ได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หุบยิ้ม แล้วปิดก๊อกน้ำ จากนั้นสวมถุงมือล้างจาน“ดูเธอซิ พอฉันพูดถึงเรื่องกลับประเทศเมื่อไหร่ เธอก็จะเงียบตลอด”โจวชวงชวงโมโหมากอย่างเห็นได้ชัด“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเธอคิดอะไรอยู่กันแน่ ผ่านไปนานขนาดนี้ ถึงแม้ว่าจะสัญญากับหล่อนไว้ ตอนนี้ก็คงผ่านไปได้แล้วมั้ง?”เสิ่นหยินอู้ยังคงเงียบแต่โจวชวงชวงยังคงพูดต่อไป “ธุรกิจด้านนี้ไปได้ไม่ค่อยดีในต่างประเทศ แต่ถ้าทำในประเทศ อีกอย่างคนที่เชิญเธอก็เป็นนักธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศด้วย ตำแหน่งงานดีขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นว่าเธอเก่งมากล่ะก็ เธอถูกคนอื่นแย่งตำแหน่งงานนี้ไปนานแล้ว เธอรู้ไหมว่าเขาถึงขนาดโทรมาหาฉันด้วยนะ บอกว่าให้ฉันเกลี้ยกล่อมเธอให้หน่อย บริษัทของพวกเขาไม่อยากพลาดคนเก่งๆ ไป”เมื่อได้ยินแบบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็กลั้นไว้ไม่อยู่อีกต่อไป“แล้ว? บริษัทของพวกเขาให้ผลประโยชน์อะไรกับเธอเหรอ? ถึงได้ให้เธอมาเกลี้ยกล่อมฉันน่ะ?”“กรี๊ด ห้ามอ่านฉันออกนะ!” โจวชวงชวงแค่นเสียงฮึ “ฉันเป็นคนแบบนั้นหรือไง? ฉันเห็นว่างานนี้เงินเดือนสูง มีโอกาสพัฒนาด้วยถึงได้มาเกลี้ยกล่อมเธอต่างหาก ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ผลประโยชน์อะไรนั่น
“ตอนแรกว่าจะบอกเธอตอนที่ทำสำเร็จแล้ว เพราะตอนนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ไม่รู้ว่าจะสำเร็จไหม”“กรี๊ด” โจวชวงชวงกลับกรีดร้องใส่โทรศัพท์เมื่อเสียงกรีดร้องของเธอดังลั่นไปทั่วห้องครัวแล้ว เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกดีใจที่ตนเปิดลำโพงไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นหูของตนต้องระเบิดแน่“เธอจะเปิดบริษัท ทำไมไม่บอกฉัน ถ้าเธอบอกก่อน ฉันจะให้เธอไปทำงานที่บริษัทฟู่อะไรนั่นไหม? เงินเดือนสูง เก็บไว้ให้เธอโดยเฉพาะอะไรนั่นจะสู้เปิดบริษัทเองได้ยังไง?”“ยังไม่สำเร็จสักหน่อย ถ้าพูดออกไปแล้วไม่สำเร็จ จะทำให้คนผิดหวังนะ”“ผิดหวังอะไร? ฉันไม่ผิดหวังแน่นอน ตั้งแต่เด็กจนโต เธอเคยทำอะไรที่ล้มเหลวบ้าง หยินอู้ เธอทำได้!”โจวชวงชวงให้กำลังใจเธอตลอด ฟังจนเสิ่นหยินอู้แทบจะบินแล้ว“ขอบใจนะ แต่ว่าฉินก็ล้มเหลวมาหลายครั้งเหมือนกันเถอะ แต่ขอแค่พยายามแล้วก็พอ”“ถ้างั้นเธอรีบพยายามเร็ว รอให้บริษัทเธอตั้งขึ้นได้สำเร็จ ถึงตอนนั้นฉันจะไปทำงานตำแหน่งสูง”“โอเค ฉันจะเหลือตำแหน่งไว้ให้นะ”“ดี ห้ามให้คนอื่นล่ะ”หลังจากนั้น ทั้งสองก็พูดคุยกัน รอให้เสิ่นหยินอู้ล้างจานเสร็จ โจวชวงชวงถึงจะวางสายไปหลังจากเก็บกวาดห้องครัวเสร็จแล้ว เสิ่นห
อีกอย่างทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงติดต่อเขาเวลานี้ เขาพอจะรู้สาเหตุคงเป็นเพราะจะคืนเงินที่เขาส่งของขวัญให้เท่านั้นหากเป็นเหตุผลไร้สาระแบบนี้ เขาจะสนใจไปทำไม?เงินที่ให้ไปแล้ว เขาไม่มีทางรับกลับคืนแน่สิ่งเดียวที่รับกลับคืนมา ก็คงจะมีแต่เมื่อห้าปีก่อน…เมื่อนึกถึงเมื่อห้าปีก่อน ตอนที่เขากลับมาถึงห้อง บัตรที่เขาให้เธอและบัตรที่แม่ของเขาเอาไว้ให้เธอล้วนถูกวางไว้ด้วยกันวางอยู่ตรงหน้าเขาไม่ว่าจะเป็นเงินที่เขาให้ หรือว่าเธอเป็นคนขอก็ไม่ถูกใช้เลยแม้แต่นิด เพียงแค่คืนเขาอย่างนั้นเหมือนกำลังประกาศว่า นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเธอไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาอีก เธอไม่ติดค้างอะไรเขาแล้วด้วยถึงแม้จะผ่านไปห้าปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ ความโมโหในตัวของฉินเย่ก็รุนแรงมากผู้หญิงใจร้ายเพราะอาหารกลางวันถูกวางไว้นาน ทำให้รสชาติไม่อร่อยหลี่มู่ถิงเห็นว่าฉินเย่กินไปได้ไม่กี่คำก็วางตะเกียบลงแล้ว“ประธานฉิน เย็นนี้ยังมีประชุมอีก คุณต้องกินอีกหน่อยนะ”จากนั้นสิ่งที่ตอบเขามีเพียงเสียงปิดประตูจากฉินเย่หลี่มู่ถิงยืนอยู่กับที่ มองไปที่อาหารเหลือบนโต๊ะ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วโทรเรียกพนักงานมาเก็บไป
แต่พวกเขาไม่รู้ ว่าประธานฉินเจรจาธุรกิจ ก็คือเจรจาธุรกิจ จะทำธุรกิจด้วยกันได้ไหมขึ้นอยู่กับความสามารถของบริษัท ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมอบอะไรให้ ดังนั้นของที่ส่งมาเหล่านั้นล้วนถูกส่งกลับคืนไปในสภาพเดิมสัญญาครั้งนี้ใกล้จะสำเร็จแล้ว เหลือแค่เซ็นสัญญา อีกฝ่ายทำเซอร์ไพรส์เช่นนี้ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่จริงๆระหว่างที่ครุ่นคิด หลี่มู่ถิงก็มาถึงหน้าห้องโรงแรมพร้อมกับฉินเย่หลี่มู่ถิงรีบหยิบบัตรห้องออกมา“ประธานฉิน เชิญครับ”ฉินเย่เม้มปากเดินเข้าไป ทว่าทันทีที่เดินเข้าไป ฝีเท้าของเขาก็หยุดชะงักลงหลี่มู่ถิงเห็นเขายืนนิ่งกับที่ไม่ขยับ จึงถามอย่างสงสัย“ประธานฉิน เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”สิ้นเสียง ร่างสูงบางตรงหน้าก็ถอยหลังไปหลายก้าว จนออกจากประตูห้องไปหลี่มู่ถิง “?”“กลิ่นแปลกๆ” ฉินเย่กล่าวด้วยลมหายใจไม่เป็นจังหวะ“หืม? กลิ่นอะไรครับท” ผู้ช่วยรีบยื่นคอออกมาดม แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไรหน้าผากของฉินเย่เหงื่อแตก ทำได้เพียงทำหน้าบึ้งกล่าวว่า “เข้าไปอีก”หลี่มู่ถิงไม่รู้ถึงปัญหาจึงสูดดมต่อไปพลางกล่าวว่า “ประธานฉิน เหมือนจะไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ”ฉินเย่มองด้วยสายตาดูหมู “…นายเดินเข้าไปอีกสิ เข้าไป”
อาการของฉินเย่แย่มาก ดูเหมือนว่าเขากำลังจะทรุดลงไปกับพื้นในวินาทีถัดไป สาวผมสีทองที่เดิมทียังคงติดต่อกับหลี่มู่ถิงมองตามสายตาของเขาไป เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างผิดปกติกับฉินเย่ จากนั้นเธอจึงหยุดการกระทำที่น่าพิศวาสของเธอและตามหลี่มู่ถิงไปข้างหน้า ในตอนนี้ เธอยังคงพยายามสื่อสารกับหลี่มู่ถิงด้วยภาษาจีนที่ไม่ได้เรื่องของเธอ “เขาไม่เป็นไรใช่ไหม? ให้ฉันเรียกรถพยาบาลไหม?” หลังจากรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนที่หุ้นส่วนส่งมา หลี่มู่ถิงก็อยากจะบอกให้เธอออกไป แต่เมื่อเห็นท่าทางของฉินเย่... "อย่ามาแตะต้องผม" อย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าไปใกล้ๆ ในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นต้องการช่วยหลี่มู่ถิงพยุงฉินเย่ขึ้นมา เธอก็ได้ยินฉินเย่ตวาดเธออย่างเย็นชา เมื่อเห็นเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็รีบตีมือของสาวผมทอง และรีบบอกเธอด้วยภาษาอังกฤษที่คล่องแคล่ว “เราไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณ คุณรีบออกไปจัดการธุระเถอะ” สาวผมทองมองชายตรงหน้าเธออย่างไม่เต็มใจ แม้ว่าเขาจะดูอ่อนแอ แต่เขาก็ยังมีความหล่อที่ไม่สามารถปกปิดไว้ได้ ผู้ชายแบบนี้ เป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยม แต่…… เมื่อมองดูท่าทางที่เปราะบางของเขา เกรงว่าต่อให้เธอจะยั
“แล้วถ้าเป็นครอบครัวของคุณชายฉินพูดล่ะคะ เขาก็ไม่ฟังหรอ?”เมื่อได้ยินแบบนั้น หลี่มู่ถิงก็มีสีหน้าหม่นหมอง“ไม่มีประโยชน์ ถ้าได้ผล ป่านนี้คงไม่เป็นแบบนี้แล้ว” “ก็จริงค่ะ” ทั้งสองพูดคุยกันเรื่องนี้ บรรยากาศก็เริ่มจริงจังขึ้น ทันใดนั้น นักศึกษาฝึกงานก็เหมือนจะนึกอะไรออก ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา“แล้วคุณหนูเจียงล่ะคะ? ได้ยินว่าตลอดหลายปีมานี้นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครอยู่ข้างๆ ประธานฉินเลย หรือว่าคุณหนูเจียงพูดเขาก็ไม่ฟังเหมือนกัน?”“เธอหมายถึงเจียงฉูฉู่เหรอ?”หลี่มู่ถิงถอนหายใจ "อย่าไปพูดถึงเลย ตอนแรกผมก็คิดว่าจะได้ผล ถึงกับไปขอร้องคุณหนูเจียงให้ช่วย แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร"นักศึกษาฝึกงาน“คุณหนูเจียงยังช่วยไม่ได้...... ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีทางจริงๆแล้วแหละค่ะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ประธานฉินของเราจะไม่เสียชีวิตก่อนเวลาอันควรหรอคะ?”"ถุ้ยๆๆๆ พูดบ้าอะไรของเธอ! เธอเป็นแค่เด็กฝึกงานอย่าไปสาปแช่งคนอื่นนะ!" นักศึกษาฝึกงานทำหน้าบึ้งเพราะถูกเขาบ่น“ผู้ช่วยหลี่ คุยกันแบบมีสติหน่อย นี่ฉันสาปแช่งเขาหรอคะ? ฉันเป็นห่วงประธานฉินต่างหาก คุณว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป แม้แต่คนที่แข็งแรงก็คงทนไม่ไหวใช่ไหม
ผ่านมาแล้วหนึ่งวันที่เขาไม่ได้ตอบข้อความของผู้หญิงคนนั้นตอนนี้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว แอคเคาท์ของเด็กสองคนนั้นได้รับการดูแลเป็นอย่างดี หน้าโปรไฟล์ไม่มีอะไรเลอะเทอะ คำแนะนำก็เรียบง่าย แม้แต่โพสต์ก็มีน้อยนิด มีแค่บางครั้งที่มีวิดีโอตัดต่อแล้วโพสต์พร้อมกับเพลงและข้อความ ดูออกว่าคนที่ดูแลบัญชีนี้ไม่ได้มีเวลาว่างเท่าไหร่ ฉินเย่คลิกเข้าไปในวิดีโอหนึ่งทันที รอยยิ้มของเด็กสองคนก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ เมื่อเห็นรอยยิ้มของเด็กสองคน ฉินเย่ก็รู้สึกว่าความกังวลและความหงุดหงิดในใจคลายลงทันที เขานั่งพิงขอบเตียง เลื่อนนิ้วไปมาและดูเงียบๆ อยู่พักหนึ่ง อารมณ์ของเขาค่อยๆ สงบลง ตอนที่หลี่มู่ถิงเปิดประตูเข้ามาหาเขา ความกังวลในใจของฉินเย่ก็หายไปแล้ว และอาการของโรคกระเพาะหลังจากที่กินยาไปก็ดีขึ้นแล้ว"ประธานฉิน ทำไมถึงตื่นมาตอนนี้ครับ?"หลี่มู่ถิงรีบเดินไปหาเขา "นึกว่าคุณกำลังพักผ่อนอยู่ซะอีก" แม้สีหน้าของฉินเย่ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่ แต่สายตาของเขาชัดเจนขึ้นมากเขามองดูคนที่มาแล้วเม้มริมฝีปาก "มีเรื่องอะไร?" หลี่มู่ถิงเพิ่งจะนึกถึงจุดประสงค์ของตัวเองขึ้นมาได้ รีบพูดว่า "คืออย่างนี้ครับ
"หม่ามี๊บอกว่า ต้องกินข้าวให้ตรงเวลาถึงจะดูแลสุขภาพให้ดีได้ ดังนั้นทุกคนต้องกินข้าวให้ตรงเวลาน้า~ " นี่คือ......เสียงของเด็กคนนั้นที่ชื่อเหมิงเหมิง ไม่คิดว่าเขาจะนึกถึงเสียงของเด็กคนนี้ในเวลาแบบนี้ มันเป็นการบอกใบ้อะไรเขาหรือเปล่า? แม้จะกินยาโรคกระเพาะไปแล้ว แต่ก็ยังคงปวดอยู่ ฉินเย่เม้มริมฝีปาก เรียกหลี่มู่ถิงก่อนที่เขาจะเดินออกไปจากห้องนอน "เดี๋ยวก่อน" หลี่มู่ถิงหยุดเดิน หันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าหมดหวัง"ครับ ประธานฉิน?""เมื่อกี้คุณพูดถึงข้าวต้มใช่ไหม?" หลี่มู่ถิงที่เดิมทีตามืดมนไร้ความหวังกลับมีประกายขึ้นมาทันที เขาพยักหน้าอย่างรวดเร็ว "ใช่ครับประธานฉิน ร้านอาหารจีนข้างล่างต้มข้าวต้มให้เป็นพิเศษเลยครับ"ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่ง "เอาเข้ามา""ได้ครับ ผมจะรีบไปเอา" ตอนที่หลี่มู่ถิงออกจากห้อง จางเถากำลังรออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวาย"ผู้ช่วยหลี่ เป็นไงบ้างคะ? คุณฉินยอมทานอะไรบ้างรึยัง?""เขายอมแล้ว เอาข้าวต้มมาให้ผมเร็ว""โอเคค่ะ" จางเถายื่นชามข้าวต้มเล็กๆ ให้หลี่มู่ถิงหลังจากได้รับข้าวต้มแล้ว หลี่มู่ถิงก็รีบวิ่งไปที่ห้องนอนทันที กลัวว่าถ้าช้าไปนิดเดียวฉินเย่จะเ
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ