ขณะที่คิด เสียงของเถ้าแก่ก็ทำลายความคิดของเธอลง “แม่หนู โจ๊กแปดทรัพย์กับซาลาเปาไส้ครีมได้แล้ว” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เรียกสติกลับคืนมาและเห็นว่าเถ้าแก่เอาของที่เธอสั่งใส่ถุงเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเอื้อมมือไปรับมันมา “ขอบคุณค่ะ หนูจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วนะคะ” “โอเคครับ ค่อยๆเดินนะครับ โอกาสหน้ามาใหม่นะครับ” เสิ่นหยินอู้ถือถุงขึ้นมาแล้วหันหลังเพื่อเดินออกไป ในระหว่างทาง เธอยังคงรู้สึกเหมือนมีคนกำลังเฝ้ามองเธออยู่ จนกระทั่งเธอเข้าไปในบริษัท สายตาคู่นั้นก็หายไป เมื่อครู่นี้มีใครอยู่ในรถสีดำคันนั้นหรือไม่? ที่จริงแล้วตอนที่เธอเดินกลับมา เธอก็มีความคิดที่จะเดินเข้าไปดูผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคนอยู่ แค่เดินเข้าไปดูก็คงจะรู้แล้วสินะ? แต่เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ เธอจึงไม่ได้เดินเข้าไปดู ยิ่งไปกว่านั้น รถที่จอดอยู่ในลานจอดรถจอดอยู่ที่นั่นในตอนกลางวันแสกๆ มันจึงไม่ควรมีใครอยู่ในรถ เสิ่นหยินอู้ขยี้ตของตัวเอง เธอคิดว่าบางทีเธออาจจะคิดมากไป ติ๊ง-- ลิฟต์มาพอดี เสิ่นหยินอู้เดินเข้าไปในลิฟต์ ตอนที่เธอยุ่งในช่วงบ่าย เธอก็ลืมเหตุก
“อืมอืม!” หลินโยวโยวได้ความมั่นใจของเธอกลับคืนมาด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคของหยินอู้ เมื่อเสิ่นหยินอู้หันกลับไป หลินโยวโยวก็แอบมองเธอจากด้านข้าง พี่หยินอู้... ช่างเป็นคนดีมากและเก่งมากจริงๆ เมื่อไรตัวเธอจะเป็นเหมือนพี่หยินอู้ได้กันนะ? สถานที่นัดหมายคือร้านเหล้าแห่งหนึ่ง เมื่อลงจากรถ เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่สถานบันเทิงตรงหน้าและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ใครเป็นคนเลือกที่นี่?” การแสดงออกของหลินโยวโยวดูอ้ำๆอึ้งๆ "ก็ ก็ฉินกรุ๊ปไง" เมื่อได้ยิน คิ้วของเสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น "มีคนมากมายหลายหน้าในร้านเหล้า มันไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยเรื่องต่างๆ เธอไม่ได้เป็นคนเลือกสถานที่กับพวกเขาเหรอ?" เมื่อเสิ่นหยินอู้พูดเช่นนี้ หลินโยวโยวก็ตกตะลึง “ฉัน ฉันไม่รู้ ฉันคิดว่าพวกเขาบอกว่าเอาที่ไหนก็ต้องเอาที่นั่น” และก่อนที่จะมาที่นี่ หลินโยวโยวก็ไม่ทราบว่าที่นี่คือร้านเหล้า ดูๆไปแล้ว มันดูไม่ค่อยได้มาตรฐานเสียเลย “ต่อจากนี้ เวลามีคนนัด เธอต้องเช็คก่อนเสมอว่าเป็นสถานที่แบบไหนและเหมาะที่จะคุยงานหรือไม่ ถ้าไม่เหมาะ ก็เปลี่ยนสถานที่เองเลย” หลินโยวโยวทำได้เพียงพยักหน้าแห้งๆ "เข้าใจแล้
และในช่วงที่เงียบสงัดนี้ ชายคนหนึ่งซึ่งดูนิสัยแย่ที่อยู่ในห้องก็พูดขึ้น “เลขาคนสวย ทำไมถึงอยากเปลี่ยนที่หละ? พวกเรากับคุณชายเฉินเป็นเพื่อนกัน มีอะไรที่เรารู้ไม่ได้เหรอครับ? สบายใจได้ ต่อให้เราจะรู้ไม่ได้จริงๆ เราก็จะทำเป็นปิดหูปิดตา” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้ว เธอมองชายคนที่พูดจาสามหาวด้วยสายตาที่แหลมคมขึ้นกว่าเดิม หลังจากอยู่กับฉินเย่มาเนิ่นนาน ออร่าที่ออกมาจากร่างกายของเสิ่นหยินอู้ก็คล้ายกับของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อครู่นี้ที่เธอกวาดสายตาไปมองเขา ชายคนที่พูดก็ตกใจจนเงียบไปทันที จากนั้นก็หดคอของเขาลง เมื่อเสิ่นหยินอู้ลากสายตามองไปทางอื่น เมื่อชายคนนั้นรู้ตัวอีกทีเขาก็ตอบสนอง ให้ตายเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับเขาเมื่อครู่นี้? นี่เขากลัวหญิงสาวตัวเล็กๆคนหนึ่งจริงๆเหรอ? ชิ เขาปะทะกับปีศาจเข้าให้แล้วสินะ? “เลขาเสิ่น มันไม่สะดวกที่จะเปลี่ยนสถานที่ครับ ถ้าคุณทนดมกลิ่นพวกนี้ไม่ได้ งั้นก็เปิดประตูห้องทิ้งไว้เพื่อให้กลิ่นกระจายออกไปดูไหมครับ?” เฉินเฉินยิ้มในขณะที่เขาพูด ซึ่งดูเหมือนกับคนหน้าเนื้อใจเสือ เพื่อนคนที่อยู่ข้างๆเขาดูจะรู้กาลเทศะมาก เขาตะโกนสั่งว่า "
“ยังไงซะก็ออกมาเล่นทั้งที ดื่มสักแก้วเถอะ” ในขณะที่ทุกคนสร้างความปั่นป่วน เสิ่นหยินอู้ก็มองเฉินเฉินด้วยสายตาที่เย็นชา "ฉันมาที่นี่เพื่อเล่นกับคุณหรือเปล่า" รอยยิ้มบนริมฝีปากของเฉินเฉินจางหายไปเล็กน้อย หากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะไม่กล้าทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้าของฉินเย่ แต่เมื่อเร็วๆนี้เขาได้ยินข่าวลือบางอย่าง เขาจึงคิดถึงเธออย่างหาที่สุดมิได้ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคิดเช่นนั้น เฉินเฉินก็ยกริมฝีปากขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วเข้าไปข้างๆเสิ่นหยินอู้ “เลขาเสิ่น ต่อให้คุณอยากจะคุยเรื่องงานก็ไม่จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้น คุณทำงานหนักขนาดนี้แล้วคุณได้อะไร? เขาพาผู้หญิงอื่นไปที่บริษัทต่อหน้าคุณแท้ๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณคงต้องคิดแผนสำรองให้กับตัวเองหน่อยนะ” เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าวันนี้เฉินเฉินกำเริบเสิบสานเป็นพิเศษ เธอไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องนี้มา เธอจ้องมองเขาด้วยความดูถูกในสายตาของเธอ ราวกับกำลังพูดว่า: ต่อให้ฉันกับฉินเย่จะหย่ากัร คุณคิดว่าคุณจะมีโอกาสรึไง? เฉินเฉินแทบไม่สามารถฝืนรักษารอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาให้คงอยู่ได้อีกต่อไป เขารู้ว่าเสิ่นหยินอู้ดูถูกเขามาโดยตลอด ไม่
เมื่อเห็นว่าเขาหน้าซีด เสิ่นหยินอู้ก็เดาได้ว่าเขาคงนึกเรื่องนั้นออก “ยังไงหละ? คุณชายเฉินคงยังไม่ลืมสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในตอนนั้นใช่ไหม?” เพื่อนที่อยู่ข้างๆเขาถามขึ้นอย่างสงสัย "ไอเฉิน ตอนนั้นมึงพูดว่าอะไร?" สมองของเฉินเฉินโล่งไปหมด โชคดีที่เขาคิดเสมอว่าเสิ่นหยินอู้ดูถูกภูมิหลังครอบครัวของเขา และต้องการอยู่กับคนที่มีอำนาจมากกว่านี้ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะได้ยินคำพูดที่ล่วงเกินของเขา เมื่อเขาคิดได้ว่าคำพูดนี้ที่เขาพูดในตอนนั้นอาจทำให้เขาพลาดคนดีๆไป เฉินเฉินก็อยากตบหน้าตัวเองแรงๆสักที “ไม่ใช่แบบนั้นนะ!” เฉินเฉินกัดฟันและอธิบายด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “คำพูดในตอนนั้น ผมก็แค่นึกสนุกเลยพูดออกมาไร้สาระแบบนั้น ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินคุณเลยสักนิด” หากเขาแค่นึกสนุกจริงๆ เขาคงไม่ดั้นด้นไปหาเธอในทันทีหลังจากได้ยินว่าเธอจะไปแช่น้ำพุร้อนหรอก "นึกสนุกเหรอ?" เสิ่นหยินอู้เอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับกำลังคิดเกี่ยวกับคำคำนี้ จากนั้นครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยขึ้นว่า "ที่แท้คำพูดแบบนี้ในสายตาของคุณชายเฉินมันก็เป็นแค่ความสนุกสินะ?" เฉินเฉิน "ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น! ผมหมายถึง..." “เอาเถอะคุณชายฉิน เราก
“คุณผู้ชายของพวกคุณคือใครคะ?” เสิ่นหยินอู้ถาม ชายคนนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อยและยังคงรักษาความสุภาพตามเดิมเอาไว้ แต่เขากลับไม่ได้บอกเสิ่นหยินอู้ว่าคุณผู้ชายของพวกเขาคือใคร อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ทำอะไรหยาบคายกับเธอ ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอเม้มริมฝีปากและไม่ขยับไปไหน “คุณหนูเสิ่น มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่หลินโยวโยวที่อยู่ข้างๆเธอ "ปล่อยเธอไปก่อนได้ไหม?" ชายร่างใหญ่อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า "แน่นอนอยู่แล้วครับ" อย่างไรก็ตาม คุณผู้ชายของพวกเขาบอกแค่ให้พาเสิ่นหยินอู้ไป แต่พวกเขาจึงไม่สนใจคนอื่น คำตอบนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้สบายใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาตกลงที่จะปล่อยหลินโยวโยวออกไป หมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรและคงไม่ได้เป็นศัตรูกับเธอ ไม่เช่นนั้นคงจะกังวลว่าหลังจากที่หลินโยวโยวหนีออกไป เธอคงจะไปตามคนมาช่วยแน่ “พี่หยินอู้ ฉันไม่ไป” หลินโยวโยวกอดแขนเธอไว้แน่น "ฉันจะไปด้วยกันกับพี่" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "เธอกลับไปก่อน" เธอขยิบตาให้หลินโยวโยว แต่ก็
เสิ่นหยินอู้คิดไม่ถึงว่าเธอเฉลียวฉลาดมากเพียงนี้ที่หลังจากออกไปข้างนอกได้ก็โทรหาฉินเย่ทันที ถ้าเป็นตอนปกติ เธอคงจะต้องชมหลินโยวโยวว่าฉลาด แต่ช่วงนี้เธอกับฉินเย่อยู่ในช่วงของสงครามเย็นกันอยู่พอดี เธอจึงไม่สามารถชมโยวโยวได้ในตอนนี้ และด้วยนิสัยของฉินเย่ ถ้าเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้ เขาอาจจะตำหนิเธออีกครั้ง เมื่อนึกถึงความเข้มงวดของเขาที่ทำเหมือนกับเป็นพี่ชายของเธอ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก ผู้ชายปกติมักจะตามใจผู้หญิงที่พวกเขาชอบ และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มเบาหูเพียงเพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายตกใจกลัว แต่ฉินเย่มักจะดุร้ายกับเธอมาก เหมือนกับว่าเขาเป็นพี่ชายของเธอ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเสิ่นหยินอู้จึงรู้สึกว่าเขาไม่ชอบเธอ ขณะที่เธอจมอยู่ในภวังค์ ที่ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นดังขึ้น และในขณะเดียวกันก็มีเสียงการทักทายจากชายร่างใหญ่ที่เฝ้าประตูอยู่ดังขึ้น “คุณชายโม่” คุณชายโม่? โม่? นามสกุลนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตกตะลึงไปชั่วขณะ “เธออยู่ที่ไหน?” เสียงที่แปลกแต่กลับคุ้นเคยเล็กน้อยดังขึ้น “คุณหนูเสิ่นอยู่ด้านในครับ” “อืม พวกแกลงไปได้” เสียงของเขาต่ำทุ้มแล
เสียงที่ชัดเจนของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังเธอ ตามมาด้วยกลิ่นบุหรี่ที่สดชื่นจางๆ เธอยืนขึ้นและหันหลังกลับไปมองบุคคลที่เดินเข้ามา ห้าปีผ่านไป ความอ่อนเยาว์ของชายคนนั้นได้จางหายไป เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูสงบเงียบและเฉียบแหลมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน คิ้วที่กระดกขึ้นเล็กน้อยปิดบังความฉลาดของเขาไว้ เขาแต่งกายอย่างประณีตด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและชุดสูทสีเข้ม เขาผูกเนคไทสีอ่อนที่มาพร้อมกับที่หนีบเนคไทสีเทา เมื่อเห็นที่หนีบเนคไท สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าห้าปีผ่านไปเขาจะยังเก็บที่หนีบเนคไทอันนี้ไว้อยู่ บางทีสายตาที่เธอจ้องมองเขาอาจรุนแรงเกินไป ดังนั้น โม่ไป๋จึงเลิกคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้ม "ว่าไง จำผมไม่ได้ซะแล้วเหรอ? ยัยเด็กน้อย" ชื่อเรียก "ยัยเด็กน้อย" ทำให้เสิ่นหยินอู้แตกฉานได้ในเพียงเสี้ยววินาที เธอเคืองเล็กน้อย "ใครเป็นยัยเด็กน้อยกัน? ใครอนุญาตให้นายเรียกฉันแบบนั้น?" เมื่อเห็นแก้มของเธอป่องขึ้นด้วยความโกรธ โม่ไป๋ก็อดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า "เธอเกือบจะโกรธจนกลายเป็นปลาปักเป้าแล้ว มันไม่ใช่ยัยเด็กน้อยเหรอ?" ปลาปักเป้า? เสิ่นหยินอู้มองอีกฝ่ายอย่างพูดไม่ออก "นาย
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน