เสิ่นหยินอู้เห็นว่าดึกแล้ว จึงให้เด็กสองคนไปนอน จากนั้นจัดการนี่นั่นด้วยตัวเอง เมื่อจัดการเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าโม่ไป๋ยังนั่งอยู่บนโซฟา และดูเหมือนว่าเขาไม่มีท่าทีว่าจะจากไปตามที่คิด ก่อนที่เสิ่นหยินอู้จะได้พูดอะไร โม่ไป๋ก็ถอดแว่นตาขอบทองเขาออก แล้วยิ้มให้เธอ: "เหมือนจะดึกแล้วนะ"ได้ยินแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้าโดยไม่รู้ตัว"อืม ก็ดึกแล้ว""จากที่นี่ไปโรงแรมก็ไกลพอสมควร ดังนั้นคืนนี้ผมขอพักที่นี่ได้ไหม? แน่นอน ผมจะจ่ายค่าเช่า"ได้ยินเขาพูดว่าจะจ่ายค่าเช่า เสิ่นหยินอู้คิดว่ามันไร้สาระเกินไป"จะจ่ายค่าเช่าทำไม บ้านหลังนี้คุณเช่าให้เราอยู่แล้วนี่ แค่คืนเดียวเองพักผ่อนให้สบายเถอะ"พูดจบเสิ่นหยินอู้ก็ลุกขึ้นยืน "ฉันจะไปจัดห้องให้คุณ "โม่ไป๋ก็ลุกขึ้นยืนตาม"คุณไม่ต้องเก็บ ผมทำเองได้" เขาตามเสิ่นหยินอู้ไปที่ห้องรับรองแขก เพราะตอนนี้เป็นฤดูหนาว ดังนั้นเวลาเข้าพักจึงต้องการผ้าห่มหนาและหมอนเสิ่นหยินอู้ไม่เคยคิดว่าจะมีคนอื่นเข้ามาพัก ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงเตรียมผ้าห่มไว้เพียงสามผืน ตอนนี้ไม่มีของโม่ไป๋ เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็หันหลังไปเอาผ้าห่มของตัวเองให้เขา"หรือว่า
เสิ่นหยินอู้คาดไม่ถึงว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในตอนที่ไปเรียน ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าบรรยากาศของโรงเรียนนั้นค่อนข้างดี จึงให้ลูกทั้งสองไปโรงเรียนนั้น เมื่อก่อนในตอนที่ยังอยู่ต่างประเทศ ทั้งคู่ยังเด็กอยู่เธอจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่ตอนนี้เด็กๆค่อยๆเติบโตขึ้นมามากแล้ว ข้อเสียของครอบครัวที่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ค่อยๆปรากฎออกมาในหมู่เพื่อนๆที่โรงเรียน เสิ่นหยินอู้จำได้ว่าในตอนที่ตนเองยังเป็นเด็ก เธอก็เคยประสบกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน ความรักที่พ่อของเธอมอบให้กับเธอนั้นมากมาย และเธอเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเสิ่น ตระกูลเสิ่นเป็นตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ คนกลุ่มนั้นจึงไม่กล้าที่จะรวมหัวกันรังแกเธอ และถึงกับพยายามทำให้เธอพอใจเพราะเธอเป็นลูกสาวของตระกูลเสิ่น ในตอนแรก เสิ่นหยินอู้รู้สึกดีใจเพราะทุกคนยินยอมที่จะเป็นเพื่อนกับเธอ เดิมทีเธอคิดว่าตัวเองเป็นตัวประหลาด เธอคิดว่าคนที่มาจากครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวแบบเธอจะต้องทำให้ผู้คนรู้สึกอึดอัดอย่างแน่นอน และพวกเขาคงไม่อยากที่จะรู้จักกับเธอ ดังนั้นการที่ทุกคนจึงยินดีที่จะเป็นเพื่อนกับเธอ เสิ่นหยินอู้จึงคิดมาตลอดว่าเพื่อนๆทุกคนเป็นคนดีมาก แต่
พูดจบ สายตาคมของเขาก็จ้องมองไปที่หลี่มู่ถิงหลี่มู่ถิงรู้สึกผิดจึงหลบสายตาของเขาเขารู้ว่า ฉินเย่ต้องโกรธที่เขาปล่อยให้เจียงฉูฉู่เข้ามาถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่น เขาคงไม่ยอมปล่อยให้เข้ามาแน่ๆแต่นี่คือเจียงฉูฉู่ ถึงฉินเย่กับเธอจะยังไม่ได้คบกันอย่างเป็นทางการ แต่ใครๆ ก็รู้ว่าเจียงฉูฉู่ได้รับการยอมรับจากแม่ของฉินเย่แล้วในสายตาของทุกคน เรื่องที่เธอจะได้แต่งงานเข้าไปในตระกูลฉิน เหลือแค่เรื่องของเวลาว่าจะช้าหรือเร็วแค่นั้นเจียงฉูฉู่รู้ดีว่าฉินเย่หมายความว่าอะไร ถึงจะรู้สึกอึดอัดแต่ก็ต้องยอมอธิบายว่า “คุณอย่าโทษผู้ช่วยหลี่เลยนะ ฉันขอให้เขาปล่อยฉันเข้ามาเอง ฉันบอกเขาว่าถ้าไม่ให้เข้าฉันจะทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ เขาเลยไม่มีทางเลือก”เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉินเย่ก็ชะงักไปและมองไปที่หน้าของเจียงฉูฉู่"จริงเหรอ?"เจียงฉูฉู่พยักหน้ารับเบาๆ วินาทีถัดมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย็นๆ ของฉินเย่ “ไม่ให้เข้าแล้วจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่เหรอ? ฉูฉู่ คุณกลายเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”สีหน้าของเจียงฉูฉู่เปลี่ยนไปเล็กน้อย“เย่ ฉันแค่......”ผู้ช่วยหลี่ไม่คาดคิดว่าฉินเย่จะไม่ไว้หน้าคุณหนูเจียงเลย เข้าใจดี
น้ำหอม...... น้ำตาของเจียงฉูฉู่ยังไม่ทันไหลลงมาหมด เธอก็รู้สึกระแวงขึ้นมาทันทีเวลาผ่านไปตั้งห้าปีแล้ว เมื่อไหร่กันที่เขามีกลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงบนตัวเขา?และกลิ่นน้ำหอมนี้ มันบางเบาเหมือนกลิ่นดอกไม้ที่ลอยตามลมมา ถ้าไม่ได้ดมใกล้ๆ ก็ไม่ได้กลิ่นเลย ถ้าเป็นผู้หญิงในบาร์หรือตามโต๊ะเหล้า พวกเธอไม่มีทางใช้น้ำหอมที่บางเบาแบบนี้แน่ ขณะที่เจียงฉูฉู่กำลังคิดถึงเรื่องนี้ มือของเธอก็ถูกฉินเย่ผลักออก ด้วยแรงที่มากพอ ทำให้เจียงฉูฉู่ถอยหลังไปสองสามก้าวและเกือบเสียการทรงตัว จากนั้นเธอก็เห็นฉินเย่จ้องมองเธออย่างดุร้ายเหมือนกับหมาป่า "อย่าแตะตัวผม!" เจียงฉูฉู่ไม่เคยเห็นสีหน้าแบบนี้ของเขามาก่อน เธอถึงกับยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยความตกใจ และไม่กล้าเข้าไปอีก แต่เมื่อคิดถึงกลิ่นน้ำหอมบนตัวเขา เจียงฉูฉู่ก็ไม่ยอมแพ้"โอเค ฉันจะไม่แตะต้องคุณ งั้นคุณบอกฉันมาตรงๆ เลยว่ากลิ่นน้ำหอมบนตัวคุณมาจากไหน? คุณไม่ชอบฉันไม่เป็นไร แล้วคนอื่นล่ะ?" กลิ่นน้ำหอม?เมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าของฉินเย่ก็แสดงออกว่าประหลาดใจนิดหน่อย เขายกแขนขึ้นและก้มลงไปดมกลิ่น พบว่ามีกลิ่นหอมบางๆ จริงๆ มันเป็นกลิ่นของเธอ ก็จริง เ
"แค่คืนสูท?" ไม่ ฉินเย่เจอจุดบอด "นายบอกว่าให้เธอยืมสูทที่งานประมูลครั้งที่แล้ว งานไหน?""งานไหนนายไม่รู้เหรอ? วันนั้นนายก็อยู่ด้วยนี่ ทำไม? อย่าบอกนะว่าวันนั้นนายไม่เจอเธอ?"ฉินเย่: "......""ไม่ได้เจอจริงดิ?""เล่ามาสิ หลังจากเธอคืนสูทให้นายแล้ว เธอพูดอะไรกับนายอีก?"คราวนี้ถึงตาฟู่ถิงสือที่เงียบไปแล้วพูดขึ้นมาหลังจากผ่านไปสักพัก: "ฉินเย่ ถึงเราจะเป็นพันธมิตรกัน แต่ในมุมส่วนตัวเราก็เป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรอ? แต่ถึงจะเป็นเพื่อนกัน นายก็ไม่ควรจะยื่นมือเข้ามายุ่งมากขนาดนี้มั้ย? แม้แต่เรื่องที่เธอพูดอะไรกับฉันนายก็ยังจะยุ่งเหรอ?" ยังไงก็ตาม ฉินเย่ไม่สนใจคำพูดของเขาซักนิด"จะพูดไหม?""โธ่ ฉินเย่ นายมันหน้าด้าน!" ในที่สุดฟู่ถิงสือก็ทนต่อการข่มขู่ของเขาไม่ไหว จึงเล่าเรื่องเมื่อวานออกมาตรงๆ หลังจากวางสายแล้ว ฉินเย่ก็จ้องมองโทรศัพท์อย่างเย็นชา หลังจากนั้นสักพักมุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ เพราะเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ อารมณ์ที่เดิมทีว้าวุ่นของฉินเย่ก็ดีขึ้น ก่อนที่จะเข้านอน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอปพลิเคชันและดูแอคเคาท์ของเด็กน้อยทั้งสองคนครั้งก่อ
สุดท้าย เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้ให้โม่ไป๋ไปส่งเธอไปทำงาน แต่เธอกลับให้เขาไปส่งเด็กๆ ไปโรงเรียนแทน เสิ่นหยินอู้ไปทำงานด้วยตัวเองเพราะยังไม่มั่นคง เธอจึงยังไม่ได้ซื้อรถในตอนนี้ จะว่าไปก็ขำดี ในฐานะเจ้านาย เธอต้องนั่งรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ไปทำงานทุกวัน ในขณะที่พนักงานของเธออย่างอู๋อี้ไห่ ซื้อรถไปตั้งนานแล้ว ระหว่างทางไปทำงาน เพื่อนสาวของเธอ โจวชวงชวง ที่อยู่ห่างออกไปอีกฟากฝั่งของมหาสมุทรก็โทรมา"หยินอู้ของฉัน จุ๊บๆ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง? ช่วงก่อนหน้านี้ไม่ได้โทรหาเลย บริษัทไปได้ดีไหม?"เสียงของโจวชวงชวงฟังดูดี เสิ่นหยินอู้ยิ้มมุมปากเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ก็ดีนะ แล้วเธอล่ะเป็นยังไงบ้าง?" "อย่าไปพูดถึงเลย ฉันจะตายเพราะไอ้เจ้านายนั่นอยู่แล้ว ฉันบอกเลยหยินอู้ ตลอดชีวิตที่ฉันมีมา ฉันไม่เคยเจอใครที่ขูดรีดคนได้ขนาดนี้มาก่อน! เธอว่าไง เขาขูดรีดพนักงานขนาดนี้ได้ยังไง?" เสิ่นหยินอู้ฟังเธอบ่นเกี่ยวกับเจ้านายตัวเอง บ่นแบบจัดเต็ม บางครั้งก็เออออไปด้วยบ้าง โจวชวงชวงบ่นอยู่นานสิบนาที "ช่างมันเถอะ ช่างเขาไป พูดถึงเขาทีไร ฉันก็มีแต่เรื่องไม่ดีจะพูดทั้งนั้น""อืม""ใช่สิ แล้วเธอกับลี่ซือเป็นยังไงบ้าง
เสิ่นหยินอู้ตอบอย่างจริงจังว่า “ฉันแซ่เสิ่น นัดกับประธานฟู่ไว้เมื่อวานค่ะ” สีหน้าของพนักงานต้อนรับที่เดิมทีดูไม่ค่อยใส่ใจนัก พอได้ยินเธอบอกว่าแซ่เสิ่น ท่าทีก็เปลี่ยนไปทันทีแบบ 360 องศา“ขอโทษค่ะ คุณคือคุณเสิ่นหยินอู้ใช่ไหมคะ?” ท่าทีที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่ายทำให้เสิ่นหยินอู้รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เธอพยักหน้า"ใช่ค่ะ""เป็นอย่างนี้ค่ะคุณเสิ่น คุณฟู่กำชับไว้ว่า ถ้าคุณมาถึงแล้ว ให้พาคุณขึ้นไปชั้นบนเลยค่ะ" "จริงเหรอคะ?" เสิ่นหยินอู้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "ประธานฟู่ใส่ใจจัง" พนักงานต้อนรับยิ้มอย่างมีเลศนัยให้เธอ แล้วพาเธอไปที่ลิฟต์"นี่คือลิฟต์ส่วนตัวของประธานฟู่ค่ะ คุณเสิ่น คุณขึ้นไปที่ชั้นบนสุดได้เลยค่ะ" พอเข้าไปในลิฟต์ พนักงานต้อนรับก็ใส่รหัสผ่านชั่วคราวให้เธอ แล้วพาเธอไปที่ชั้นบนสุด ตอนที่ประตูลิฟต์ปิดลง เสิ่นหยินอู้เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอลืมถามว่าห้องทำงานคือห้องไหน พอถึงชั้นบนสุด เสิ่นหยินอู้ถึงพบว่ามีห้องทำงานแค่ห้องเดียว แบบนี้ก็คงไม่ต้องถามอะไรอีกแล้ว ประตูห้องทำงานปิดอยู่ เสิ่นหยินอู้เดินเข้าไปแล้วเคาะประตูเบาๆ ข้างในมีเสียงทุ้มต่ำตอบกลับมา"เข้ามา" เสียงนี้ทำใ
ยกแต่เรื่องเก่าๆขึ้นมาพูด แล้วก็พูดถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดในอดีต เสิ่นหยินอู้สีหน้าฉายแววเปลี่ยนไป ริมฝีปากสีแดงขยับเล็กน้อย ในที่สุดเธอก็จ้องเขาแล้วพูดว่า “ฉินเย่ คุณมันไร้ยางอายจริงๆ” เขามีเจียงฉูฉู่แล้วแท้ๆ แต่ยังอยากมาพัวพันกับเธออีก เขาคิดว่าเธอเป็นอะไร?น่าตลกสิ้นดีเมื่อห้าปีที่แล้ว เขาคิดว่ายังทำร้ายเธอไม่พออีกหรอ?"ไร้ยางอาย?" ฉินเย่เดินมาข้างหน้า ต้อนเธอจนถอยไปติดมุมผนัง ในขณะที่เธอคิดจะหนี เขาก็ยกมือยันผนังขวางทางเธอไว้ ริมฝีปากยกยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “แต่ก่อนตอนคุณอยู่บนเตียงของผมก็ไม่ได้พูดแบบนี้นี่นา”เพี้ยะ! เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ เธอตบหน้าฉินเย่ไปหนึ่งที ฉินเย่คงไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะลงมือ ดังนั้นใบหน้าของเขาจึงโดนตบจนหันไปด้านข้าง พอเขาตั้งสติได้ ก็จับข้อมือของเสิ่นหยินอู้ไว้ ก้มศีรษะลงเหมือนจะจูบเธอ เพี้ยะ! เสิ่นหยินอู้ร้อนใจ จึงตบหน้าเขาไปอีกครั้ง“ฉินเย่ จะมากเกินไปแล้วนะ! เรื่องที่คุณพูดมันผ่านไปนานแล้ว! เราหย่ากันมาห้าปีแล้ว!” ไม่รู้ว่าเป็นคำไหนที่กระตุ้นให้ฉินเย่หยุดการกระทำทันที เขาจ้องมองเสิ่นหยินอู้ในระยะใกล้และหายใจหอ