพราะคำตอบเผยออกมาตรงนี้แล้วความสงสัยทุกอย่างของหลี่มู่ถิง ได้รับคำตอบอย่างชัดเจนหลังจากได้เห็นหน้าของเสิ่นหยินอู้เขาก็ว่า อยู่ดีไม่ว่าดี ทำไมประธานฉินถึงได้คิดจะลงทุนให้กับบริษัทเล็กๆ นี้ได้? ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เองเพราะมีคนมาลงทุน อู๋อี้ไห่จึงอารมณ์ดีมากอย่างเห็นได้ชัด เขายิ้มแล้วเดินเข้าไปทักทายเสิ่นหยินอู้“บอสครับ ผม…”เขากำลังจะปริปากพูด ก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใส่แว่นกรอบสีทอง โดยรวมแล้วดูอบอุ่นราวกับหยกคนหนึ่งเดินตามหลังเสิ่นหยินอู้เข้ามาจากนั้น คำพูดทุกอย่างที่กำลังจะพูดออกไปของอู๋อี้ไห่ก็หยุดชะงักลงถึงแม้ฝ่ายชายจะดูอบอุ่น แต่ออร่าของเขากลับแร
เขาพูดด้วยเสียงที่เบามากจนแทบไม่ได้ยิน ขณะที่เขาโน้มตัวเข้ามาเช็ดอีกด้าน เดิมทีเสิ่นหยินอู้จิตใจไม่สงบ พอได้ยินก็แค่กระพริบตาเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้ามองผู้ช่วยเฉิน ผู้ช่วยเฉินเช็ดเหงื่อที่หน้าผากให้เธอเสร็จ ก็ถอนมือกลับไป หลังจากนั้นเขาก็กลับมาเป็นปกติ ตอนเช้าที่ผู้ช่วยเฉินบอกเธอว่าฉินเย่ปลอดภัย เธอก็ยังอดกังวลไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะบอกสถานการณ์ให้เธอฟังอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ก็ยังอดรู้สึกไม่สบายใจไม่ได้อีก ท้ายที่สุด รูปถ่ายนั้นก็สร้างความหวาดกลัวให้เธอมากเกินไป อาจเป็นเพราะเพิ่งฝันร้าย ตอนนี้เธอยังคงรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วอยู่ ถึงแม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่ถ้าเรื่องในฝันเกิดขึ้นจริงล่ะจะทำยังไง?เมื่อนึกถึงแบบนั้น เธอก็ถอนหายใจลึก ๆ อย่างอ่อนล้า จากนั้นทำทีเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจว่า "ผู้ช่วยเฉิน คุณเคยฝันร้ายไหม?" ทันทีที่เธอพูดขึ้น คนรอบข้างก็หันมามองผู้ช่วยเฉินไม่คาดคิดว่าเธอจะคุยด้วย เขาจึงชะงักไปเล็กน้อยแล้วพยักหน้า “เคยครับ” หลังจากนั้นเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก ผู้ช่วยเฉินมองเธอแวบหนึ่งและปลอบว่า “คุณเสิ่นความฝันก็คือความฝัน เพราะมันตรงข้ามกับความเป็นจริง สภาพของคุณต
เสิ่นหยินอู้พยายามจะอธิบายกับเขา แต่เขากลับดึงเข็มน้ำเกลือออกแล้วเดินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เสิ่นหยินอู้รีบออกไปตามหา แต่เมื่อออกมาจากห้องผู้ป่วยกลับไม่เห็นเขา เธอจึงวิ่งตามหาอย่างกระหืดกระหอบ แต่ก็ไม่พบตัวฉินเย่เลย เธอค้นหาเขาหลายสถานที่ จนในที่สุดก็เห็นแผ่นหลังที่เหมือนกับฉินเย่ทุกประการ แต่ไม่ว่าจะพยายามไล่ตามแค่ไหนก็ไม่ทัน เธอทำได้แค่เดินตามหลัง และเห็นเขาก้าวเข้าไปในพิธีแต่งงานพร้อมกับหญิงสาวอีกคนที่สวมชุดเจ้าสาวถึงขั้นที่สุดท้าย ผู้หญิงคนนั้นไล่เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนออกไป แล้วชี้มาทางเธอพร้อมกับพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้มาจากไหนกัน พาลูกนอกสมรสสองคนมาคิดจะมาเป็นคุณนายฉินหรอ? เพ้อเจ้อจริง ๆ รีบไสหัวไปให้พ้นก่อนที่ฉันจะโมโห ไม่อย่างนั้นก็อย่าหาว่าฉันไม่ปรานี” เด็กทั้งสองคนกอดเธอและร้องไห้เสียงดัง ถามหา ‘ป่าป๊า’ เสิ่นหยินอู้รู้สึกกระวนกระวายใจมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและทำไมเรื่องราวถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ เธอต้องการแก้ไขสถานการณ์ แต่เหมือนถูกพันธนาการจนขยับไม่ได้ ทำให้เธอกระวนกระวายใจอย่างคนที่ร้อนใจไม่เป็นสุข “คุณเสิ่น......คุณเสิ่นครับ” เสิ่นหยินอู้เหมือนจะได้ยินเสียงค
หลังจากขอบคุณนักศึกษาหญิงที่มีน้ำใจแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็ออกจากห้องน้ำและกลับไปหากลุ่มคนที่รอเธออยู่ เธอไม่ทันสังเกตว่านักศึกษาหญิงแอบเดินตามเธอออกจากห้องน้ำและมองดูเธอเดินไปหากลุ่มชายหนุ่มที่รุมล้อมเธอไว้จากระยะไกล “คุณเสิ่นครับ คุณกลับมาแล้ว งั้นตอนนี้เราออกเดินทางกันเถอะครับ” ด้วยความเป็นห่วงเพราะได้รับคำสั่ง พวกเขาก็ล้อมเสิ่นหยินอู้ไว้ขณะพาเธอไปยังจุดหมาย นักศึกษาหญิงมองพวกเขาจากข้างหลังด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด ระหว่างเดินออกไป เสิ่นหยินอู้ค่อย ๆ ชะลอฝีเท้า หาจังหวะเพื่อแอบเอากระดาษทิชชู่ใส่ในกระเป๋าของผู้ช่วยเฉิน ผู้ช่วยเฉินรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เธอทำ ดวงตาฉายแววเล็กน้อย แต่ยังคงทำท่าทางเฉยเมยเดินหน้าต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกระทั่งก่อนขึ้นเครื่อง เขาอ้างเหตุผลขอไปเข้าห้องน้ำและแอบเปิดกระดาษทิชชู่ที่เสิ่นหยินอู้เขียนมาให้ เสิ่นหยินอู้ไม่ได้เขียนอะไรมากนัก คำถามแรกคือ ตอนนี้ฉินเย่เป็นยังไงบ้าง? คำถามที่สองคือ แล้วเขาล่ะ? มีจุดอ่อนอะไรอยู่ในมือของโม่ไป๋หรือเปล่า? ความห่วงใยของเธอทำให้ผู้ช่วยเฉินรู้สึกอบอุ่นในใจ ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจความลำบากของเขาและไม่ได้เข้าใจ
เธอสบตากับผู้ช่วยเฉิน และพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่คฤหาสน์ เขามีท่าทีเย็นชาใส่เธอมาตลอด นั่นเป็นเพราะในคฤหาสน์มีกล้องวงจรปิดอยู่ทุกที่ เขาจึงไม่สามารถสื่อสารกับเธอได้ แม้กระทั่งการส่งสายตา แต่ตอนนี้มาถึงสนามบินแล้ว สนามบินอาจจะไม่ได้มีสายลับของโม่ไป๋อยู่ ถึงจะมีบ้าง แต่คงไม่เยอะเท่ากับในคฤหาสน์ สายลับในสนามบินน่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งมักจะอู้บ้าง และไม่ได้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งเหมือนกับกล้องวงจรปิด แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็ยังมีการดักฟังตลอดเวลา เธอจึงไม่สามารถพูดคุยกับผู้ช่วยเฉินได้เลย ถ้าอยากจะพูดคุยกัน ต้องหาวิธีในภายหลังเสิ่นหยินอู้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เมื่อกี้ฉันดื่มเบียร์เย็นเข้าไป ตอนนี้รู้สึกไม่สบายท้องเลย”เมื่อได้ยิน ผู้ช่วยเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “คุณเสิ่นให้ผมเตรียมยามาให้ไหมครับ?”เสิ่นหยินอู้ส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ แต่ฉันขอกระดาษทิชชู่หน่อย คุณพอมีมั้ยคะ?” เธอพูดด้วยท่าทางปกติ น้ำเสียงก็เย็นชา จนผู้ช่วยเฉินไม่แน่ใจว่าเธอสังเกตเห็นสัญญาณทางสายตาที่เขาส่งให้หรือเปล่า“มีครับ” ผู้ช่วยเฉินหยิบกระดาษทิชชู่จากกระเป๋าแ
ปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “เธอก็รู้นี่ ว่าผมไม่อยากเห็นเธอเจ็บปวด” “จริงเหรอ?” เสิ่นหยินอู้หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา“อย่าดื่มเบียร์เลยนะ โอเคมั้ย?”ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ตอบทันทีว่า “ได้สิ งั้นคืนนี้ฉันจะออกเดินทางเลย” เดิมทีเธอแค่ต้องการดื่มอะไรเย็น ๆ เพื่อคลายความหงุดหงิด แต่กลับกลายเป็นว่าเธอสามารถควบคุมโม่ไป๋ด้วยเรื่องนี้ได้ ดังนั้นอย่าโทษที่เธอจะใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ยังไงเธอก็ถูกเขาข่มขู่ให้มาที่นี่อยู่แล้ว อีกฝั่งเงียบไปนานก่อนจะพูดว่า “วันนี้ไม่ได้”“จริงเหรอ?” เสิ่นหยินอู้หัวเราะเย็นชา “ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้วใช่ไหม?” “หยินอู้ เธอต้องการจะขัดผมจริง ๆ เหรอ?”“ขัด?” เสิ่นหยินอู้สายตาหม่นหมองลง “ฉันคิดว่าเราน่าจะเป็นเพื่อนกัน ถ้าวันไหนที่ฉันต้องขัดนายจริง ๆ ก็คงเป็นเพราะนายบังคับเอง” พูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่พูดอะไรต่อแล้วก็ตัดสายไปทันที หลังจากนั้นเธอก็ยกเบียร์ขึ้นมาดื่มจิบ ๆ ไปเรื่อย ๆ ผ่านไปซักพัก ประตูห้องก็ถูกเปิดออก ผู้ช่วยเฉินเดินเข้ามาทันทีและพยายามหยิบเบียร์จากมือเธอไป แต่เสิ่นหยินอู้เหมือนจะรู้ทัน และเลื่อนเบี
สุดท้ายเธอก็ลุกขึ้น เดินลงไปที่ครัวชั้นล่างและเปิดตู้เย็น ขณะที่เธอกำลังหาของ ผู้ช่วยเฉินก็ตามมาพร้อมพูดว่า “คุณเสิ่นต้องการอะไร บอกผมมาก็ได้ครับ” เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจเขา ค้นหาของในตู้เย็นอยู่นาน และในที่สุดก็เจอเบียร์เย็นสองกระป๋อง เธอหยิบเบียร์และหันกลับไปเดินขึ้นชั้นบน ทันใดนั้น เสียงเย็นยะเยือกในหูฟังของผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “อย่าให้เธอดื่มเบียร์”ใช่ นี่คือเสียงของโม่ไป๋ ตั้งแต่เขาเจอกับคุณเสิ่น เขาก็เฝ้าฟังความเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้เขาต้องรักษาท่าทีเย็นชากับเสิ่นหยินอู้ เมื่อได้ยินคำสั่งของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็รีบตอบสนองทันที ก้าวเท้าเร็ว ๆ ตามเสิ่นหยินอู้ไป“คุณเสิ่นครับ” เสิ่นหยินอู้หยุดเดินและมองเขาอย่างไร้อารมณ์เช่นกัน“เบียร์นี้ ผมให้คุณไม่ได้ครับ” ผู้ช่วยเฉินยื่นมือไปหาเธอ “ส่งมาให้ผมเถอะ”เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก้มมองเบียร์สองกระป๋องในมือ แล้วพูดยิ้ม ๆ ว่า “อะไร แค่อิสระในการเลือกของ ฉันยังไม่มีเลยหรอคะ?”ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบอะไร เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยอย่างเงียบ ๆเมื่อเห็นเขาทำสีหน้าท่าทางแบบนั้น เสิ่นหยินอู้หัวเราะเบา ๆ และไม่ได้ส่งเบียร์ให้เข
หลี่มู่ถิง: “ผมเข้าใจแล้วครับ ผมจะให้พวกเขาคอยสังเกต แล้วคุณเสิ่น...…” “ฉันจะอยู่ที่นี่ชั่วคราว สำหรับเรื่องหลังจากนี้......ฉันจะหาทางติดต่อพวกคุณไปค่ะ” เมื่อได้ยินแบบนี้ หลี่มู่ถิงก็เข้าใจได้ทันทีว่า เธอจะไม่กลับไปกับพวกเขา “คุณเสิ่น คุณถูกกักตัวไว้หรือเปล่าครับ?” ถูกกักไว้เหรอ? เสิ่นหยินอู้มองออกไปข้างนอก คิดถึงตอนที่ผู้ช่วยเฉินเดินออกไปโดยไม่สนใจว่าเธอจะหนีหรือเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครคิดจะกักเธอไว้ สิ่งที่กักขังเธอไว้คือความห่วงใยที่มีให้ฉินเย่ ตั้งแต่เธอตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินมาที่นี่ ก็เหมือนเธอถูกกักไว้แล้ว“ไม่มีใครกักฉันไว้ค่ะ ฉันค่อนข้างอิสระที่นี่ แต่คุณน่าจะเข้าใจว่าพวกเรามาที่นี่เพื่ออะไร วันนี้คุณพาคนกลับไปได้เลยค่ะ กลับไปพักผ่อนและหาเบาะแสต่อเถอะ” อีกฝ่ายเงียบไปนานก่อนจะพยักหน้า“คุณเสิ่น ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะทำตามที่คุณบอก”ตู๊ด ตู๊ด—— หลังจากวางสาย เสิ่นหยินอู้วางโทรศัพท์ลงบนอ่างล้างหน้า ก้มลงล้างหน้าแล้วปิดก๊อกน้ำในห้องน้ำหลังจากนั้น เธอก็หมุนตัวออกจากห้องน้ำไปหาผู้ช่วยเฉิน เธอคิดว่าเขาจะอยู่ในห้องใดห้องหนึ่งของวิลล่า แต่เธอกลับเห็นเขา
ความจริงใจ...... คำนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกขยะแขยงขึ้นมา เขายังคิดว่าตัวเองมีความจริงใจอยู่อีกหรอ? เสิ่นหยินอู้พยายามระงับความรู้สึกที่จะด่าเขา เธอตัดสายโทรศัพท์ทันทีแล้วส่งโทรศัพท์คืนให้ผู้ช่วยเฉิน“ฉันจะดูรูปตอนนี้”ผู้ช่วยเฉินรับโทรศัพท์มาอย่างไร้ความรู้สึกแล้วเปิดรูปให้ดู พอเสิ่นหยินอู้เห็นรูป สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีในรูป ฉินเย่นอนอยู่บนเตียง ใบหน้าซีดเซียว มีผ้าก๊อซพันอยู่รอบหน้าผากและยังมีรอยเลือดอยู่บนผ้าก๊อซ“นี่มันเรื่องอะไร?” เสิ่นหยินอู้เดินเข้ามาจับแขนของผู้ช่วยเฉิน “ทำไมเขาถึงบาดเจ็บขนาดนี้? โม่ไป๋ทำเขาเจ็บแบบนี้หรอ? เขาเป็นอันตรายถึงชีวิตไหม?” ผู้ช่วยเฉินมองมือของเธอ จากนั้นสะบัดออกอย่างไร้ความรู้สึก แล้วถอยหลังเพื่อรักษาระยะห่าง“คุณเสิ่น เรื่องนี้ผมไม่ทราบ หากคุณอยากรู้ ก็ไปถามคุณโม่ด้วยตัวเองดีกว่าครับ” “ได้ ฉันจะถามเขาเอง” แต่ผู้ช่วยเฉินกลับดึงโทรศัพท์กลับไป ไม่ได้ให้เธออีกแล้ว“คุณบอกให้ฉันถามเองไม่ใช่เหรอ? ถ้าไม่ให้โทรศัพท์ ฉันจะโทรหาเขาได้ยังไง?” “คุณเสิ่น คุณโม่หมายความว่า รอให้เจอกันก่อนแล้วเขาจะบอกคุณ”เสิ่นหยินอู้"......" เมื่อพูดจบ ผู้
เธอมองคนที่มาอยู่นาน ก่อนจะค่อย ๆ รู้สึกตัว จากนั้นรีบก้าวเข้าไปอย่างดีใจ“ผู้ช่วยเฉิน ดีจังเลยที่คุณไม่เป็นอะไร ฉันนึกว่าคุณ...…” แต่พอเธอเดินเข้าไปใกล้ ผู้ช่วยเฉินกลับถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อรักษาระยะห่างจากเธอเสิ่นหยินอู้หยุดก้าวทันที มองเขาด้วยความสงสัย“เป็นอะไรไปคะ?” แต่สายตาของผู้ช่วยเฉินกลับเย็นชา มองเธอเหมือนคนแปลกหน้า ไม่มีท่าทีเหมือนก่อนหน้านี้ไม่สิ คนแปลกหน้าก็ยังไม่เย็นชาขนาดนี้ ราวกับว่าพวกเขามีความแค้นต่อกัน “คุณเสิ่นให้ผมรออยู่นานเลยนะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเสิ่นหยินอู้ "......"รอยยิ้มที่มุมปากของเธอค่อย ๆ หายไป ก่อนจะพูดขึ้นหลังจากเงียบไปซักพัก “ผู้ช่วยเฉิน คุณเป็นอะไรไปคะ?” แต่ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบ กลับจ้องไปที่นอกประตูแทน“คุณเสิ่นมาคนเดียวใช่ไหมครับ? ได้ทำตามสัญญาหรือเปล่า?” เสิ่นหยินอู้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทำได้แค่พยักหน้าตามคำพูดของเขา“พวกเขามาส่งฉันค่ะ แต่ยังอยู่ห่างจากที่นี่ ฉันไม่ได้ให้พวกเขาเข้ามา” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้หยุดไปซักพัก แล้วพูดต่อว่า “นี่ไม่นับเป็นการผิดสัญญาใช่ไหม?”ผู้ช่วยเฉินไม่ได้ตอบรับ เสิ่นหยินอ