คางของเธอถูกฉินเย่จับไว้ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า "คุณสนใจผมเหรอ" "ตลกดีนะ" เสิ่นหยินอู้ยักไหล่ "ใครสนใจคุณกัน? คุณอยากทำยังไงก็ทำตามที่คุณต้องการเถอะ" ฉินเย่ยื่นมือไปที่เธอแล้วพูดด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก "ได้ งั้นก็เอาประวัติการโทรออกมาโชว์สิ" เสิ่นหยินอู้ "ฉินเย่ คุณเป็นบ้าหรอ?" “คุณไม่ได้บอกว่าผมอยากทำยังไงก็ทำตามที่ผมต้องการงั้นเหรอ?” “ฉันบอกว่าคุณคิดจะทำอะไรก็ทำ ไม่ใช่คุณจะทำอะไรกับฉันก็ทำกับฉันได้ คุณช่วยทำความเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดหน่อยได้ไหม?” “ทำไมหละ? คุณไม่ได้โทรคุยกับเธอเหรอ? แม้แต่ประวัติการโทรก็เอาให้ดูไม่ได้งั้นเหรอ? หรือจะบอกว่าคุณคุยกับคนอื่นหละ?” “……” ฉินเย่อ "ใช่พี่หนิงชวนของคุณคนนั้นรึเปล่า?" “……” เสิ่นหยินอู้เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องการทดสอบเธอ และทำไมเขาถึงต้องพูดจาเหน็บแนมเธอเช่นนี้ ที่แท้เขาก็ได้ยินแค่เสียงเธอพูดเท่านั้น แต่เขาไม่ได้ยินเนื้อหาที่ชัดเจนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อเขาเห็นท่าทางตื่นตระหนกของเธอ เขาจึงเข้าใจผิดว่าเธอกำลังคุยกับเจียงหนิงชวน ไม่ใช่หลินโยวโยว เจียงหนิงชวน... นี่เป็นครั้งที่สามที่ฉินเย่เป็นบ้าไปเพราะเขา และเ
เสิ่นหยินอู้เปิดปากเล็กๆของเธอและพ่นคำพูดออกมาอย่างต่อเนื่อง ทุกประโยคที่ออกมาจากปากของเธอ ฉินเย่พบว่าเขาไม่สามารถปฏิเสธมันได้เลย เขาเคยเห็นฝีปากเช่นนั้นของเสิ่นหยินอู้มาก่อน ครั้งแรกคือที่เขาพาเธอไปเจรจาต่อรองในที่ทำงาน เนื่องจากเธอไม่เคยสัมผัสกับงานระดับนี้มาก่อน อีกทั้งในตอนนั้นเธอก็ยังอายุน้อยอยู่ มันจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เธอจะมีอาการตื่นเวทีบ้าง แต่เมื่อจำนวนครั้งที่เธอสัมผัสกับมันเพิ่มขึ้น เธอก็มีประสบการณ์ที่จะรับมือกับมันมากขึ้นเรื่อยๆ แค่เธอเปิดปาก เธอก็สามารถควบคุมทุกคนไว้ได้ ตรรกะและความคิดของเธอล้วนชัดเจนมากเพียงพอ สิ่งที่เธอพูดทุกครั้งนั้นเพียงพอที่จะโค่นล้มอีกฝ่ายได้ เช่นเดียวกับตอนนี้ เธอกำลังใช้วีธีนี้ในการปฏิบัติต่อเขา และฉินเย่กลับพบว่าตัวเขาพูดอะไรไม่ได้เลยจริงๆ มันเป็นเรื่องจริงที่ฉูฉู่มาที่บ้านเขา แล้วยังสวมเสื้อผ้าของเธออีก เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร เสิ่นหยินอู้แสยะยิ้มออกมาที่มุมปากและเย้ยหยัน "ทำไมคุณถึงไม่พูดหละ? ฉินเย่ คุณลองคิดดูนะ ฉันพาผู้ชายคนอื่นมาที่บ้าน แล้วก็ให้ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าของคุณ” ฉินเย่ "....." เพียงแค่ได้ยินสิ่งที่เสิ่นห
ลุงเยี่ยน "....." “เอ่อ คือฉันก็แค่เดาไปเรื่อยน่ะ ซุปปลาอันนั้นที่ลุงเยี่ยนต้มตอนเช้าอร่อยมาก ตอนฉันยกออกมาก็ไม่ได้กลิ่นคาวเลยสักนิด แต่คุณผู้หญิงแค่ได้กลิ่นนิดเดียวก็อาเจียนออกมารุนแรงขนาดนั้น พี่สะใภ้ของฉันก็เป็นแบบนี้ตอนที่เธอท้อง ได้กลิ่นคาวนิดเดียวคือไม่ได้เลย เธออ่อนไหวกว่าเรามาก ไม่ใช่แค่นี้นะ รสชาติของอาหารที่ชอบก็เปลี่ยนไปมากเช่นกัน" ยิ่งลุงเยี่ยนฟังมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกตกใจมากขึ้นเท่านั้น เพราะเขารู้สึกว่าสิ่งที่บุคคลคนนี้พูดนั้นค่อนข้างสมเหตุสมผล หากคุณผู้หญิงท้องจริงๆ เขาคงต้องปรับปรุงสูตรอาหารให้ดีขึ้น! ลุงเยี่ยนเก็บประเด็นสำคัญนี้ไปคิดอย่างรวดเร็ว - เสิ่นหยินอู้กินไดฟูกุไปสองชิ้นและพัฟไอศกรีมไปอีกหลายชิ้น และตบท้องของเธอเบาๆด้วยความพึงพอใจ ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกว่าขนมเหล่านี้อร่อยมากขนาดนี้นะ? ดูเหมือนว่าเจ้าตัวเล็กในท้องของเธอคงจะเป็นแมวตัวน้อยจอมตะกละสินะ “เจ้าเด็กจอมตะกละ” เสิ่นหยินอู้สะกิดท้องของเธอเบาๆ แล้วพูดเสียงเบาๆด้วยความรัก ลูกของเธออายุยังไม่ถึงหนึ่งเดือน ท้องของเธอจึงยังแบนอยู่ ซึ่งดูไม่ออกเลยสักนิด และโดยธรรมชาติแล้วก็ย่อมไม่สามารถตอ
สิ่งที่ลุงเยี่ยนพูดเมื่อครู่นี้มีความหมายกว้างพอสมควร เสิ่นหยินอู้ได้หยินเช่นนั้นก็รู้สึกผิดอย่างบอกไม่ถูก หรือว่าลุงเยี่ยนอาจจะพบเบาะแสอะไรบางอย่างในอาหารของเธอ? เมื่อลุงเยี่ยนเห็นสีหน้าที่ตกตะลึงของเสิ่นหยินอู้และถูมือของเธอด้วยท่าทางที่ทำอะไรไม่ถูก เขาก็ยิ้มอย่างจริงใจมาก “จู่ๆรสชาติอาหารที่คุณผู้หญิงชอบก็เปลี่ยนไป ผมก็เลยปรับเปลี่ยนรสชาติตามที่คุณผู้หญิงน่าจะชอบน่ะครับ ทำไมเหรอครับคุณหญิง มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?” รสชาติอาหารที่ชอบเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก.... หากคนอื่นได้ยินคำพูดแบบนี้เข้า มันก็คงจะดูน่าสงสัย เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากแล้วมองไปที่ลุงเยี่ยนด้วยสีหน้าที่จริงจังและกระซิบว่า "ลุงเยี่ยนคะ รสชาติอาหารที่ฉันชอบเปลี่ยนไปมากตรงไหนคะ? ฉันแค่กินของหวานในตอนเช้าเพิ่มมานิดหน่อยเองนะคะ" ลุงเยี่ยนสับสนกับสิ่งที่เธอพูด เขาจับที่ท้ายทอยของตัวเองและรู้สึกว่าเธอพูดถูก เธอแค่กินของหวานเพิ่มไม่กี่อย่างเท่านั้นเอง แล้วทำไมเขาจึงรู้สึกว่ารสชาติอาหารที่คุณผู้หญิงชอบนั้นเปลี่ยนไปมากกันนะ? เมื่อคิดเช่นนั้น ลุงเยี่ยนก็รู้สึกเสียหน้าขึ้นมาเล็กน้อยในทันที “ขอโทษครับคุณผู้หญิง บาง
เมื่อวานไม่ได้บอกว่าความสัมพันธ์ของเขากับฉูฉู่ไม่ชัดเจนหรอกเหรอ? ทำไมเธอถึงโทรเรียกฉูฉู่มาหละ? ในไม่ช้า ความคิดหนึ่งก็แวบขึ้นมาในใจของฉินเย่ นั่นคือเสิ่นหยินอู้อาจจะปากแข็งและต้องการทำให้เขาโกรธ เนื่องจากเมื่อวานพวกเขาทั้งสองมีปากเสียงกันด้วยปัญหานี้ เธอจึงต้องการใช้ปัญหานี้มาแก้แค้นเขาในวันนี้ เมื่อคิดเช่นนั้น ฉินเย่ก็เอ่ยออกมาย่างใจเย็น "เรียกเธอมาที่นี่ทำไม?"เสิ่นหยินอู้ไม่คาดคิดว่าฉินเย่จะพูดเช่นนั้นเพื่อหยุดเธอ เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องนี้ก็เป็นประโยชน์ต่อเขา หลังจากหย่ากับเธอในอนาคต เขาจะไปคบกับเจียงฉูฉู่อย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น เจียงฉูฉู่กับคุณย่าจะค่อยๆสนิทกัน และเขาจะได้มีอะไรให้ตำหนิน้อยลง “เธอเข้ากันกับคุณย่าได้เป็นอย่างดี เธอเอาใจคุณย่าเก่งมากและทำให้เธอมีความสุข มันน่าจะดีที่จะโทรเรียกเธอมา” ฉินเย่เม้มริมฝีปากบางของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “แค่คุณชวนมาเธอก็จะมาเหรอ? เธอไม่ต้องไปทำงานรึไง?” เมื่อคุณนายฉินตื่นขึ้นมาเมื่อเช้านี้ เธอสังเกตเห็นว่าบรรยากาศระหว่างพวกเขาคนสองคนดูเหมือนจะไม่ปกติ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องปกติที่คู่รักห
เมื่อรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนอยู่ ภายในหัวของเสิ่นหยินอู้ก็มีเพียงความคิดเดียวที่เหลืออยู่ เขาไม่ได้บอกว่าจะนับหนึ่งสองสามเหรอ? แล้วสามหละ? ฉินเย่เป็นคนสูงและขายาว ดังนั้นทั้งสองจึงกลับไปถึงที่ห้องอย่างรวดเร็ว เดิมทีเสิ่นหยินอู้คิดว่าหลังจากกลับไปถึงที่ห้องเขาจะวางเธอลง แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่เขาเข้าไปในห้อง เขาก็ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าถูกคนปิดจุดฝังเข็มของเขา "วางฉันลงนะ" เขาทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน จากนั้นก็ก้มศีรษะลงแล้วใช้ดวงตาสีดำเข้มคู่นั้นมองเธออย่างเงียบๆ “เรื่องของฉูฉู่ ผมจะคุยให้รู้เรื่อง” เสิ่นหยินอู้ "?" หมายความว่าอะไร? คุยอะไรให้รู้เรื่อง? “คุณไม่ได้บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอไม่ชัดเจนหรอกเหรอ? นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าคุณอีก ผมจะไม่ให้เธอไปที่บริษัท แล้วก็จะไม่ให้เธอมาที่บ้านและไม่ให้เธอสวมเสื้อผ้าของคุณด้วย” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นรัว เขาพูดแบบนี้ หมายความว่าอะไรกัน? จะไม่ยอมให้เจียงฉูฉู่ไปที่บริษัท แล้วก็จะไม่ให้เธอมาที่บ้าน ทำไมจู่ๆเขาถึงทำเช่นนี้? "ทำไมหละ?" เสิ่นหยินอู้ไม่
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ดี เมื่อครู่นี้เขาลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ อาจเป็นเพราะศักดิ์ศรีของผู้ชายที่ทำให้เขาเสียสติไป สิ่งที่น่าขันก็คือ เธอยังมีความหวังสำหรับเขาอยู่ มันช่างน่าขันสิ้นดี มันคงจะเป็นวันนั้นที่เจียงฉูฉู่กลับมา ตอนนั้นที่เขาจูบเธออย่างเร่าร้อนและเมื่อเธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขากลับถอนตัวออกไป และตอนนั้นที่เขานอนข้างเธอแต่กลับพูดถึงเรื่องการหย่าร้าง ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ผลักเขาออกไป เท้าของเธอแตะลงบนพื้น และเธอก็กลับไปที่ห้องของเธอเพื่อพักผ่อน ฉินเย่ไม่ได้ตามเธอไปอีก สิ่งที่แปลกก็คือ ในวันนั้นเจียงฉูฉู่ไม่ได้โทรหาเธอหรือส่งข้อความหาเธอเลย เธอเงียบหายไปตลอดทั้งวัน หากเธอไม่มาหาหยินอู้ หยินอู้ก็ย่อมไม่ไปหาเธอวันถัดมา เนื่องจากคุณนายฉินเอาแต่บอกว่าไม่จำเป็นต้องดูแลเธอ เธอแสร้งทำเป็นโกรธเพราะกลัวว่าจะทำให้งานของหยินอู้และฉินเย่ล่าช้า เสิ่นหยินอู้เอาชนะความดื้อรั้นของเธอไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงกลับไปที่บริษัท แต่ความจริงก็คือ หลายวันมานี้เธอกับฉินเย่ส่วนใหญ่อยู่บ้านเพื่อจัดการกับงาน ดังนั้นความคืบหน้าขอ
ขณะที่คิด เสียงของเถ้าแก่ก็ทำลายความคิดของเธอลง “แม่หนู โจ๊กแปดทรัพย์กับซาลาเปาไส้ครีมได้แล้ว” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เรียกสติกลับคืนมาและเห็นว่าเถ้าแก่เอาของที่เธอสั่งใส่ถุงเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเอื้อมมือไปรับมันมา “ขอบคุณค่ะ หนูจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วนะคะ” “โอเคครับ ค่อยๆเดินนะครับ โอกาสหน้ามาใหม่นะครับ” เสิ่นหยินอู้ถือถุงขึ้นมาแล้วหันหลังเพื่อเดินออกไป ในระหว่างทาง เธอยังคงรู้สึกเหมือนมีคนกำลังเฝ้ามองเธออยู่ จนกระทั่งเธอเข้าไปในบริษัท สายตาคู่นั้นก็หายไป เมื่อครู่นี้มีใครอยู่ในรถสีดำคันนั้นหรือไม่? ที่จริงแล้วตอนที่เธอเดินกลับมา เธอก็มีความคิดที่จะเดินเข้าไปดูผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคนอยู่ แค่เดินเข้าไปดูก็คงจะรู้แล้วสินะ? แต่เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ เธอจึงไม่ได้เดินเข้าไปดู ยิ่งไปกว่านั้น รถที่จอดอยู่ในลานจอดรถจอดอยู่ที่นั่นในตอนกลางวันแสกๆ มันจึงไม่ควรมีใครอยู่ในรถ เสิ่นหยินอู้ขยี้ตของตัวเอง เธอคิดว่าบางทีเธออาจจะคิดมากไป ติ๊ง-- ลิฟต์มาพอดี เสิ่นหยินอู้เดินเข้าไปในลิฟต์ ตอนที่เธอยุ่งในช่วงบ่าย เธอก็ลืมเหตุก
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน