จี้ชิงเป่ยถอนหายใจ “ไม่ใช้วิธีสะอาดตามกฎหมาย แล้วนายจะไม่รู้เรื่องของหล่อนหรือไง?”“เข้าใจแล้ว”หลังจากวางสาย ฉินเย่ก็เข้าสู้ภวังค์ความเงียบใช้วิธีอื่นงั้นเหรอ?จะว่าไปก็ลองดูได้-วันนี้ โม่ไป๋ขับรถส่งเสิ่นหยินอู้ไปทำงานด้วยตัวเองแน่นอนว่าระหว่างนั้นก็รวดส่งเด็กทั้งสองคนไปโรงเรียนด้วยระหว่างทางไปบริษัท เสิ่นหยินอู้เอาแต่เหม่อมองไปนอกหน้าต่างราวกับกำลังตกอยู่ในความคิดของตัวเองโม่ไป๋รู้ดีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่หลังจากที่เธอกลับมาถึงเมื่อวาน เธอก็เอาแต่เหม่อลอยเหมือนคนคิดมากอะไรอยู่ตลอด“เป็นอะไร?”แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น โม่ไป๋ก็ปิดเพลงในรถ แล้วถามขึ้นก่อนเป็นไปตามคาด เพราะตอนแรกเสิ่นหยินอู้ไม่ได้ยินเสียงเขาเลย จนกระทั่งโม่ไป๋พูดขึ้นอีกครั้ง เธอถึงจะรู้สึกตัว“หา? ปะ…เปล่า ฉันกำลังคิดเรื่องบริษัทน่ะ”โม่ไป๋ “บริษัท? บริษัทเป็นไงบ้าง? ช่วงนี้ฉันเองก็ยุ่ง เลยไม่ได้ถามเธอเลย มีอะไรให้ฉันช่วยไหม?”“ไม่มีหรอก”เสิ่นหยินอู้ส่ายศีรษะ “เรื่องพวกนั้น ฉันจัดการเองได้”“มีเรื่องอะไร ก็อย่าเก็บไว้คนเดียว ช่วงนี้ยุ่งเรื่องอะไรอยู่เหรอ?”“ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรนะ แค่อยากหาบริษัทหนึ่งมา
ได้ยินดังนั้น ดวงตาของโม่ไป๋พลันเป็นประกาย“จริงเหรอ?”เขาพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองเต็มที่ ริมฝีปากบางค่อยๆ ยกสูงขึ้น “บริษัทอะไรถึงได้ตาถึงขนาดนี้ เจอของดีอย่างพวกเธอเข้าน่ะ”เสิ่นหยินอู้มองเขาด้วยสายตาซับซ้อนเมื่อเห็นสายตาของเธอ โม่ไป๋ก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา“มีอะไรเหรอ?”“เขา เขาเป็นคนลงทุนเอง”แม้จะเป็นโม่ไป๋ที่ใจเย็นมาก แต่คราวนี้เขาก็ยังเหยียบเบรก หยุดรถอยู่ริมถนนเสิ่นหยินอู้ตกใจสะดุ้ง แล้วหันไปมองเขาโชคดีที่ไม่มีรถตามอยู่ข้างหลัง ไม่อย่างนั้นการที่เขาเบรกแบบนั้น คงถูกชนท้ายต่อเป็นทอดๆ แล้วหลังจากที่จอดรถ โม่ไป๋ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่ตรงนั้น แล้วคืนสู่สภาวะใจเย็นอย่างรวดเร็ว“เหรอ?”เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าการแสดงออกของเขาผิดปกติ แต่ก็พยักหน้าหงึกๆ“อืม นายเป็นยังไงบ้าง? ให้ฉัน…ขับรถแทนไหม?”“หยินอู้ ไม่ต้อง” โม่ไป๋ขับรถ แล้วอธิบายเสียงเบาว่า “เมื่อกี้ฉันตอบสนองแรงไปหน่อย แค่ไม่คิดว่าเขาจะทำแบบนี้น่ะ ตกใจแย่เลยใช่ไหม?”“ไม่ขนาดนั้นหรอก แต่ว่าครั้งหน้าถ้านายเจอเรื่องแบบนี้อีก อย่าเบรกกะทันหันแบบนี้อีก โชคดีที่ไม่มีรถตามหลังเรามา ไม่อย่างงั้นวันนี้ต้องถูกชนท้ายเป็
อู๋อี้ไห่ลุกขึ้นพยักหน้าให้กับเธอ “บอสครับ คนนี้คือผู้ช่วยหลี่ เป็นตัวแทนจากฉินซื่อกรุ๊ปครับ”เมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้ หลี่มู่ถิงก็ลุกขึ้นตาม แล้วมองเธอด้วยสายตาตะลึงงันก่อนที่จะมา เขาสงสัยว่าทำไมจู่ๆ ประธานฉินถึงได้ทำเรื่องที่ทำคนสับสนแบบนี้ได้ หลี่มู่ถิงมึนงงมาก ถึงขนาดโทรไปถามพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของตน แต่พี่ชายลูกพี่ลูกน้องกลับบอกให้เขาไม่ต้องถามมาก แค่ทำตามก็พอ เพราะยังไงสุดท้ายก็จะมีคำตอบให้เองซึ่งเป็นไปตามคาด เพราะคำตอบเผยออกมาตรงนี้แล้วความสงสัยทุกอย่างของหลี่มู่ถิง ได้รับคำตอบอย่างชัดเจนหลังจากได้เห็นหน้าของเสิ่นหยินอู้เขาก็ว่า อยู่ดีไม่ว่าดี ทำไมประธานฉินถึงได้คิดจะลงทุนให้กับบริษัทเล็กๆ นี้ได้? ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เองเพราะมีคนมาลงทุน อู๋อี้ไห่จึงอารมณ์ดีมากอย่างเห็นได้ชัด เขายิ้มแล้วเดินเข้าไปทักทายเสิ่นหยินอู้“บอสครับ ผม…”เขากำลังจะปริปากพูด ก็เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใส่แว่นกรอบสีทอง โดยรวมแล้วดูอบอุ่นราวกับหยกคนหนึ่งเดินตามหลังเสิ่นหยินอู้เข้ามาจากนั้น คำพูดทุกอย่างที่กำลังจะพูดออกไปของอู๋อี้ไห่ก็หยุดชะงักลงถึงแม้ฝ่ายชายจะดูอบอุ่น แต่ออร่าของเขากลับแร
เสิ่นหยินอู้ “…”ดีมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้เตรียมใจไว้ก่อนเพราะก่อนหน้านี้อู๋อี้ไห่ก็บอกให้เธอไปขอเงินลงทุนกับฉินซื่อกรุ๊ปตลอดอีกอย่างการที่เขาทำแบบนี้ ก็ถือเป็นการคิดเพื่อบริษัท สำหรับบริษัทแล้ว การมีผู้จัดการแบบนี้อยู่ถือเป็นเรื่องที่ดีมากเรื่องหนึ่งเธอไม่ได้โกรธ เพียงแค่พยักหน้า แล้วหันหลังเดินลงตึกไปทุกกระบวนการนี้ ดูเหมือนโม่ไป๋จะถูกเธอละเลยไปอย่างไรอย่างนั้นรอให้เธอลงไปชั้นล่างเตรียมตัวจะไปเรียกรถ เธอก็ถูกโม่ไป๋เรียกเอาไว้“เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”ได้ยินดังนั้น ฝีเท้าของเสิ่นหยินอู้ก็ชะงักลง เมื่อเห็นโม่ไป๋ถือกุญแจรถไว้ในมือแล้วมองตัวเองอยู่ตลอดเวลาแบบนั้น เธอถึงจะตระหนักบางอย่างขึ้นได้“ขอโทษนะ เมื่อกี้ฉันมัวแต่ยุ่งน่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะ…”เธอเพียงแค่อยากบอกว่า เธอไม่ได้ตั้งใจจะละเลยโม่ไป๋ แต่เมื่อคำพูดมาถึงปลายลิ้น เธอก็คิดขึ้นได้ว่าถ้าพูดออกไป คงจะยิ่งทำร้ายจิตใจของเขาสินะ?“จะไปหาเขาเหรอ? เดี๋ยวฉันไปเป็นเพื่อน”เสิ่นหยินอู้เรียกเขาไว้โดยสัญชาตญาณ“ฉันไปคนเดียวก็พอ”ได้ยินดังนั้น การกระทำในมือของโม่ไป๋พลันชะงัก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หันหน้าไปมองเธอเงียบๆเผช
ไม่รู้?เสิ่นหยินอู้แทบจะหลุดขำออกมาเพราะคำตอบของเขาวันก่อนเขายังบอกว่าถ้าเขาไม่พยักหน้า บริษัทเจ้าอื่นจะไม่มีทางผิดใจกับเขา และไม่ลงทุนให้บริษัทเธอแน่นอนแต่ตอนนี้เขากลับมาลงทุนให้บริษัทของตัวเอง แล้วมาบอกว่าไม่รู้เนี่ยนะ?เสิ่นหยินอู้หัวเราะแห้ง แล้วพูดอย่างเย็นชา “ในเมื่อไม่รู้ ถ้างั้นก็อย่าทำนอกเรื่อง”ได้ยินดังนั้น ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว “ทำแล้วจะทำไม?”“ฉันจะลงทุนบริษัทเธอ แล้วเธอจะทำอะไรฉันได้?”เสิ่นหยินอู้มองดูริมฝีปากสีซีดและหน้าผากที่ชุ่มเหงื่อของเขา แล้วพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ก็ไม่ทำอะไรหรอก ฉันเองก็ไม่คิดอะไรอยู่แล้ว นายไม่กลัวขาดทุนก็พอ”กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็หันหลังกำลังจะเดินกลับไปแต่ฉินเย่กลับมองเธอเงียบๆ ริมฝีปากบางยังไงเม้มแน่นราวกับไม่คิดจะสนทนาอะไรกับเธอต่อเธอหันหลังเดินไปสองก้าว ก็นึกบางอย่างขึ้นได้ แล้วหันกลับไปมองฉินเย่“คุณย่าล่ะ?”ฉินเย่ที่เดิมก้มหน้าลงหลังจากที่เธอเดินจากไปแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แล้วกล่าวยิ้มเบาๆ ว่า “ทำไม เธออยากเจอท่านเหรอ?”“ใช่” เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อยากเจอท่านสักหน่อยน่ะ”หลังจากที่เธอพูดคำพูดเหล่านั้นออกไปเมื่อวาน เธอก็รู้สึกเสียใจ
หนึ่งชั่วโมงต่อมาคุณหมอยื่นใบแจ้งผลฉบับหนึ่งให้กับเสิ่นหยินอู้“เขาเป็นโรคกระเพาะขั้นรุนแรง ถึงสาเหตุหลักที่ทำให้เขาเป็นลมจะมาจากโรคกระเพาะ แต่สาเหตุที่สารอาหารไม่เพียงพอ เครียดมากเกินไปก็เป็นผลด้วย”เสิ่นหยินอู้รับใบแจ้งผลมาจากหมอไม่อยากเชื่อเลยว่าคำว่าสารอาหารไม่เพียงพอ และเครียดมากเกินไปพรรค์นี้จะใช้กับตัวฉินเย่เพราะในความทรงจำของเธอ ฉินเย่เป็นคนที่ทำได้ทุกอย่างมาโดยตลอดอีกอย่าง ดูเหมือนว่าเขาจะไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเลยด้วยเสิ่นหยินอู้มองไปที่ห้องผู้ป่วย แล้วถามคุณหมอว่า “แล้วเขาต้องทำยังไงต่อคะ? ต้องแอดมิดหรือว่า?”“สถานการณ์ของคนไข้ตอนนี้ หมอแนะนำให้แอดมิดดูอาการสักพักหนึ่งก่อน ไม่อย่างนั้นขืนปล่อยไว้นาน อาการป่วยจะยิ่งร้ายแรงขึ้น”“ถ้างั้นโรคกระเพาะของเขาเป็นแบบนี้ได้ยังไงเหรอคะ?”“คนคนนี้ คนไข้คนนี้ทานอาหารไม่ตรงเวลา ดื่มเหล้า ก็อาจทำร้ายกระเพาะด้วยก็ได้ คืออย่างนี้ แฟนของคุณดื่มเหล้าไหม?”คำว่าแฟน ทำให้เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้วมุ่นอยากจะอธิบาย แต่คิดไปคิดมาก็ไม่มีประโยชน์ เธอจึงพยักหน้า“ค่ะ เขาดื่มหนักมาก”ถึงแม้เธอจะไม่เห็นเองกับตาแต่ฟังจากที่เฉียวลี่ซือพูดว่าหล่อนเ
เพียงแต่ เขาทำให้ตัวเองเป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?ตอนนี้ เสิ่นหยินอู้เข้าใจแล้วว่าทำไมตอนอยู่ที่โรงแรม ฉินเย่ถึงได้ไม่อยากสาธยายกับตนขนาดนั้นตอนนั้นเขาคงฝืนทนถึงที่สุดแล้วสินะ?เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้พลันถอนหายใจ แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาอู๋อี้ไห่อู๋อี้ไห่รับสายเธอ แล้วถามอย่างระมัดระวังว่า “บอสครับ ทำไมคุณยังไม่กลับมาอีกล่ะครับ? พวกคุณ…ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณใช่ไหมครับ?”“ไม่มี แต่ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่โรงพยาบาล…”“อะไรนะ?” อู๋อี้ไห่ตกใจ “ทำไมถึงอยู่ที่โรงพยาบาลได้ล่ะครับ? บอสครับ ถึงคุณกับประธานฉินจะเคยมีความสัมพันธ์ด้วยกันมาก่อน แต่ก็ไม่ควรมีเรื่องใหญ่ขนาดนี้สิครับ คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหมครับบอส?”“…”เมื่ออีกฝ่ายพูดจบ เสิ่นหยินอู้ถึงได้พูดขึ้นอย่างหมดหนทางว่า “นายช่วยฟังฉันพูดให้จบก่อนได้ไหม?”“ได้ครับๆ บอสพูดมาได้เลยครับ”เมื่อได้ยินว่าเธออยู่ที่โรงพยาบาล อู๋อี้ไห่ก็เป็นห่วงมาก กลัวว่าถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ จะทำให้เสียนักลงทุนไป ถึงตอนนั้นบริษัทจะยิ่งแย่กว่าช่วงที่ยังไม่มีคนลงทุนเสียอีก“เราไม่ได้มีเรื่องอะไรกันหรอก แต่ว่าฉินเย่เป็นลมน่ะ ฉันก็เลยพาเขามาโรงพยาบ
เมื่อหลี่มู่ถิงมาถึงโรงพยาบาล เขาก็เห็นเสิ่นหยินอู้ยืนรอเขาอยู่หน้าประตูห้องผู้ป่วยจากที่ไกลทันทีที่เห็นเสิ่นหยินอู้ หลี่มู่ถิงก็นึกถึงการสัมผัสจากปลายนิ้วอย่างไม่ทันระวังก่อนหน้านี้ แล้วมองไปที่ใบหน้าฟ้าประทานของเสิ่นหยินอู้อีกที เขาก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอีกครั้งดังนั้น เมื่อเขาเดินเข้าไปใกล้ สิ่งที่เสิ่นหยินอู้เห็น คือหลี่มู่ถิงที่หน้าหูแดงไปหมดเธอเองก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพียงแค่คิดซะว่าหลี่มู่ถิงฝ่าอากาศหนาวมาเท่านั้น แล้วเดินเข้าไปมอบโทรศัพท์กับกระเป๋าเงิน คีย์การ์ดห้องต่างๆ ให้กับหลี่มู่ถิง“ของพวกนี้เป็นของประธานฉินของคุณทั้งหมด”หลี่มู่ถิงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพียงแค่รับของมาตามจำนวนที่เธอยื่นให้สุดท้ายเมื่อเห็นมือที่ว่างเปล่าของเสิ่นหยินอู้ เขาถึงจะเข้าใจบางอย่าง“คุณเสิ่นจะไปแล้วเหรอครับ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า“ใช่ค่ะ ไหนๆ คุณก็มาแล้ว ฉันก็ควรจะไป”“หา?” หลี่มู่ถิงรู้สึกผิดในทันทีที่ตนเร่งเดินทางมาที่นี่ ถ้าหากฉินเย่รู้ว่าเสิ่นหยินอู้กลับไปเพราะตนล่ะก็ เขาต้องไล่ตนแน่ๆเมื่อนึกถึงตรงนี้ หลี่มู่ถิงก็รีบเอ่ยรั้งว่า “คุณเสิ่นอย่าเพิ่งไปได้ไหมครับ? ผมเองก็เพิ่งมาถึงยั