อาจเป็นเพราะไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้พนักงานจึงมองที่เสิ่นหยินอู้สลับมองฉินเย่ จากนั้นถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วคุณผู้ชายล่ะคะ?”ตอนที่ถาม เธอเห็นว่าในตาของผู้ชายแอบคาดหวังเล็กน้อยแต่ว่าครั้งนี้ชายหนุ่มกลับไม่ขยับเปลือกตา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“ตามที่เธอว่าเลยครับ”จบกัน ดูท่าแล้วจะห้ามไม่อยู่แล้วเธอไม่พูดพล่ำอีก เพียงแค่ทำเอกสารหย่าร้างให้ทั้งสองเงียบๆปึงปัง!หลังจากประทับตรา หนังสือหย่าร้างสองเล่มก็ถูกยื่นมาตรงหน้าพวกเขาเสิ่นหยินอู้และฉินเย่ยืนอยู่ตรงนั้น ต่างก็มองหนังสือหย่าร้างนิ่งๆ อยู่พักหนึ่ง จากนั้นต่างคนต่างหยิบของตนจากนั้น ก็ออกจากสำนักกิจการพลเรือนไปทันทีที่ออกจากสำนักกิจการพลเรือน เสิ่นหยินอู้ก็สัมผัสได้ถึงสายลมเย็นที่พัดมา ทำให้ผมเพ้าของเธอปลิวไหวกระทบใบหน้าราวกับคมมีดเธอถือหนังสือหย่าร้างไว้ในมือ จากนั้นยื่นมืออีกข้างหนึ่งให้กับฉินเย่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง“ขอบคุณสำหรับการดูแลตลอดเวลาที่ผ่านมานะ”“เธอเป็นอิสระแล้ว”ฉินเย่ไม่ได้จับมือกับเธอ และไม่แม้แต่จะมองเธอด้วยซ้ำ เพียงแค่ทิ้งคำพูดไว้แล้วเดินจากไปทิ้งเสิ่นหยินอู้ไว้ที่เดิมต
หลังจากนั้นไม่กี่วินาที เสื้อคลุมตัวใหญ่ตัวหนึ่งก็คลุมบนร่างเธอ แล้วตามด้วยเสียงทอดถอนใจเล็กน้อย“ร้องไห้ขนาดนี้ ชอบเขาขนาดนั้นเลยเหรอ?”นี่มัน…เสียงของโม่ไป๋เสิ่นหยินอู้เงยหน้ามองอีกฝ่ายด้วยน้ำตา แล้วเอ่ยสะอึกสะอื้นว่า “ฉันคิดว่า เป็นคนแปลกหน้าซะอีก”ได้ยินแบบนั้น โม่ไป๋ก็หัวเราะเบาๆ “คนแปลกหน้าไม่ใจดีขนาดคลุมเสื้อผ้าให้เธอหรอก”กล่าวจบ โม่ไป๋ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋า แล้วเช็ดน้ำตาให้กับเธออย่างอ่อนโยนหลังจากที่เช็ดน้ำตาแล้ว ทุกอย่างตรงหน้าก็ชัดเจนขึ้น เสิ่นหยินอู้มองเห็นใบหน้าของโม่ไป๋ได้อย่างชัดเจน ในตาของเขาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง บริเวณมุมปากและใต้คางมีแผลช้ำอยู่เล็กน้อย เป็นร่องรอยจากการถูกฉินเย่ต่อยไม่นานมาก เบื้องตาของเธอก็พร่ามัวอีกครั้งน้ำตาที่เพิ่งเช็ดไปพลันไหลออกมาอีกครั้งตอนอยู่คนเดียวยังไม่เป็นไร แต่ตอนนี้มีโม่ไป๋อยู่ข้างหน้าเธอ ทำให้เสิ่นหยินอู้มักรู้สึกผิดเธอพลางร้องไห้พลางพูดกับโม่ไป๋ว่า “ขอโทษนะ เหมือนว่าฉัน…จะควบคุมตัวเองไม่ได้”แววตาของโม่ไป๋แปลกไป จากนั้นเช็ดน้ำตาให้เธออย่างอ่อนโยนต่อน่าเสียดายที่น้ำตาของเธอแห้งแล้วก็กลับมาไหลต่อ ไม่นานผ้าเ
รถจอดริมถนนหน้าสำนักงานกิจการพลเรือน โม่ไป๋มองเธอเงียบๆ อยู่นาน ตอนที่กำลังจะขับรถออกไป โทรศัพท์มือถือในอ้อมอกของเสิ่นหยินอู้ก็ดังขึ้นแต่เสิ่นหยินอู้ที่หลับลึกไม่ได้ยินเสียงเลยโม่ไป๋ไม่มีทางเลือกนอกจากหยิบโทรศัพท์ไปรับสาย“หยินอู้ ฉันมาถึงประตูสำนักงานกิจการพลเรือนแล้ว แต่ฉันไม่เห็นเธอเลย เธออยู่ไหนน่ะ?”เสียงของหญิงสาวที่ใสกังวานดังมาจากปลายสายโทรศัพท์หลังจากได้ยินดังนั้น โม่ไป๋ก็มองไปที่ประตูสำนักงานกิจการพลเรือนแล้วก็เห็นหญิงสาวสวมแจ็กเก็ตดาวน์สีดำสะพายเป้ใบเล็กยืนอยู่หน้าประตูสำนักงานกิจการพลเรือนมองหาเสิ่นหยินอู้ไปรอบๆ โม่ไป๋จำเธอได้เธอคือโจวชวงชวง เพื่อนรักของเสิ่นหยินอู้เมื่อจำอีกฝ่ายได้แล้ว โม่ไป๋ ก็ลดเสียงลงแล้วพูดว่า "สวัสดี ผมโม่ไป๋"หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าประตูสำนักงานกิจการพลเรือนมองไปรอบๆ เมื่อได้ยินคำพูดของเขา เธอก็หยุดการเคลื่อนไหวทั้งหมดทันทีและถามด้วยความระมัดระวัง: “โม่ไป๋? ใครน่ะ? หยินอู้ล่ะ?”โม่ไป๋ไม่พูดจนครึ่งค่อนวัน แม้แต่ตนก็ลืมแล้ว?“เธอจำฉันไม่ได้แล้วเหรอ คนที่อยู่กับหยินอู้บ่อยๆ ตอนเด็กไงล่ะ”หลังจากได้ยินเรื่องนี้ โจวชวงชวงถึงจะตั้งใจนึก
แต่ว่า เมื่อกี้ตอนคุยโทรศัพท์ เสิ่นหยินอู้ร้องไห้จนหายใจไม่ออก ทำให้โจวซวงซวงตัดสินใจไม่ง่ายเลยกว่าเธอจะหลับไป ถ้าหากตนปลุกเธอขึ้นมาตอนนี้ เธอจะร้องไห้อีกไหม?หลังจากคิดแบบนี้ โจวชวงชวงก็ตกอยู่ในความสับสนเวลานี้เอง เธอก็ได้ยินโม่ไป๋พูดว่า "ขึ้นรถเถอะ"หลังจากได้ยินดังนั้น โจวชวงชวงก็หยุดชะงักแล้วหันไปมองเขาโม่ไป๋ยิ้มเล็กน้อย “พวกเธอจะไปไหน ฉันจะไปส่งเอง รวดให้เธอได้นอนสักพัก”เมื่อได้ยินดังนี้ ยังจะมีอะไรโจวชวงชวงไม่เข้าใจอีกล่ะ?"ขอบคุณนะ"เธอรีบวางโทรศัพท์แล้วขึ้นไปนั่งในรถเสิ่นหยินอู้นอนอยู่บนที่นั่งข้างคนขับ ดังนั้น โจวชวงชวงจึงทำได้แต่เฝ้าดูเธอจากเบาะหลังเท่านั้นหลังจากโม่ไป๋ขึ้นรถแล้วรถก็ออกตัวไปอย่างรวดเร็วจากหน้าสำนักงานกิจการพลเรือนหลังจากขับรถไปได้สักพักก็มั่นใจว่าเสิ่นหยินอู้คงไม่ตื่นเร็วขนาดนี้ โม่ไป๋จึงถามเบาๆ “พวกเธอจะไปไหนเหรอ?”โจวชวงชวงที่นั่งอยู่บนเบาะหลังพูดทันที: "พาเธอไปที่บ้านของฉันแล้วกัน"ในเวลานี้ ทางเลือกเดียวคือไปที่บ้านของเธออย่างไรเสีย เธอก็เพิ่งหย่ากับฉินเย่ คงไม่ควรส่งเธอกลับบ้านไปใช่ไหมล่ะ?ไม่นาน โจวชวงชวงก็บอกที่อยู่หนึ่งให้โม่ไป๋
ในยามค่ำคืนที่มืดสลัว เสิ่นหยินอู้ค่อยๆ ตื่นขึ้นมา เธอหลับไปนานมาก เมื่อตื่นขึ้นมาและมองไปรอบๆ ในความมืด รู้สึกคุ้นเคยกับบรรยากาศรอบๆ เธอมองอยู่นาน เมื่อรู้ว่าที่นี่คือที่ไหนเธอก็รู้สึกอบอุ่นขึ้น บ้านของโจวชวงชวงขณะที่กำลังคิดอยู่ เสียงจากข้างนอกก็ดังขึ้น โจวชวงชวงเปิดประตูห้องเข้ามา เห็นในห้องยังเงียบอยู่ จึงพึมพำกับตัวเองว่า "นอนนานอะไรขนาดนั้น ทำไมยังไม่ตื่นอีก? ไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ยนะ?" ทันทีที่พูดจบ โจวชวงชวงก็ได้ยินเสียงเสิ่นหยินอู้เรียก"ชวงชวง" เมื่อได้ยิน โจวชวงชวงก็ยิ้มด้วยความดีใจและรีบวิ่งมาหาเธอ"คุณพระ เธอตื่นสักทีนะ" ระหว่างพูด โจวชวงชวงก็เปิดโคมไฟที่หัวเตียงไปด้วย ก่อนหน้านี้มีแต่แสงจากข้างนอกที่ส่องเข้ามาทำให้เห็นภายในห้อง พอเปิดโคมไฟ แสงที่สว่างขึ้นทำให้เสิ่นหยินอู้ต้องหรี่ตาเพราะรู้สึกปรับตัวไม่ได้ หลังจากปรับตัวอยู่สักพัก เธอถึงได้สติขึ้นมา "อื้ม""งั้นก็ดีแล้ว หิวมั้ย? ฉันทำบะหมี่ไว้" ไม่พูดก็ยังไม่รู้สึก แต่พอพูดขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังท้องว่าง แม้ว่าเธอจะไม่ค่อยอยากกินอะไร แต่เจ้าตัวน้อยในท้องของเธอคงหิวแล้วเธอจึงพยั
"ฉันรู้น่า" เสิ่นหยินอู้พยักหน้า "ฉันอ่านคำอธิบายแล้ว ถ้าเจ็บมากและเจ็บนานถึงต้องไปโรงพยาบาล แต่ฉันก็ไม่เป็นไรแล้วนี่?""จะไม่เป็นไรได้ยังไง? เจ็บเพราะว่ามีอะไรแน่ๆ ไม่งั้นจะเจ็บได้ยังไง? ช่วงนี้เธอต้องพักผ่อนไม่พอหรือมีเรื่องให้คิดมากเกินไปแน่ๆ ไม่ได้ละ ฉันต้องพาเธอไปตรวจอย่างละเอียดที่โรงพยาบาลถึงจะสบายใจ" "โอเคๆ" เพื่อเผชิญกับความจู้จี้ของเธอเสิ่นหยินอู้ทำได้แค่ตอบรับ ครั้งที่แล้วเธอไม่ได้ขอให้ฉินเย่ไปตรวจ แบบนั้นไม่ดีเลยไม่รู้ว่าเขายังเจ็บอีกหรือเปล่า...... เมื่อคิดถึงตรงนี้ สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็ดูไม่ค่อยดี เธอกัดริมฝีปากล่างทั้งๆ ที่หย่ากันไปแล้ว ต่อไปก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน เธอยังจะคิดถึงเขาอยู่ทำไม? ดูเขาที่หน้าสำนักงานทะเบียนสมรสวันนี้ แม้แต่จับมือกับเธอยังไม่ยอม เขาแทบจะไม่มองเธอด้วยซ้ำเธอจะยังคิดถึงเขาอีกทำไม? ได้เวลาตื่นได้แล้วเสิ่นหยินอู้ เธอกับเขาไม่มีทางเป็นไปได้ตั้งแต่แรก "หยินอู้ เธอกำลังคิดอะไรอยู่?" โจวชวงชวงเห็นเธอสายตาล่องลอย จึงถามด้วยความสงสัยเมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ได้สติกลับมา ยิ้มบางๆแต่แฝงด้วยความขมขื่น"คิดถึงบ
"คู่รัก?" โจวชวงชวงสมองเบลอไปครู่หนึ่ง แล้วถามออกมาโดยไม่คิด "ใครเหรอ?"เสิ่นหยินอู้นิ่งเงียบไปซักพัก แล้วพูดว่า "ฉินเย่กับเจียงฉูฉู่""......"หลังจากความเงียบ โจวชวงชวงพูดว่า "จริงๆ นะ ตอนนี้ฉันอยากจะบีบคอตัวเองตายเลย"เสิ่นหยินอู้ยิ้ม รู้ว่าเธอพูดแบบนี้เพราะอะไร แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาพูดว่า "ไม่เป็นไร ฉันไม่เป็นไร เขาพูดถูกแล้วล่ะ พวกเขาเป็นคนรักกันจริงๆนี่""คนรักบ้าบอ" โจวชวงชวงกัดฟันพูด "ถ้าไม่ใช่เพราะเจียงฉูฉู่ช่วยเขาไว้ ฉินเย่ก็คงไม่เห็นเธออยู่ในสายตาหรอก? ก็แค่ใช้ความได้เปรียบในฐานะคนที่เคยมีบุญคุณแค่นั้น"เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็ดูเศร้าลง ก้มตามองต่ำแล้วพูดว่า "พอแล้ว อย่าไปพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย แค่นี้แหละ""ฉันผิดเอง" โจวชวงชวงแลบลิ้น "งั้นเธอพักผ่อนก่อน ฉันจะไปอุ่นบะหมี่ให้ พักสักหน่อยแล้วค่อยลุกมากิน""โอเค" หลังจากโจวชวงชวงออกไปแล้ว ห้องก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง เสิ่นหยินอู้ยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่หางตาเบาๆนี่จะเป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปเธอจะไม่เสียน้ำตาให้ฉินเย่อีกแม้แต่หยดเดียว คืนนั้น เสิ่นหยินอู้ไม่ได้กลับบ้าน คุณแม่ฉินรอแล้วรออีกจนรู้สึกแปลกใจ จึงไปถามฉินเย่
ตอนที่เดินออกไป คุณแม่ฉินก็รู้สึกว่าขมับของตัวเองเต้นตุบๆ เพราะความโกรธ แต่ทันใดนั้น เธอก็หยุดฝีเท้าเหมือนนึกอะไรได้ ฉินเย่เป็นลูกชายของเธอ เธอในฐานะคนเป็นแม่รู้ดีที่สุดว่าลูกชายของเธอเป็นคนยังไง ตั้งแต่เล็กจนโต เธอไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อนเลยถึงขั้นไม่สนใจมารยาทขนาดนี้ สีหน้าของคุณแม่ฉินเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมทันที หรือว่า...... เกิดอะไรขึ้นจริงๆ?-หลังจากที่คุณแม่ฉินออกไปแล้ว ห้องหนังสือก็เงียบลง ฉินเย่ยืนอยู่ที่เดิมซักพักแล้วกลับไปที่ตำแหน่งเดิม แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่เงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แต่ในหัวของเขาก็ยังคงวนเวียนอยู่กับคำพูดของคุณแม่ฉินก่อนที่เธอจะออกไป"ถ้าเธอเป็นอะไรไป ลูกก็อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน" เหมือนมีเสียงบางอย่างในใจบอกเขาว่า ถ้าเธอเป็นอะไรไป เขาจะต้องเสียใจแน่ๆ และบอกให้เขาลุกขึ้นไปหาเธอตอนนี้เลย แต่เมื่อคิดอีกที ฉินเย่ก็คิดว่ามันตลกสิ้นดีเป็นอะไรไปงั้นหรอ? เธอไม่ได้อยากอยู่กับโม่ไป๋เหรอ? เขาเก็บซ่อนเธอไว้นานขนาดนี้ เมื่อไม่นานมานี้เธอเร่งให้เขาหย่าตลอด ก็เพื่อที่จะได้อยู่กับโม่ไป๋หลังจากหย่าแล้วไม่ใช่หรอ? ตอนนี้เธอเป็นอิสระแล้ว คงได