อาการของฉินเย่แย่มาก ดูเหมือนว่าเขากำลังจะทรุดลงไปกับพื้นในวินาทีถัดไป สาวผมสีทองที่เดิมทียังคงติดต่อกับหลี่มู่ถิงมองตามสายตาของเขาไป เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับฉินเย่ จากนั้นเธอจึงหยุดการกระทำที่น่าพิศวาสของเธอและตามหลี่มู่ถิงไปข้างหน้า ในตอนนี้ เธอยังคงพยายามสื่อสารกับหลี่มู่ถิงด้วยภาษาจีนที่ไม่ได้เรื่องของเธอ “เขาไม่เป็นไรใช่ไหม? ให้ฉันเรียกรถพยาบาลไหม?” หลังจากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่หุ้นส่วนส่งมา หลี่มู่ถิงก็อยากจะบอกให้เธอออกไป แต่เมื่อเห็นท่าทางของฉินเย่... "อย่ามาแตะต้องผม" อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าไปใกล้ๆ ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการช่วยหลี่มู่ถิงพยุงฉินเย่ขึ้นมา เธอก็ได้ยินฉินเย่ตวาดเธออย่างเย็นชา เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็รีบตีมือของสาวผมทอง และรีบบอกเธอด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว “เราไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ คุณรีบออกไปจัดการธุระเถอะ” สาวผมทองมองชายตรงหน้าเธออย่างไม่เต็มใจ แม้ว่าเขาจะดูอ่อนแอ แต่เขาก็ยังมีความหล่อที่ไม่สามารถปกปิดไว้ได้ ผู้ชายแบบนี้ เป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยม แต่…… เมื่อมองดูท่าทางที่เปราะบางของเขา เกรงว่าต่อให้เธอจะยั
“แล้วถ้าเป็นครอบครัวของคุณชายฉินพูดล่ะคะ เขาก็ไม่ฟังหรอ?”เมื่อได้ยินแบบนั้น หลี่มู่ถิงก็มีสีหน้าหม่นหมอง“ไม่มีประโยชน์ ถ้าได้ผล ป่านนี้คงไม่เป็นแบบนี้แล้ว” “ก็จริงค่ะ” ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องนี้ บรรยากาศก็เริ่มจริงจังขึ้น ทันใดนั้น นักศึกษาฝึกงานก็เหมือนจะนึกอะไรออก ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา“แล้วคุณหนูเจียงล่ะคะ? ได้ยินว่าตลอดหลายปีมานี้นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครอยู่ข้างๆ ประธานฉินเลย หรือว่าคุณหนูเจียงพูดเขาก็ไม่ฟังเหมือนกัน?”“เธอหมายถึงเจียงฉูฉู่เหรอ?”หลี่มู่ถิงถอนหายใจ "อย่าไปพูดถึงเลย ตอนแรกผมก็คิดว่าจะได้ผล ถึงกับไปขอร้องคุณหนูเจียงให้ช่วย แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร"นักศึกษาฝึกงาน“คุณหนูเจียงยังช่วยไม่ได้...... ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีทางจริงๆแล้วแหละค่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ประธานฉินของเราจะไม่เสียชีวิตก่อนเวลาอันควรหรอคะ?”"ถุ้ยๆๆๆ พูดบ้าอะไรของเธอ! เธอเป็นแค่เด็กฝึกงานอย่าไปสาปแช่งคนอื่นนะ!" นักศึกษาฝึกงานทำหน้าบึ้งเพราะถูกเขาบ่น“ผู้ช่วยหลี่ คุยกันแบบมีสติหน่อย นี่ฉันสาปแช่งเขาหรอคะ? ฉันเป็นห่วงประธานฉินต่างหาก คุณว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป แม้แต่คนที่แข็งแรงก็คงทนไม่ไหวใช่ไหม
ผ่านมาแล้วหนึ่งวันที่เขาไม่ได้ตอบข้อความของผู้หญิงคนนั้นตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว แอคเคาท์ของเด็กสองคนนั้นได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หน้าโปรไฟล์ไม่มีอะไรเลอะเทอะ คำแนะนำก็เรียบง่าย แม้แต่โพสต์ก็มีน้อยนิด มีแค่บางครั้งที่มีวิดีโอตัดต่อแล้วโพสต์พร้อมกับเพลงและข้อความ ดูออกว่าคนที่ดูแลบัญชีนี้ไม่ได้มีเวลาว่างเท่าไหร่ ฉินเย่คลิกเข้าไปในวิดีโอหนึ่งทันที รอยยิ้มของเด็กสองคนก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กสองคน ฉินเย่ก็รู้สึกว่าความกังวลและความหงุดหงิดในใจคลายลงทันที เขานั่งพิงขอบเตียง เลื่อนนิ้วไปมาและดูเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง อารมณ์ของเขาค่อยๆ สงบลง ตอนที่หลี่มู่ถิงเปิดประตูเข้ามาหาเขา ความกังวลในใจของฉินเย่ก็หายไปแล้ว และอาการของโรคกระเพาะหลังจากที่กินยาไปก็ดีขึ้นแล้ว"ประธานฉิน ทำไมถึงตื่นมาตอนนี้ครับ?"หลี่มู่ถิงรีบเดินไปหาเขา "นึกว่าคุณกำลังพักผ่อนอยู่ซะอีก" แม้สีหน้าของฉินเย่ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ แต่สายตาของเขาชัดเจนขึ้นมากเขามองดูคนที่มาแล้วเม้มริมฝีปาก "มีเรื่องอะไร?" หลี่มู่ถิงเพิ่งจะนึกถึงจุดประสงค์ของตัวเองขึ้นมาได้ รีบพูดว่า "คืออย่างนี้ครับ
"หม่ามี๊บอกว่า ต้องกินข้าวให้ตรงเวลาถึงจะดูแลสุขภาพให้ดีได้ ดังนั้นทุกคนต้องกินข้าวให้ตรงเวลาน้า~ " นี่คือ......เสียงของเด็กคนนั้นที่ชื่อเหมิงเหมิง ไม่คิดว่าเขาจะนึกถึงเสียงของเด็กคนนี้ในเวลาแบบนี้ มันเป็นการบอกใบ้อะไรเขาหรือเปล่า? แม้จะกินยาโรคกระเพาะไปแล้ว แต่ก็ยังคงปวดอยู่ ฉินเย่เม้มริมฝีปาก เรียกหลี่มู่ถิงก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องนอน "เดี๋ยวก่อน" หลี่มู่ถิงหยุดเดิน หันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าหมดหวัง"ครับ ประธานฉิน?""เมื่อกี้คุณพูดถึงข้าวต้มใช่ไหม?" หลี่มู่ถิงที่เดิมทีตามืดมนไร้ความหวังกลับมีประกายขึ้นมาทันที เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว "ใช่ครับประธานฉิน ร้านอาหารจีนข้างล่างต้มข้าวต้มให้เป็นพิเศษเลยครับ"ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง "เอาเข้ามา""ได้ครับ ผมจะรีบไปเอา" ตอนที่หลี่มู่ถิงออกจากห้อง จางเถากำลังรออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวาย"ผู้ช่วยหลี่ เป็นไงบ้างคะ? คุณฉินยอมทานอะไรบ้างรึยัง?""เขายอมแล้ว เอาข้าวต้มมาให้ผมเร็ว""โอเคค่ะ" จางเถายื่นชามข้าวต้มเล็กๆ ให้หลี่มู่ถิงหลังจากได้รับข้าวต้มแล้ว หลี่มู่ถิงก็รีบวิ่งไปที่ห้องนอนทันที กลัวว่าถ้าช้าไปนิดเดียวฉินเย่จะเ
พูดตามตรง คำตอบนี้แบบนี้ไม่ว่ายังไงก็ดูแปลกถ้าไม่ใช่เพราะว่าแอคเคาท์เยี่ยมู่เฉินจี้ให้ของขวัญกับเหมิงเหมิงและเหนียนเหนียนมานาน โดยไม่แสดงความคิดอะไรออกมาเลย เสิ่นหยินอู้ก็คงไม่สนใจเขาเลยแต่ยังไงก็เถอะ เธอเป็นคนติดต่อเขาไปก่อนเองเวลาตอนกลางคืนมีค่ามาก เสิ่นหยินอู้ไม่อยากเสียเวลา จึงถามข้อมูลติดต่อของอีกฝ่ายตรงๆเธอถามอย่างตรงไปตรงมา"ขอเพิ่มช่องทางการติดต่อที่สะดวกในการคุยได้ไหมคะ?"ฉินเย่มองประโยคนี้อยู่นาน แล้วพิมพ์ข้อมูลติดต่อของตัวเองลงไปเสิ่นหยินอู้ดูข้อมูลติดต่อที่อีกฝ่ายส่งมา แล้วเปิด WeChat ของตัวเองและเพิ่มเขาเป็นเพื่อนบัญชีที่ค้นเจอดูเรียบง่าย ชื่อเล่นเป็นตัวอักษร Y ง่ายๆ ส่วนรูปโปรไฟล์เป็นรูปชายหาดตอนกลางคืนมันสอดคล้องกับชื่อใน TikTok ของเขาเธอเพิ่มเขาเป็นเพื่อนอย่างรวดเร็วหลังจากฉินเย่ส่งข้อความไปแล้ว รออยู่ซักพักอีกฝ่ายก็ยังไม่ตอบกลับมาเขาเม้มริมฝีปากบาง มองดูเวลาแล้วคิดว่า ที่อีกฝ่ายไม่ตอบกลับเพราะดึกมากแล้วและหลับไปแล้วหรือเปล่า?เขาคิดไปพลางเปิดเข้าไปใน WeChat แต่พบว่ามีข้อความขอเพิ่มเพื่อนเข้ามาเขาชะงักไปครู่หนึ่งแล้วกดตกลงหลังจากเพิ่มแล้ว ระบบ
เสิ่นหยินอู้รออยู่นานกว่าจะได้คำตอบจากอีกฝ่ายคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังไปหาหมายเลขบัญชี แต่ไม่คิดว่าไม่กี่นาทีต่อมาเขาจะตอบกลับมาว่า"ไม่จำเป็นครับ"เสิ่นหยินอู้ "......"ตั้งแต่เริ่มคุยจนถึงตอนนี้ อีกฝ่ายแทบจะไม่พูดอะไรเลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาพูดน้อยเป็นปกติหรือว่าเขาไม่อยากคุยกับเธอกันแน่แต่ดูจากพฤติกรรมของเขา ดูเหมือนจะเอนเอียงไปทางเขาไม่อยากคุยกับเธอมากกว่าเพราะตอนที่เธอส่งข้อความไป มันขึ้นว่าอ่านแล้วตั้งนาน แต่เขาไม่ตอบกลับมารอจนถึงดึกถึงจะตอบกลับมา เขาอาจจะคิดว่าการไม่ตอบเลยมันไม่สุภาพ?เมื่อคิดได้ เสิ่นหยินอู้ก็ล้มเลิกความคิดที่จะคุยกับเขาต่อ เธอเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพิมพ์ข้อความทิ้งไว้"ดึกแล้วนะคะคุณเย่ พักผ่อนก่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้หรือเมื่อไหร่ที่คุณสะดวก รบกวนส่งหมายเลขบัญชีมาให้ฉันด้วยนะคะ ฝันดีค่ะ"เมื่อเห็นข้อความนี้ ฉินเย่ก็อดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ข้อความที่อีกฝ่ายส่งมาชัดเจนว่าต้องการจะจบการสนทนากับเขาแต่ที่เธอขอหมายเลขบัญชีเขาในตอนท้ายนั้นกลับทำให้ฉินเย่ประหลาดใจเธอจะคืนเงินให้เขาจริงๆหรอ?ถ้าเขาส่งหมายเลขบัญชีไปให้ เธอจะโอนเงินให้เขาจริงๆ หรอ?คิดถึงเด็กน
เพราะแบบนี้โม่ไป๋ก็เลยได้รหัสเข้าบ้านของเธอไปหลังจากนั้นเขาก็จะมาส่งอาหารเช้าเองบ่อยๆพอมาบ่อยเข้า เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกเกรงใจ เลยบอกเขาว่า "จริงๆ แล้วนายให้ลูกน้องนายส่งมาก็ได้นะ"โม่ไป๋ลูบหัวเธอแล้วบอกว่า "เธอไม่ได้อยากนอนนานขึ้นหน่อยเหรอ? ถ้าให้พวกเขาส่งมา เขาจะโทรมากวนเธอนะ""ก็มีรหัสเข้าบ้านแล้วไม่ใช่เหรอ?"โม่ไป๋ถอนหายใจ "รหัสเข้าบ้านเธอ คิดว่าผมจะวางใจให้คนอื่นเหรอ?""แม้แต่ลูกน้องนายก็ไม่ได้เหรอ?""แม้แต่ลูกน้องก็ไม่ได้"ดังนั้นถ้าเขาไม่ยุ่งจริงๆ เขาก็จะมาดูแลเธอไม่เคยขาด"ล้างหน้าแปรงฟันแล้วเหรอ?"เสิ่นหยินอู้ที่กำลังเหม่อลอย ได้ยินโม่ไป๋ถามขึ้นมากะทันหันเธอได้สติแล้วส่ายหัว "ยังเลย พอดีได้ยินเสียงจากห้องนั่งเล่น เลยลุกขึ้นมาดูไง?""ยังไม่ชินอีกเหรอ?" โม่ไป๋วางแก้วน้ำอุ่นลงตรงหน้าเธอ "พอผมมา เธอก็ตื่น อย่างนี้ต่างกับโทรปลุกยังไง?"เสิ่นหยินอู้ยิ้มเล็กน้อย"มันก็ต่างอยู่นิดหน่อย จากตอนที่นายโทรปลุกฉันจนถึงตอนที่นายเข้ามาจัดอาหารในห้องนั่งเล่น อย่างน้อยฉันก็นอนได้อีกสองสามนาที"พอพูดจบ โม่ไป๋ก็อดหัวเราะไม่ได้ เขาเอื้อมมือไปแตะปลายจมูกน่ารักของเธอ"ทำไมเหมือนแมวเ
เสิ่นหยินอู้รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย "ห้าปีนี้นายช่วยฉันมาเยอะมาก ฉันคงพึ่งพานายทุกเรื่องไม่ได้หรอก""พึ่งพาทุกเรื่อง?" โม่ไป๋หัวเราะเบาๆ กับคำนี้ "หยินอู้ ถ้าห้าปีนี้เธอยอมพึ่งพาผมทุกเรื่องจริงๆ ผมคงไม่ต้องพยายามขนาดนี้"แม้ว่าเธอจะยอมให้เขาเอาอาหารเช้ามาให้ แต่นั่นก็เป็นผลจากความพยายามของโม่ไป๋ ต่อให้เขาไม่ทำอะไรแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ก็สามารถใช้ชีวิตได้ดีอยู่ดี"อย่าพูดแบบนั้น นายช่วยฉันมาเยอะแล้ว ถ้ามากกว่านี้ ฉันจะตอบแทนไม่ไหว""แล้วใครต้องการให้เธอตอบแทนล่ะ?"โม่ไป๋มองเธอด้วยสายตาที่ลึกซึ้งขึ้น เสียงของเขาต่ำลง "ยังไงผมก็เต็มใจ เธอไม่ตอบแทนผม ผมก็ทำอะไรเธอไม่ได้"เสิ่นหยินอู้ไม่พูดอะไรเขาไม่สามารถทำอะไรเธอได้ ยังไงก็ตาม เขาเคารพเธอเสมอแต่ยิ่งเธอเป็นหนี้บุญคุณเขามากขึ้น เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดในใจ ถ้าไม่สามารถตอบแทนได้จริงๆ เธอก็จะรู้สึกไม่สบายใจไปตลอดชีวิต"เอาล่ะ สบายใจเถอะ อยากไปเปิดในประเทศก็ไม่มีปัญหาอะไร อย่างมากผมก็แค่กลับประเทศกับเธอ"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ที่ก้มหน้าอยู่ก็เงยหน้าขึ้นทันที"นายจะกลับประเทศกับฉัน?""ไม่งั้นล่ะ? เธอจะกลับไปเปิดบริษัทในประเทศ ผมจะไม
แต่ในไม่ช้า สายตาของฉินเย่ก็เปลี่ยนไปเพราะเขาเห็นฉากหลังด้านหลังของเธอ “คุณอยู่บ้านเหรอ?” เสิ่นหยินอู้เห็นเขามองฉากหลังที่อยู่ด้านหลัง ไม่รู้ด้วยเหตุใด เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่อยากให้เขารู้ว่าเธอให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ และเธอก็รู้สึกไม่เต็มใจอยู่เสมอ แม้ว่าทั้งสองจะเข้าใจผิดกันในตอนแรก แต่เขาก็ทำร้ายเธอจริงๆ แม้ว่าเธออยากอยู่กับเขา แต่เธอไม่ได้ต้องการให้อภัยเขาเร็วขนาดนี้ เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบอะไร อีกทั้งยังลดสายตาลงต่ำ สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงสิ่งที่เธอกำลังคิดได้ จึงเปลี่ยนหัวข้อ “เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนนอนแล้วหรอ?” เมื่อได้ยินหัวข้ออื่น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้งและพูดว่า "น่าจะหลับไปแล้วนะ คืนนี้พวกเขานอนกับ... " เมื่อเธอพูดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปอีกครั้ง ฉินเย่อึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อจากคำพูดของเธอ “ตอนนี้เหมิงเหมิงกับเหนียนเหนียนอยู่กับพ่อแม่งั้นเหรอ?”เสิ่นหยินอู้พยักหน้า “อืม พวกผู้ใหญ่ชอบพวกเขามาก” อาจเป็นเพราะเมื่อครู่นี้ที่เสิ่นหยินอู้เงียบไปถึงสองครั้งและลังเลที่จะพูด บรรยากาศ
เสิ่นหยินอู้ตกใจกับเรื่องที่ตระกูลฉินจะย้ายจากหนานเฉิงไปยังเจียงเฉิง ขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกถึงการได้รับความเคารพอย่างมาก แต่เธอก็ถามคุณแม่ฉินในขณะที่เธอจะตัดสินใจ “ต้นตระกูลฉินอยู่ที่หนานเฉิงไม่ใช่หรอคะ? ถ้าย้ายไปที่เจียงเฉิงมันจะ…” “กำลังพูดเรื่องอะไรจ๊ะเนี่ย พ่อกับแม่แก่มากแล้ว คนที่เราห่วงก็มีแค่ลูกๆนี่แหละจ๊ะ ตอนนี้เรามีหลานเพิ่มมาอีกสองคน แน่นอนว่าหนูคือคนที่สำคัญที่สุด ไม่ต้องพูดถึงเราสองคนสามีภรรยาเลย เราอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอจ๊ะ? สภาพแวดล้อมในเจียงเฉิงเหมาะสมกว่าที่นี่อีก หนูเปิดบริษัทอยู่ที่นั่นไม่ใช่เหรอ? ถึงตอนนั้นถ้ามีอะไรไม่เข้าใจก็แค่ถามพ่อ ตั้งใจทำงานให้ดี ส่วนเรื่องเด็กๆน่ะไม่ต้องห่วงเลย มีพ่อกับแม่อยู่ เดี๋ยวเราจะช่วยหนูเลี้ยงพวกเขาให้อ้วนท้วนสมบูรณ์ไปเลย” หลังจากนั้น คุณแม่ฉินก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอเพิ่ม เธอยุ่งอยู่กับการพาเด็กๆไปที่ห้องและปรึกษาหารือกับคุณพ่อฉินเรื่องการย้ายที่อยู่ของครอบครัว ระหว่างทางกลับห้อง เสิ่นหยินอู้ยังคงคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่บริษัทในตอนนี้ของเธอเพิ่งเปิดเลย แม้ว่าบริษัทของเธอจะเริ่มพัฒนาขึ้นมาแล
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขายังอยู่ที่ต่างประเทศและร่างกายยังได้รับบาดเจ็บ รอยยิ้มบนริมฝีปากของเสิ่นหยินอู้ก็จางหายไปเล็กน้อย “เอาล่ะ อย่าเพิ่งไปคิดมากเรื่องอื่นเลย นั่งเครื่องบินมาทั้งวัน หิวแย่แล้วใช่ไหม? อาหารในครัวน่าจะใกล้ทำเสร็จแล้ว อีกเดี๋ยวก็ไม่ต้องคิดอะไรสักพักแล้วก็กินข้าวให้อร่อยนะ มีอะไรไว้ค่อยคุยต่อพรุ่งนี้แล้วกันนะ" อาหารเย็นหลากหลายมากและมีแต่สิ่งที่เธอคุ้นเคย ซึ่งแตกต่างจากที่กินที่ต่างประเทศโดยสิ้นเชิง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ... รสชาติของอาหารต่างก็เป็นรสชาติที่คุ้นเคยทั้งนั้น... เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมองคุณแม่และคุณพ่อฉิน แม้ว่าเธอจะแก้ปมในใจได้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่มีความมั่นใจเพราะเธอหายไปเป็นเวลานานมาก เธอพูดขึ้นมาอย่างขวยเขินและยากลำบากว่า: "พ่อคะ แม่คะ หลายปีมานี้พ่อครัวของบ้านนี้ไม่ได้เปลี่ยนเลยเหรอคะ?" คุณแม่ฉินมองดูเธออย่างอ่อนโยน “ไม่ได้เปลี่ยนเลยจ๊ะ เขาอยู่กับตระกูลฉินมาหลายปีแล้ว และเราก็ชินกับรสชาติอาหารที่เขาทำมานานแล้ว ทำไมเหรอ กินไปนิดเดียวก็รู้แล้วเหรอจ๊ะ?” “ใช่ค่ะ มันเป็นรสชาติที่น่าคิดถึงมาก” มันเป็นอาหารเธอคุ้นเคย และแม้กระทั
ระหว่างทางกลับบ้าน เธอไม่ได้พูดอะไร คุณแม่ฉินกลับเอาใจใส่เธอเป็นพิเศษ เธอจับมือหยินอู้และลังเลเหมือนจะพูดอะไรอยู่หลายครั้ง นอกจากคุณแม่ฉิน เสิ่นหยินอู้ก็ลังเลที่จะพูดเช่นกันเพราะเธอไม่รู้ว่าจะพูดอะไร หรือเรียกคุณแม่ฉินอย่างไร แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเรียกพวกเขาว่าปู่กับย่า แต่เธอกลับไม่สามารถเรียกคุณแม่ฉินว่าแม่ได้ ท้ายที่สุด...มันก็ผ่านมาห้าปีแล้ว ห้าปี ช่างเป็นตัวเลขที่เนิ่นนานเสียจริง อาจเป็นเพราะสายตาที่สื่อออกมาหรือไม่ก็การแสดงออกของเธอ แม่ฉินจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เธอยื่นมือออกไปจับปรอยผมของเธอเบาๆและนำมันไปทัดที่หลังหู จากนั้นก็พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน “เด็กดี หลายปีมานี้คงลำบากมามากเลยสินะ” ประโยคเดียวนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้อดไม่ได้ที่จะตาแดงขึ้นมา เธอคิดไว้ก่อนแล้วว่าคุณแม่ฉินจะพูดอะไร แต่เธอไม่ได้คิดเลยว่าสิ่งที่คุณแม่ฉินจะพูดนั้นจะเป็นประโยคนี้ ซึ่งมันทำให้เธอรู้สึกลำบากใจที่ได้ยิน มีความน้อยใจมากมายอยู่ในที่เธอไม่อาจพูดออกมาได้ ความรู้สึกใกล้ชิดกับคนที่เป็นญาติผู้ใหญ่เป็นสิ่งที่เธอไม่เคยสัมผัสมาก่อน ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก เธอมีความฝันที่จะมีแม่ หรือผู้ปกค
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเธอก็ยังไม่เร่งรีบ เสิ่นหยินอู้กับฉินเย่ซึ่งแต่งงานกันแล้วในเวลานั้นคงจะมีความคิดของตัวเองในแบบของคนหนุ่มสาว พวกเขาในฐานะผู้ใหญ่ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่งมากเกินไป เช่นเดียวกับตอนที่เธอยังเด็ก การตั้งท้องฉินเย่ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเช่นกัน เดิมทีเธอต้องการใช้เวลากับสามีของเธอในโลกของพวกเขาสองคนให้นานกว่านี้ และคุณนายฉินก็ไม่ได้กดดันเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ในโลกที่หวานชื่นของพวกเธอสองคนกับสามี และแล้ว...เธอก็ท้องโดยไม่ได้ตั้งใจเธอเองก็เป็นเช่นนี้ ดังนั้นแล้วเธอจึงไม่ต้องการเร่งหยินอู้กับฉินเย่ ใครจะรู้ว่าต่อมาพวกเขาจะหย่าร้างกัน และหยินอู้ก็จากไปในที่ไกลแสนไกล ต่อมาก็มีคนมาล้อเธอเรื่องหลานมากขึ้น ในเวลานั้นคุณแม่ฉินยิ้มเล็กน้อยและขี้เกียจเกินกว่าจะตอบโต้อะไร เธอเพียงแค่ยุติสัญญาระหว่างบริษัททั้งสองหลังจากที่กลับไป เธอทำให้อีกฝ่ายตกใจจนแทบจะหัวใจวาย ในคืนนั้นอีกฝ่ายมาหาเธอและร้องไห้โดยบอกว่าเขาผิดไปแล้ว ขอให้ตระกูลฉินปล่อยเขาไป หลังจากไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาหลายปี คุณแม่ฉินก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก แต่ตอนนี้... เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ คุณแม่ฉินก็อดไม่ได้ที่จะย่อต
จากระยะไกล คุณแม่ฉินสามารถมองเห็นเสิ่นหยินอู้และลูกๆทั้งสองได้ เด็กๆที่อยู่ข้างๆเธอเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิง และพวกเขาก็ดูมีหน้าตาที่คล้ายกันมากเพราะเป็นฝาแฝดกัน เธอตกใจมากเมื่อหลี่มู่ถิงโทรหาเธอก่อนหน้านี้ “ลูกเหรอ? เป็นลูกของฉินเย่กับหยินอู้หรอ?” "ครับคุณผู้หญิง" “นี่...หยินอู้มีลูกกับฉินเย่จริงๆเหรอ? อายุเท่าไรแล้ว?” เมื่อหลี่มู่ถิงบอกเธอว่าเด็กสองคนอายุห้าขวบและเป็นฝาแฝดหญิงชาย คุณแม่ฉินก็แทบจะร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ เนื่องจากท่าทางที่ไม่สนใจใครของฉินเย่ก่อนหน้านี้ บวกกับการที่หยินอู้ไม่ต้องการที่จะมาเจอพวกเขาอีก คุณแม่ฉินจึงคิดว่าฉินเย่คงจะไม่มีคู่ครองอีกแล้วในชีวิตนี้ และเธอคงไม่มีโอกาสที่ได้อุ้มหลานๆแล้ว เรื่องนี้ทำให้เธอต้องเตรียมใจอยู่เป็นเวลานาน คุณแม่ฉินโน้มน้าวตัวเองอย่างยากลำบากว่าหากเธอไม่มีหลานก็ช่างมันไปเถอะ สำหรับลูกชายของเธอ ไม่ว่าเขาจะมีลูกหรือไม่ นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอควรกังวล ฉินเย่ไม่ได้กังวล แล้วเธอจะกังวลอะไรล่ะ? เธอไม่คิดว่าเรื่องเหนือความคาดหมายจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เธอยังกังวลว่าเธอจะไม่มีหลานอยู่เลย แต่ผ่านไปไม่เท่าไรก
“ตอนคุณคิดบัญชีกับเขา ผมไปขวางคุณเมื่อไร? นับตั้งแต่ที่คุณแต่งงานเข้ามาในตระกูลฉิน คุณไม่ได้เป็นคนที่มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่างมาโดยตลอดหรอกเหรอ?” หลังจากคิดอยู่สักพัก ฉินซวีโก้วก็รู้สึกว่าที่เขาพูดนั้นสมเหตุสมผล เธอเม้มริมฝีปากและไม่พูดอะไรอีก นับตั้งแต่หยินอู้หย่ากับฉินเย่และจากไป นิสัยของคุณแม่ฉินก็เปลี่ยนไปมาก บวกกับการจากไปของคุณนายฉินก็ทำให้อารมณ์ของเธอไม่ได้อ่อนโยนเหมือนเมื่อก่อน เธอไม่อดทนกับลูกชายเหมือนเมื่อก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าการจากไปของหยินอู้จะต้องหนีไม่พ้นเรื่องลูกชายของเธออย่างแน่นอน ท้ายที่สุดแล้ว พวกเธอทั้งคู่ก็เป็นผู้หญิงที่แต่งงานกันแล้วเหมือนกัน หากผู้หญิงยังต้องการจะจากไป แสดงว่าปัญหาจะต้องอยู่ที่ผู้ชาย ไม่เช่นนั้นก็คงจะเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนใจ แต่เธอเห็นหยินอู้เติบโตมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และเธอก็เข้าใจอารมณ์ของหยินอู้ได้อย่างลึกซึ้ง ในความคิดของคุณแม่ฉิน เด็กคนนั้นไม่มีทางจะทำอะไรที่เป็นผลร้ายแรงต่อเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวก็คือการที่ลูกชายของเธอทำอะไรสักอย่างผิด เมื่อลูกชายทำผิด แม่ก็ต้องรับผิดชอบด้วยเพราะเธอสอนลูกไม
หลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว หลี่มู่ถิงยังคงยุ่งอยู่กับการเข็นกระเป๋าเดินทางให้เธอ เสิ่นหยินอู้เพียงแค่พาลูกๆสองคนเดินไปข้างหน้าเท่านั้น อาจเพราะกังวลว่าเรื่องลักพาตัวเธอครั้งก่อนจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงมีบอดี้การ์ดร่างสูงกำยำหลายคนเดินขนาบข้างเธอ บอดี้การ์ดแทบจะล้อมอยู่รอบๆข้างกายเธอ ด้านหน้าหนึ่งคน หลังหนึ่งคน ซ้ายหนึ่งคน หนึ่งขวาคน จากมุมมองของคนนอก เธอกับลูกๆสองคนของเธอจะต้องปลอดภัยเต็มร้อย ถ้าใครคิดที่จะทำอะไรกับเธอ คงไม่ได้แม้แต่จะคิด หลี่มู่ถิงเข็นกระเป๋าเดินทางเดินตามหลังเธอไป เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงทางออกแล้ว เขาจึงพูดเตือนออกมา: "คุณหนูเสิ่น คุณผู้หญิงฉินกับคนอื่นๆกำลังรออยู่ที่ทางออก เดี๋ยวก็ได้เจอกันแล้วครับ" เมื่อเขาเตือนเธอ เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้า "อืม" จากนั้นเธอก็ก้มลงและกระซิบบอกเด็กน้อยทั้งสอง: "เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน ได้ยินแล้วใช่ไหม? อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอคุณปู่กับคุณย่าแล้วนะ จำได้ไหมว่าหม่ามี๊บอกพวกหนูตอนที่อยู่บนเครื่องบินว่าอะไร?" "จำได้ค่า" “ไม่ต้องห่วงค่ะหม่ามี๊ เหมิงเหมิงกับพี่ชายมีมารยาทให้มากที่สุดค่ะ” เด็กน้อยสองคนทำให้เธอมั่นใจได้อย่
"ดีใจค่ะ" เสิ่นเหมิงเหมิงเอื้อมมือออกไปด้วยความดีใจและคิดจะเข้าไปกอดเธอ แต่นี่เป็นบนเครื่องบิน และทั้งคู่ก็คาดเข็มขัดนิรภัยอยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถกอดหยินอู้ได้เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงยื่นมือออกมาให้เหมิงเหมิงจับมือเธอเพื่อแสดงความดีใจออกมา “หม่ามี๊คะ แล้วลุงเย่มู่รู้หรือเปล่า?”เขารู้หรือเปล่าเหรอ? มุมปากของเสิ่นหยินอู้โค้งขึ้น สีหน้าของเธออ่อนโยนขึ้น เดี๋ยวพอกลับถึงจีนเขาก็คงจะรู้เองแหละ "เดี๋ยวก็รู้แล้วจ๊ะ" “หม่ามี๊คะ แล้วคุณปู่กับย่าเข้ากับคนง่ายไหมคะ? พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่หรอคะ?” “ใช่แล้ว พวกเขาเป็นพ่อกับแม่ของลุงเย่มู่ พวกเขาอ่อนโยนมาก แล้วก็เข้ากับคนง่าย ไม่ต้องห่วง พวกเขาคือ…” หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เสิ่นหยินอู้ก็พูดว่า "พวกเขาคือปู่กับย่าแท้ๆของลูก" หลังจากได้ยิน ดวงตาของเหมิงเหมิงก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ “ปู่กับย่าเหรอคะ?” "อืม" เสิ่นหยินอู้ลูบหัวของเหมิงเหมิงและมองไปที่เสิ่นซือเหนียน: "เหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิง ลูกเข้าใจสิ่งที่หม่ามี๊พูดไหม? ลุงเย่มู่เป็นพ่อแท้ๆของลูก" เสิ่นซือเหนียนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว เป็นการบอกว่าเขาเข้าใจ อย่าง