5 ปีผ่านไปช่องไลฟ์ของเสี่ยวไท่หยางในติ๊กต๊อก“ยินดีต้อนรับเข้าสู่ไลฟ์ม็อกบังของเสี่ยวไท่หยางนะคะ/ครับ เมนูที่เราจะทำกันในวันนี้คือเมนูซีฟู๊ดสองอย่างค่ะ”เด็กน้อยสองพี่น้องน่ารักน่าชังรายงานอยู่ในไลฟ์ กำลังแกะกระเพาะกุ้งอยู่หน้ากล้องเสิ่นเหมิงเหมิงถือไม้จิ้มฟันกำลังแกะกระเพาะกุ้งอย่างจริงจัง แต่มือลื่นทำให้กุ้งตกลงพื้น“เสิ่นเหมิงเหมิง!”เสิ่นเหมิงเหมิงตกใจรีบก้มลงไปเก็บกุ้งหลังจากเก็บได้แล้วก็มองเสิ่นซือเหนียนที่สูงกว่าเธอเล็กน้อยด้วยสีหน้าน่าสงสาร ดวงตาสีดำกลมโตของเธอยิ่งดูไร้เดียงสา “พี่ หนูขอโทษค่ะ”เด็กน้อยอายุห้าขวบเท่ากัน เสิ่นเหมิงเหมิงใสซื่อและสดใส แต่เสิ่นซือเหนียนกลับดูสุขุมเหมือนผู้ใหญ่ แม้จะยังเด็ก แต่ดูจากหว่างคิ้วก็รู้ว่าในอนาคตต้องเป็นนายแบบที่จะทำให้ผู้หญิงนับพันนับหมื่นหลงหัวปักหัวปำแน่นอน“พี่ขา~” เสิ่นเหมิงเหมิงเห็นว่าเสิ่นซือเหนียนไม่สนใจต มือขาวนวลน้อยๆ ยื่นนิ้วออกมาดึงเสื้อของเขา แล้วออดอ้อนว่า “ขอโทษหน่านะ พี่ยกโทษให้เหมิงเหมิงเถอะน๊า ดะ…เดี๋ยวคืนนี้เหมิงเหมิงจะกินกุ้งแค่สองตัว! ที่…ที่เหลือให้พี่หมดเลย!”“ยังมีหน้ามาพูดอีก? วันก่อนๆ ใครกันที่กินกุ้ง
แต่เด็กผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ เด็กผู้ชายกลับกะพริบตาส่งจูบให้กับกล้องอย่างมีชีวิตชีวา ถึงขนาดส่งมินิฮาร์ทให้เขาด้วย“ขอบคุณคุณลุงเยี่ยมู่มากนะคะ คุณลุงเยี่ยมู่ใจป้ำมาก!”เสียงของเด็กผู้หญิงนิ่มนวลน่าฟัง เสียงเล็กเสียงน้อย การกระทำที่ทำออกมาดูป้ำๆ เป๋อๆ บ้าง แต่ไม่รู้เพราะอะไร เพียงแค่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นหัวใจริมฝีปากบางของชายหนุ่มที่วินาทีก่อนหน้ายังดูเย็นชา แต่ตอนนี้ดูเหมือนน้ำแข็งจะละลาย และโค้งมุมปากขึ้นเล็กน้อยเทียบกันแล้ว เขาชอบเด็กผู้หญิงมากกว่าไม่เหมือนเด็กผู้ชายที่ยืนยันจะให้เขาหยุดส่งของขวัญ แต่เธอจะส่งจูบ และมินิฮาร์ทให้กับเขาตลอดถ้าเขาเองก็มีลูกสาวล่ะก็…ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด ประตูห้องทำงานก็ดังขึ้นผู้ช่วยเปิดประตูเข้ามา แล้วกล่าวว่า “ประธานฉิน ประชุมใกล้จะเริ่มแล้ว เราต้องออกเดินทางแล้ว”หลี่มู่ถิงชะงักกับรอยยิ้มบริเวณมุมปากของฉินเย่ที่ยังไม่ทันจางหายไป หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเด็กน้อยดังมาจากโทรศัพท์ของเขาพลันอึ้งในบัดดลประธานฉินของพวกเขาดูไลฟ์ของเด็กน้อยสองคนนั้นอีกแล้วเรื่องนี้พูดแล้วก็ยาวเมื่อหนึ่งปีก่อน เขามาประชุมกับประธา
บริเวณมุมหน้าจอถ่ายติดเพียงเงาร่างที่ไม่ชัดเจนของหญิงสาว น่าจะประมาณไม่กี่วินาทีเท่านั้น เงาร่างผอมเพรียวของหญิงสาวก็หายไปสิ่งที่ดังขึ้นพร้อมกันคือเสียงวิ่งของเด็กทั้งสองคนที่พุ่งไปหาหญิงสาว“หม่ามี๊”“หม่ามี๊กลับมาแล้วเหรอคะ/ครับ เหนื่อยแย่เลย”เด็กน้อยทั้งสองเอาใจใส่ดีมาก ถามไถ่หญิงสาวอย่างเอาใจใส่ไม่หยุดหย่อนเพราะห่างกันไกลมาก ดังนั้นจึงได้ยินเสียงของหญิงสาวไม่ชัดเจนนักไม่นาน เด็กน้อยทั้งสองก็กลับมาเข้ากล้อง“คุณลุงคุณน้า พี่ๆ ครับ หม่ามี๊ของพวกผมกลับมาแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนนะครับ”เสิ่นซือเหนียนกลับมาก็พูดอธิบายไปประโยคหนึ่งน้องสาวฝาแฝดของเขาเริ่มส่งมินิฮาร์ทใส่กล้องอยู่ข้างๆ อีกครั้ง“คุณลุงคุณน้า พี่ๆ ทุกคนลาก่อนนะคะ~”แม้ว่าผู้ชมในไลฟ์จะรู้สึกเสียดาย เพราะอย่างไรเด็กทั้งสองไลฟ์แค่ครั้งสองครั้งต่อสัปดาห์เท่านั้น แต่วันนี้ไลฟ์ไปได้ไม่เท่าไหร่ก็จะปิดไลฟ์แล้วถึงแม้จะไม่อยากลาจากไป แต่สุดท้ายก็ได้แต่อำลากับเด็กน้อยทั้งสองหน้าจอดับพรึบ เผยคำว่าผู้ไลฟ์จบการถ่ายทอดสดแล้ว ฉินเย่ยังคงจ้องที่โทรศัพท์อยู่พักหนึ่งเสียงของหลี่มู่ถิงดังขึ้นอีกครั้ง“ประธานฉิน ถ้าไม่ไปอีก
เด็กฝึกงานอึดอัดเล็กน้อยเธออยากบอกว่าเด็กในไลฟ์ไม่เหมือนไปศัลยกรรมมาเลยนี่ คนที่ทำศัลยกรรมมาถึงจะดูดีแค่ไหน แต่ก็จะขาดกลิ่นอาย แต่กลิ่นอายของเด็กสองคนนั้น…แต่ทว่าแม้จะเหมือนแค่ไหน ประธานฉินของพวกเขาก็ไม่มีทางมีลูกที่โตขนาดนี้หรอกเพราะอย่างไรบนโลกนี้จะมีผู้หญิงที่มีลูกประธานฉินแล้วแต่ไม่พามายอมรับได้ยังไง?แค่คิดก็รู้สึกไม่สมเหตุสมผลแล้วดังนั้นเธอก็เลยถามเรื่องอื่นแทน“แต่ว่าเด็กที่หน้าตาคล้ายพวกนั้น ประธานฉินไม่เคยคิดสงสัยสักครั้งเลยเหรอว่าอาจไม่ใช่ทำศัลยกรรมมา แต่เป็นลูกแท้ๆ น่ะ?”ได้ยินดังนั้น หลี่มู่ถิงก็หัวเราะแห้งออกมาอย่างเย็นชา“เธอคิดว่าประธานฉินของเราเป็นใครกัน? ประธานฉินของเราแม้จะดื่มจนเมาแอ๋ แต่ก็ไม่มีทางแตะต้องผู้หญิงแปลกหน้าแน่นอน ความแน่วแน่นั้นไม่ใช่ใครๆ ก็สามารถทำได้”นึกบางอย่างขึ้นได้ หลี่มู่ถิงก็เสริมไปอีกประโยคหนึ่ง“อย่าว่าแต่ผู้หญิงแปลกหน้าเลย ถึงแม้จะเป็นคุณหนูเจียงที่อยู่เคียงข้างประธานฉินมาหลายปี ถูกเรียกว่าเป็นคนสนิทและเป็นผู้ช่วยชีวิตประธานฉินของเราไว้ ประธานฉินของเราก็ไม่แตะต้องเลย แม้จะเมาก็ตาม”หลายปีที่เขาเป็นผู้ช่วยประธานฉินมา เขาเห็นความ
บริเวณชานเมืองในบ้านสไตล์จีนขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่หลังหนึ่ง“หม่ามี๊! หม่ามี๊!”หลังจากปิดไลฟ์แล้ว เด็กน้อยทั้งสองก็วิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเสิ่นหยินอู้ซ้ายขวาคนละฝั่ง แล้วใช้มือน้อยๆ กอดเอาไว้ จากนั้นสูดดมกลิ่นครีมอาบน้ำหอมๆ บนตัวของเสิ่นหยินอู้หญิงสาวที่ก้มตัวลงไปกอดเหมิงเหมิงไว้ดวงตาสดใสราวกับกระจกไข่มุก ขนตายาวเรียงกันเป็นแพ ดูสดใสสุดๆ“ปิดไลฟ์แล้วเหรอจ๊ะ?” เสิ่นหยินอู้ถามด้วยน้ำเสียงชัดเจนและสดใส“อื้ม” เสิ่นเหมิงเหมิงใช้แก้มไปสัมผัสบริเวณต้นคอและคางของเสิ่นหยินอู้ แล้วพูดออดอ้อนเสิ่นซือเหนียนเหลือบมองน้องสาวของตัวเองแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยความจริงจังว่า “หม่ามี๊ครับ คนคนนั้นส่งของขวัญมาอีกแล้วครับ”คนคนนั้น?เสิ่นหยินอู้มึนงง“คุณลุงเยี่ยมู่เหรอ?”เสิ่นซือเหนียนพยักหน้า แล้วเม้มริมฝีปาก ตอบว่า “ผมบอกคุณลุงเยี่ยมู่แล้ว แต่คุณลุงเยี่ยมู่ไม่ฟัง”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ยื่นมือไปลูบศีรษะของเสิ่นซือเหนียน แล้วยิ้มเบาๆ“ช่างเถอะ ส่งก็ส่ง”เพราะไม่อยากทำให้ปัญหานี้ติดตัวเด็กสองคนนานเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “หิวไหม? วันนี้อยากกินอะไรจ๊ะ?”เสิ่นเหมิงเหมิงที่
การหมักต้องใช้เวลา ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงไปจัดการกับเรื่องอื่นก่อน ระหว่างนั้น เธอก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้จึงหันไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่ใช้ไลฟ์ขึ้นมา ไลฟ์วันนี้ ลูกน้อยทั้งสองของเธอได้รับแฟนคลับมากมาย และวิดีโอใหม่ที่เพิ่งโพสต์ไป ก็มีแต่คนคอมเมนต์ว่าน่ารักเกินปุยมุ้ย คอมเมนต์ที่มีคนกดไลก์มากที่สุดคือ: “เลี้ยงเด็กนิสัยดีแบบนี้ออกมาได้ยังไง?” เธอยิ้มและตอบอย่างซุกซน: “ฉันเลี้ยงลูกครั้งแรกอาจจะไม่มีข้อแนะนำดีๆ อะไรให้กับคุณ” หลังจากตอบกลับ เธอก็ดูรายได้ของวันนี้ไม่ดูไม่เป็นไร แต่พอดูแล้วก็พบว่าเยี่ยมู่เฉินจี้ได้ส่งของขวัญให้กับเด็กทั้งสองคนอีกแล้วของขวัญก่อนหน้านี้ บวกกับของวันนี้แล้ว เธอลองคิดลวกๆ ดูแล้วพบว่าเงินที่เข้ากระเป๋านั้นมากเกินไปแล้วเสิ่นหยินอู้ไม่ขาดแคลนเงินเลี้ยงดูลูกที่ลูกทั้งสองคนไลฟ์ก็เพราะว่าชอบ ขอแค่ลูกทั้งสองคนมีความสุขก็พอแล้วแต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากไลฟ์แล้วจะมีรายรับมากขนาดนี้ แต่ว่าผู้ชมเหล่านั้นก็น่ารักมาก เธอบอกว่าไม่ต้องให้ของขวัญ หากมีคนอยากให้ของขวัญจริงๆ แค่ส่งของขวัญฟรีให้ก็พอแต่มีเพียงคนที่ชื่อเยี่ยมู่เฉินจี้เท่านั้นที่จะส
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายบอกว่าตนเป็นแม่ของเด็กน้อย แววตาของฉินเย่ก็นิ่งขรึมแล้วไม่ได้ตอบกลับอะไรเขาเพียงแค่นั่งก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์ด้วยสีหน้านิ่งๆ ไม่มีทีท่าอื่นๆแต่คนในห้องประชุมกลับแปลกเพราะท่าทีของเขาขยับเล็กน้อย แม้แต่คนที่กำลังพูดนำเสนองานอยู่ก็เริ่มพูดติดอ่างขึ้นมาเด็กฝึกงานไม่เคยเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อน จึงตกใจสะดุ้งทำปากกาหล่นพื้นไป อยากจะมุดหัวเข้าสมุดเลยจริงๆหลี่มู่ถิงสะท้านในตอนแรกๆ แต่ต่อมาก็ใจเย็นลงเรื่องแบบนี้ เขาชินไปตั้งนานแล้วแต่ก่อนก็มี ตอนที่กำลังประชุมอยู่ แต่ตรงกับช่วงที่เด็กสองคนกำลังไลฟ์พอดี เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อหน้าทุกคนทันทีถึงแม้จะไม่มีกฎอะไร แต่ทุกคนไม่มีทางที่จะเล่นโทรศัพท์ตอนประชุมอยู่แล้วแต่บอสฉินเป็นใคร?เขาจะทำแบบนี้ มีใครกล้าพูดอะไรเขาบ้าง?ทุกคนเพียงแค่หลับหูหลับตา ใครให้เขาเป็นเจ้าของบริษัทนี้ล่ะ?เหมือนตอนนี้ หลี่มู่ถิงกระแอมเบาๆ แล้วปริปากแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ต่อเถอะๆ”วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็เก็บโทรศัพท์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มือทั้งสองข้างวางอยู่บนโต๊ะ สีหน้าเย็นเยือกถึงขีดสุดฝูงชน “…”ถูกเขาจ้องด้วยสายตาเย็นชาเ
กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็ยื่นมือออกไปดีดปลายจมูกของเสิ่นเหมิงเหมิงเบาๆได้ยินดังนั้น เสิ่นเหมิงเหมิงลืมตากลมโต เธอสวมชุดนอนสีขาวนมดูนุ่มนิ่มราวกับเค้กที่เพิ่งออกจากเตาอย่างไรอย่างนั้นเธอถึงขนาดตั้งใจคิดพิจารณากับคำพูดของเสิ่นหยินอู้ หลังจากคิดเสร็จแล้วถึงจะพยักหน้าหงึกๆ“ก็ได้ ถ้างั้นหนูโตแล้วหนูจะช่วยหม่ามี๊เยอะๆ เลย”“ได้สิจ๊ะ ถ้างั้นเหมิงเหมิงสัญญากับหม่ามี๊แล้วนะ ไปเล่นเถอะ”“อุ๊บ ถ้างั้นหม่ามี๊ต้องจุ๊บตรงนี้” เสิ่นเหมิงเหมิงชี้ไปที่หน้าผากของตนเองเสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะขำออกมา เธอก้มหน้าแล้วจูบลงบนหน้าผากของเด็กน้อย เสิ่นเหมิงเหมิงถึงจะพอใจแล้วเดินจากไปเสิ่นซือเหนียนออกมาเห็นฉากนี้เข้า ในใจพลันรู้สึกอิจฉาเขาเดินเข้าไปหาเสิ่นหยินอู้ช้าๆ แต่กลับไม่ให้ซุ่มให้เสียงเสิ่นหยินอู้ก้มหน้าเช็ดโต๊ะ พบว่าเสิ่นซือเหนียนยืนอยู่ที่ปลายเท้าของตนเอง มองเธออยู่อย่างนั้น แต่ริมฝีปากกลับเม้มแน่นไม่ยอมปริปากเหมือนผู้ใหญ่น้อยคนหนึ่งเสิ่นหยินอู้ชะงักไปรอบหนึ่ง แล้วก้มหัวจูบที่หน้าของเขาด้วย“รีบเข้าไปเล่นกับน้องเถอะ”เสิ่นซือเหนียนที่อารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ได้รับจูบจากเสิ่นหยินอู้แล้ว ก็ดี
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง