บริเวณชานเมืองในบ้านสไตล์จีนขนาดกลางไม่เล็กไม่ใหญ่หลังหนึ่ง“หม่ามี๊! หม่ามี๊!”หลังจากปิดไลฟ์แล้ว เด็กน้อยทั้งสองก็วิ่งเข้าไปในอ้อมกอดของเสิ่นหยินอู้ซ้ายขวาคนละฝั่ง แล้วใช้มือน้อยๆ กอดเอาไว้ จากนั้นสูดดมกลิ่นครีมอาบน้ำหอมๆ บนตัวของเสิ่นหยินอู้หญิงสาวที่ก้มตัวลงไปกอดเหมิงเหมิงไว้ดวงตาสดใสราวกับกระจกไข่มุก ขนตายาวเรียงกันเป็นแพ ดูสดใสสุดๆ“ปิดไลฟ์แล้วเหรอจ๊ะ?” เสิ่นหยินอู้ถามด้วยน้ำเสียงชัดเจนและสดใส“อื้ม” เสิ่นเหมิงเหมิงใช้แก้มไปสัมผัสบริเวณต้นคอและคางของเสิ่นหยินอู้ แล้วพูดออดอ้อนเสิ่นซือเหนียนเหลือบมองน้องสาวของตัวเองแวบหนึ่ง แล้วพูดด้วยความจริงจังว่า “หม่ามี๊ครับ คนคนนั้นส่งของขวัญมาอีกแล้วครับ”คนคนนั้น?เสิ่นหยินอู้มึนงง“คุณลุงเยี่ยมู่เหรอ?”เสิ่นซือเหนียนพยักหน้า แล้วเม้มริมฝีปาก ตอบว่า “ผมบอกคุณลุงเยี่ยมู่แล้ว แต่คุณลุงเยี่ยมู่ไม่ฟัง”ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ยื่นมือไปลูบศีรษะของเสิ่นซือเหนียน แล้วยิ้มเบาๆ“ช่างเถอะ ส่งก็ส่ง”เพราะไม่อยากทำให้ปัญหานี้ติดตัวเด็กสองคนนานเกินไป เสิ่นหยินอู้จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “หิวไหม? วันนี้อยากกินอะไรจ๊ะ?”เสิ่นเหมิงเหมิงที่
การหมักต้องใช้เวลา ดังนั้นเสิ่นหยินอู้จึงไปจัดการกับเรื่องอื่นก่อน ระหว่างนั้น เธอก็นึกถึงอะไรบางอย่างได้จึงหันไปที่ห้องนั่งเล่นแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือที่ใช้ไลฟ์ขึ้นมา ไลฟ์วันนี้ ลูกน้อยทั้งสองของเธอได้รับแฟนคลับมากมาย และวิดีโอใหม่ที่เพิ่งโพสต์ไป ก็มีแต่คนคอมเมนต์ว่าน่ารักเกินปุยมุ้ย คอมเมนต์ที่มีคนกดไลก์มากที่สุดคือ: “เลี้ยงเด็กนิสัยดีแบบนี้ออกมาได้ยังไง?” เธอยิ้มและตอบอย่างซุกซน: “ฉันเลี้ยงลูกครั้งแรกอาจจะไม่มีข้อแนะนำดีๆ อะไรให้กับคุณ” หลังจากตอบกลับ เธอก็ดูรายได้ของวันนี้ไม่ดูไม่เป็นไร แต่พอดูแล้วก็พบว่าเยี่ยมู่เฉินจี้ได้ส่งของขวัญให้กับเด็กทั้งสองคนอีกแล้วของขวัญก่อนหน้านี้ บวกกับของวันนี้แล้ว เธอลองคิดลวกๆ ดูแล้วพบว่าเงินที่เข้ากระเป๋านั้นมากเกินไปแล้วเสิ่นหยินอู้ไม่ขาดแคลนเงินเลี้ยงดูลูกที่ลูกทั้งสองคนไลฟ์ก็เพราะว่าชอบ ขอแค่ลูกทั้งสองคนมีความสุขก็พอแล้วแต่คาดไม่ถึงว่าหลังจากไลฟ์แล้วจะมีรายรับมากขนาดนี้ แต่ว่าผู้ชมเหล่านั้นก็น่ารักมาก เธอบอกว่าไม่ต้องให้ของขวัญ หากมีคนอยากให้ของขวัญจริงๆ แค่ส่งของขวัญฟรีให้ก็พอแต่มีเพียงคนที่ชื่อเยี่ยมู่เฉินจี้เท่านั้นที่จะส
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายบอกว่าตนเป็นแม่ของเด็กน้อย แววตาของฉินเย่ก็นิ่งขรึมแล้วไม่ได้ตอบกลับอะไรเขาเพียงแค่นั่งก้มหน้าก้มตามองโทรศัพท์ด้วยสีหน้านิ่งๆ ไม่มีทีท่าอื่นๆแต่คนในห้องประชุมกลับแปลกเพราะท่าทีของเขาขยับเล็กน้อย แม้แต่คนที่กำลังพูดนำเสนองานอยู่ก็เริ่มพูดติดอ่างขึ้นมาเด็กฝึกงานไม่เคยเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อน จึงตกใจสะดุ้งทำปากกาหล่นพื้นไป อยากจะมุดหัวเข้าสมุดเลยจริงๆหลี่มู่ถิงสะท้านในตอนแรกๆ แต่ต่อมาก็ใจเย็นลงเรื่องแบบนี้ เขาชินไปตั้งนานแล้วแต่ก่อนก็มี ตอนที่กำลังประชุมอยู่ แต่ตรงกับช่วงที่เด็กสองคนกำลังไลฟ์พอดี เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อหน้าทุกคนทันทีถึงแม้จะไม่มีกฎอะไร แต่ทุกคนไม่มีทางที่จะเล่นโทรศัพท์ตอนประชุมอยู่แล้วแต่บอสฉินเป็นใคร?เขาจะทำแบบนี้ มีใครกล้าพูดอะไรเขาบ้าง?ทุกคนเพียงแค่หลับหูหลับตา ใครให้เขาเป็นเจ้าของบริษัทนี้ล่ะ?เหมือนตอนนี้ หลี่มู่ถิงกระแอมเบาๆ แล้วปริปากแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ต่อเถอะๆ”วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็เก็บโทรศัพท์ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น มือทั้งสองข้างวางอยู่บนโต๊ะ สีหน้าเย็นเยือกถึงขีดสุดฝูงชน “…”ถูกเขาจ้องด้วยสายตาเย็นชาเ
กล่าวจบ เสิ่นหยินอู้ก็ยื่นมือออกไปดีดปลายจมูกของเสิ่นเหมิงเหมิงเบาๆได้ยินดังนั้น เสิ่นเหมิงเหมิงลืมตากลมโต เธอสวมชุดนอนสีขาวนมดูนุ่มนิ่มราวกับเค้กที่เพิ่งออกจากเตาอย่างไรอย่างนั้นเธอถึงขนาดตั้งใจคิดพิจารณากับคำพูดของเสิ่นหยินอู้ หลังจากคิดเสร็จแล้วถึงจะพยักหน้าหงึกๆ“ก็ได้ ถ้างั้นหนูโตแล้วหนูจะช่วยหม่ามี๊เยอะๆ เลย”“ได้สิจ๊ะ ถ้างั้นเหมิงเหมิงสัญญากับหม่ามี๊แล้วนะ ไปเล่นเถอะ”“อุ๊บ ถ้างั้นหม่ามี๊ต้องจุ๊บตรงนี้” เสิ่นเหมิงเหมิงชี้ไปที่หน้าผากของตนเองเสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะขำออกมา เธอก้มหน้าแล้วจูบลงบนหน้าผากของเด็กน้อย เสิ่นเหมิงเหมิงถึงจะพอใจแล้วเดินจากไปเสิ่นซือเหนียนออกมาเห็นฉากนี้เข้า ในใจพลันรู้สึกอิจฉาเขาเดินเข้าไปหาเสิ่นหยินอู้ช้าๆ แต่กลับไม่ให้ซุ่มให้เสียงเสิ่นหยินอู้ก้มหน้าเช็ดโต๊ะ พบว่าเสิ่นซือเหนียนยืนอยู่ที่ปลายเท้าของตนเอง มองเธออยู่อย่างนั้น แต่ริมฝีปากกลับเม้มแน่นไม่ยอมปริปากเหมือนผู้ใหญ่น้อยคนหนึ่งเสิ่นหยินอู้ชะงักไปรอบหนึ่ง แล้วก้มหัวจูบที่หน้าของเขาด้วย“รีบเข้าไปเล่นกับน้องเถอะ”เสิ่นซือเหนียนที่อารมณ์ไม่ดีเล็กน้อย ได้รับจูบจากเสิ่นหยินอู้แล้ว ก็ดี
ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หุบยิ้ม แล้วปิดก๊อกน้ำ จากนั้นสวมถุงมือล้างจาน“ดูเธอซิ พอฉันพูดถึงเรื่องกลับประเทศเมื่อไหร่ เธอก็จะเงียบตลอด”โจวชวงชวงโมโหมากอย่างเห็นได้ชัด“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่ ผ่านไปนานขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะสัญญากับหล่อนไว้ ตอนนี้ก็คงผ่านไปได้แล้วมั้ง?”เสิ่นหยินอู้ยังคงเงียบแต่โจวชวงชวงยังคงพูดต่อไป “ธุรกิจด้านนี้ไปได้ไม่ค่อยดีในต่างประเทศ แต่ถ้าทำในประเทศ อีกอย่างคนที่เชิญเธอก็เป็นนักธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศด้วย ตำแหน่งงานดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าเธอเก่งมากล่ะก็ เธอถูกคนอื่นแย่งตำแหน่งงานนี้ไปนานแล้ว เธอรู้ไหมว่าเขาถึงขนาดโทรมาหาฉันด้วยนะ บอกว่าให้ฉันเกลี้ยกล่อมเธอให้หน่อย บริษัทของพวกเขาไม่อยากพลาดคนเก่งๆ ไป”เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็กลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป“แล้ว? บริษัทของพวกเขาให้ผลประโยชน์อะไรกับเธอเหรอ? ถึงได้ให้เธอมาเกลี้ยกล่อมฉันน่ะ?”“กรี๊ด ห้ามอ่านฉันออกนะ!” โจวชวงชวงแค่นเสียงฮึ “ฉันเป็นคนแบบนั้นหรือไง? ฉันเห็นว่างานนี้เงินเดือนสูง มีโอกาสพัฒนาด้วยถึงได้มาเกลี้ยกล่อมเธอต่างหาก ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์อะไรนั่น
“ตอนแรกว่าจะบอกเธอตอนที่ทำสำเร็จแล้ว เพราะตอนนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม”“กรี๊ด” โจวชวงชวงกลับกรีดร้องใส่โทรศัพท์เมื่อเสียงกรีดร้องของเธอดังลั่นไปทั่วห้องครัวแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกดีใจที่ตนเปิดลำโพงไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นหูของตนต้องระเบิดแน่“เธอจะเปิดบริษัท ทำไมไม่บอกฉัน ถ้าเธอบอกก่อน ฉันจะให้เธอไปทำงานที่บริษัทฟู่อะไรนั่นไหม? เงินเดือนสูง เก็บไว้ให้เธอโดยเฉพาะอะไรนั่นจะสู้เปิดบริษัทเองได้ยังไง?”“ยังไม่สำเร็จสักหน่อย ถ้าพูดออกไปแล้วไม่สำเร็จ จะทำให้คนผิดหวังนะ”“ผิดหวังอะไร? ฉันไม่ผิดหวังแน่นอน ตั้งแต่เด็กจนโต เธอเคยทำอะไรที่ล้มเหลวบ้าง หยินอู้ เธอทำได้!”โจวชวงชวงให้กำลังใจเธอตลอด ฟังจนเสิ่นหยินอู้แทบจะบินแล้ว“ขอบใจนะ แต่ว่าฉินก็ล้มเหลวมาหลายครั้งเหมือนกันเถอะ แต่ขอแค่พยายามแล้วก็พอ”“ถ้างั้นเธอรีบพยายามเร็ว รอให้บริษัทเธอตั้งขึ้นได้สำเร็จ ถึงตอนนั้นฉันจะไปทำงานตำแหน่งสูง”“โอเค ฉันจะเหลือตำแหน่งไว้ให้นะ”“ดี ห้ามให้คนอื่นล่ะ”หลังจากนั้น ทั้งสองก็พูดคุยกัน รอให้เสิ่นหยินอู้ล้างจานเสร็จ โจวชวงชวงถึงจะวางสายไปหลังจากเก็บกวาดห้องครัวเสร็จแล้ว เสิ่นห
อีกอย่างทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงติดต่อเขาเวลานี้ เขาพอจะรู้สาเหตุคงเป็นเพราะจะคืนเงินที่เขาส่งของขวัญให้เท่านั้นหากเป็นเหตุผลไร้สาระแบบนี้ เขาจะสนใจไปทำไม?เงินที่ให้ไปแล้ว เขาไม่มีทางรับกลับคืนแน่สิ่งเดียวที่รับกลับคืนมา ก็คงจะมีแต่เมื่อห้าปีก่อน…เมื่อนึกถึงเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่เขากลับมาถึงห้อง บัตรที่เขาให้เธอและบัตรที่แม่ของเขาเอาไว้ให้เธอล้วนถูกวางไว้ด้วยกันวางอยู่ตรงหน้าเขาไม่ว่าจะเป็นเงินที่เขาให้ หรือว่าเธอเป็นคนขอก็ไม่ถูกใช้เลยแม้แต่นิด เพียงแค่คืนเขาอย่างนั้นเหมือนกำลังประกาศว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเธอไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก เธอไม่ติดค้างอะไรเขาแล้วด้วยถึงแม้จะผ่านไปห้าปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ความโมโหในตัวของฉินเย่ก็รุนแรงมากผู้หญิงใจร้ายเพราะอาหารกลางวันถูกวางไว้นาน ทำให้รสชาติไม่อร่อยหลี่มู่ถิงเห็นว่าฉินเย่กินไปได้ไม่กี่คำก็วางตะเกียบลงแล้ว“ประธานฉิน เย็นนี้ยังมีประชุมอีก คุณต้องกินอีกหน่อยนะ”จากนั้นสิ่งที่ตอบเขามีเพียงเสียงปิดประตูจากฉินเย่หลี่มู่ถิงยืนอยู่กับที่ มองไปที่อาหารเหลือบนโต๊ะ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วโทรเรียกพนักงานมาเก็บไป
แต่พวกเขาไม่รู้ ว่าประธานฉินเจรจาธุรกิจ ก็คือเจรจาธุรกิจ จะทำธุรกิจด้วยกันได้ไหมขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัท ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมอบอะไรให้ ดังนั้นของที่ส่งมาเหล่านั้นล้วนถูกส่งกลับคืนไปในสภาพเดิมสัญญาครั้งนี้ใกล้จะสำเร็จแล้ว เหลือแค่เซ็นสัญญา อีกฝ่ายทำเซอร์ไพรส์เช่นนี้ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่จริงๆระหว่างที่ครุ่นคิด หลี่มู่ถิงก็มาถึงหน้าห้องโรงแรมพร้อมกับฉินเย่หลี่มู่ถิงรีบหยิบบัตรห้องออกมา“ประธานฉิน เชิญครับ”ฉินเย่เม้มปากเดินเข้าไป ทว่าทันทีที่เดินเข้าไป ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงักลงหลี่มู่ถิงเห็นเขายืนนิ่งกับที่ไม่ขยับ จึงถามอย่างสงสัย“ประธานฉิน เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”สิ้นเสียง ร่างสูงบางตรงหน้าก็ถอยหลังไปหลายก้าว จนออกจากประตูห้องไปหลี่มู่ถิง “?”“กลิ่นแปลกๆ” ฉินเย่กล่าวด้วยลมหายใจไม่เป็นจังหวะ“หืม? กลิ่นอะไรครับท” ผู้ช่วยรีบยื่นคอออกมาดม แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไรหน้าผากของฉินเย่เหงื่อแตก ทำได้เพียงทำหน้าบึ้งกล่าวว่า “เข้าไปอีก”หลี่มู่ถิงไม่รู้ถึงปัญหาจึงสูดดมต่อไปพลางกล่าวว่า “ประธานฉิน เหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ”ฉินเย่มองด้วยสายตาดูหมู “…นายเดินเข้าไปอีกสิ เข้าไป”
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง