เสียงที่ชัดเจนของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังเธอ ตามมาด้วยกลิ่นบุหรี่ที่สดชื่นจางๆ เธอยืนขึ้นและหันหลังกลับไปมองบุคคลที่เดินเข้ามา ห้าปีผ่านไป ความอ่อนเยาว์ของชายคนนั้นได้จางหายไป เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูสงบเงียบและเฉียบแหลมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน คิ้วที่กระดกขึ้นเล็กน้อยปิดบังความฉลาดของเขาไว้ เขาแต่งกายอย่างประณีตด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและชุดสูทสีเข้ม เขาผูกเนคไทสีอ่อนที่มาพร้อมกับที่หนีบเนคไทสีเทา เมื่อเห็นที่หนีบเนคไท สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าห้าปีผ่านไปเขาจะยังเก็บที่หนีบเนคไทอันนี้ไว้อยู่ บางทีสายตาที่เธอจ้องมองเขาอาจรุนแรงเกินไป ดังนั้น โม่ไป๋จึงเลิกคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้ม "ว่าไง จำผมไม่ได้ซะแล้วเหรอ? ยัยเด็กน้อย" ชื่อเรียก "ยัยเด็กน้อย" ทำให้เสิ่นหยินอู้แตกฉานได้ในเพียงเสี้ยววินาที เธอเคืองเล็กน้อย "ใครเป็นยัยเด็กน้อยกัน? ใครอนุญาตให้นายเรียกฉันแบบนั้น?" เมื่อเห็นแก้มของเธอป่องขึ้นด้วยความโกรธ โม่ไป๋ก็อดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า "เธอเกือบจะโกรธจนกลายเป็นปลาปักเป้าแล้ว มันไม่ใช่ยัยเด็กน้อยเหรอ?" ปลาปักเป้า? เสิ่นหยินอู้มองอีกฝ่ายอย่างพูดไม่ออก "นาย
แม้ว่าจะเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่เมื่อเขาโดนหมัดเสยเข้าที่คาง โม่ไป๋ก็คาดไม่ถึงว่าฉินเย่จะลงมือรุนแรงถึงเพียงนี้ หลังจากที่ฉินต่อยอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้ดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาคว้าข้อมือขาวๆอันบอบบางของเสิ่นหยินอู้แล้วดึงเธอไปที่ด้านหลังของเขาเพื่อปกป้องเธอ จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและใช้สายตาข่มขู่และเย็นชาจ้องมองไปที่เธอ เสิ่นหยินอู้ "..." เขาทำหน้าตาดุร้ายราวกับว่ากำลังถามเธอว่า: คุณโดนสกัดจุดหรือคุณโง่เนี่ย โดนคนอื่นเข้ามาสวมกอดแล้วผลักออกไปไม่ได้รึไง? "ชิ" โม่ไป๋พยายามเช็ดเลือดที่มุมปากของเขาเบาๆ เขามองฉินเย่อย่างขบขันแล้วพูดว่า "กูเพิ่งกลับมา มึงก็ให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับกูขนาดนี้ แบบนี้ไม่ค่อยดีหรอกมั้ง? ฉินเย่" เสียงที่คุ้นเคยทำให้ฉินเย่ชะงักไปชั่วคราว จากนั้นเขาจึงละสายตาจากใบหน้าของเสิ่นหยินอู้และมองไปทางโม่ไป๋ สายตาของทั้งสองสบกันกลางอากาศ และจู่ๆบรรยากาศก็นิ่งและอึดอัดขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของฉินเย่ก็กลับมาเป็นปกติ เขามองไปที่โม่ไป๋ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "กลับมาแล้วสินะ" โม่ไป๋หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง และ
ฉินเย่ตอบเธออย่างเย็นชา "ไปกันเถอะ" “เธอไปแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของฉินเย่ดูเหลืออดอย่างเห็นได้ชัด "ไม่งั้นจะให้อยู่รอตุณรึไง? คุณรู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน?" เสิ่นหยินอู้ "..." เอามาอีกแล้ว นี่มันแทบจะเป็นน้ำเสียงตำหนิของที่คนเป็นพี่น้องกัน เป็นแบบนี้ทุกที! เสิ่นหยินอู้สลัดมือออกจากมือของเขาและตอบอย่างไม่มั่นใจว่า "แน่นอนว่าฉันรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่แล้วมันยังไงล่ะ? หลังจากที่ฉันจากไปแล้ว มันก็มีเพียงแค่โยวโยวเท่านั้นที่รับตำแหน่งต่อจากฉันชั่วคราวได้ แน่นอนว่าฉันต้องไปพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือเป็นเพื่อนเธอ " สีหน้าของฉินเย่ยังคงเย็นชา "จะพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือจำเป็นต้องเป็นสถานที่แบบนี้เหรอ?" "ถ้างั้นต้องเป็นที่ไหนล่ะ?" เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว "คุณว่าอะไรนะ?" เมื่อนึกถึงเรื่องการพบกันกับเฉินเฉินในคืนนี้ เสิ่นหยินอู้ยังคงรู้สึกโมโหอยู่มาก เฉินเฉินไม่เคารพเธอเพราะช่วงนี้ฉินเย่ชอบพาเจียงฉูฉู่มาที่บริษัท ซึ่งมันทำให้เกิดข่าวลือมากมายในบริษัทที่ไม่เป็นผลดีกับเธอ ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่าเธอเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งซึ่งไม่ต้องการ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเธอไม่ควรขุ่นเคือ
ระหว่างทางกลับ พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เงียบ สีหน้าของฉินเย่มืดมน มือของเขากำพวงมาลัยแน่นมาตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ แรงที่เขากำนั้นแรงมากจนดูเหมือนว่าเขาต้องการจะฉีกพวงมาลัยออกเป็นชิ้นๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่เสิ่นหยินอู้พูดก่อนขึ้นรถ ภายในใจของฉินเย่ก็รู้สึกหดหู่ ในอดีต เขาไม่เคยนึกถึงปัญหานี้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อเสิ่นหยินอู้พูดถึงมัน เขาก็เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมา ฉินเย่มองไปที่เสิ่นหยินอู้ ตั้งแต่เธอขึ้นรถมา เธอก็เอาแต่ขดตัวอยู่บนที่นั่งแล้วหลับตาลง ราวกับว่าเธอปิดกั้นโลกทั้งใบจนเหลือเพียงแค่เธอคนเดียว หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันกับเธอมาหลายปี ฉินเย่จะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่าเธอทำงานหนักแค่ไหนเพื่อที่จะพิสูจน์ตัวเอง? แต่วันนี้เธอรู้สึกหงุดหงิด ในระหว่างทางที่เขามา เขาได้ฟังหลินโยวโยวบรรยายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย เธอก็ลังเล ฉินเย่ฉลาดแค่ไหนกันเชียว? เขาถามเชิงบังคับให้เธอพูดประโยคต่อไปในทันที สมกับที่หลินโยวโยวเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆเธอ โยวโยวเห็นโอกาสจึงพูดว่า "ประธานฉิน ถ้าฉันบอกคุณ คุณจะมาตำหนิฉันไม่ได้เด็ดขาดนะคะ แล้วก็ห้ามบอกพี่หยินอู้ว่าฉันบอกคุณนะคะ"
คุณนายฉินยังไม่ได้พักผ่อน หลังจากเห็นว่าเธอปลอดภัยหายห่วงแล้ว เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” คุณนายจับมือของเธอแล้วตีเบาๆ จากนั้นก็ถอนหายใจด้วยความจริงจัง "ย่าไม่รู้ว่าถ้าถึงตอนนั้นการผ่าตัดจะสำเร็จหรือไม่ ถ้าไม่สำเร็จ ย่าอาจไม่มีโอกาสได้เจอพวกเธอ ย่าแก่แล้ว และไม่ได้มีความปรารถนาใดเป็นพิเศษ ย่าแค่หวังว่าพวกเธอจะปลอดภัยจากภยันตรายทุกอย่างตลอดไป” หลังจากได้ยิน สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไป “คุณย่าคะ ย่าพูดอะไรน่ะคะ? การผ่าตัดจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน และย่าจะได้อยู่กับพวกเราไปอีกนานๆค่ะ! วันหลังคุณย่าอย่าพูดคำที่น่าหดหู่แบบนี้อีกนะคะ ไม่งั้นหนูจะโกรธคุณย่า” คุณนายฉินสังเกตเห็นว่าน้ำเสียงและสายตาของเธอล้วนเปลี่ยนไป จึงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “ย่ารู้แล้วว่าแม่สาวน้อยคนนี้ของย่าเป็นห่วงย่าโอเค โอเค ย่าจะพยายามให้ตัวเองไม่เป็นอะไร” หลังจากพูดจบ เธอก็จิ้มไปที่แก้มของเสิ่นหยินอู้ที่กำลังป่องด้วยความโกรธเบาๆ “แม่สาวน้อย...ย่ามีความลับเล็กๆน้อยๆจะบอก” “ความลับ? ความลับอะไรเหรอคะ?” สายตาที่เต็มไปด้วยอยากรู้อยากเห็นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเสิ่นหยินอู้ “เมื่อกี้ไอ
แต่ในท้ายที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็พยักหน้าเห็นด้วย เมื่อเธอกลับมาที่ห้อง เธอก็พบฉินเย่นั่งอยู่บนโซฟา เมื่อนึกถึงคำพูดเหล่านั้นที่คุณย่าพูด เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่เสื้อผ้าของเขาโดยไม่รู้ตัว เป็นแบบที่คุณย่าพูดจริงๆ เขาสวมเพียงแค่เสื้อเชิ้ตสีดำตัวเดียวและนั่งพิงอยู่บนโซฟาสีเข้ม ออร่าที่มืดมนของเขาแทบจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับโซฟา เสิ่นหยินอู้คาดไม่ถึงว่าทั้งสองคนจะทะเลาะกันจนเป็นแบบวันนี้ ที่จริงแล้ว แม้ทั้งคู่จะไม่ถือว่าเป็นสามีภรรยากัน แต่พวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็กจนโต เพียงแต่ก็ไม่ได้สนิทกันเท่ากับคนที่เป็นสามีภรรยากัน การที่เธอมาถึงตรงนี้ได้ มันก็เป็นเพราะเขาช่วยเธอมามาก เสิ่นหยินอู้รู้ว่าเธอควรก้มศีรษะลงก่อน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เธอยืนอยู่ตรงนั้นและมองฉินเย่อย่างเนิ่นนาน ในท้ายที่สุดเธอก็ไม่พูดอะไรและเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างเงียบๆเพื่ออาบน้ำ เมื่อเธอออกมา ฉินเย่ก็ไม่ได้อยู่ในห้องนอนอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม มีเสียงข้อความสองสามดังขึ้นมาจากโทรศัพท์ของเธอ เสิ่นหยินอู้หยิบมันออกมาดูและพบว่าเป็นหมายเลขที่เธอไม่รู้จัก “ยัยเด็กน้อย นี่เบอร์ของฉันเอง อย่าลืมบั
ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าทั้งสองจะมีสงครามเย็นกันกี่ครั้ง ฉินเย่ก็มักจะเป็นคนที่ทำลายกำแพงน้ำแข็งระหว่างพวกเขาก่อนเสมอ แน่นอนว่า แม้ว่าเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่สีหน้าของเขาก็ยังดูแย่อยู่มาก หากเธอเมินเขา เขาจะยิ่งโกรธและกัดฟันพูดคุยกับเธอต่อไป หลังจากที่เธอคิดได้ เธอจึงพยักหน้าเบาๆ "ได้" จากนั้นสีหน้าของฉินเย่ก็อ่อนโยนขึ้น หลังอาหารเย็น ทั้งสองก็ออกไปด้วยกัน เดิมทีเสิ่นหยินอู้ต้องการขับรถเอง แต่ทันทีที่เธอเดินอ้อมไปทางที่นั่งคนขับ เธอก็เห็นฉินเย่กระจกและมองเธออย่างเย็นชา "ขึ้นรถ" เมื่อคิดว่าทั้งสองคนไปงานรวมตัวด้วยกันในตอนเย็น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่ได้ปฏิเสธ พวกเขาเงียบใส่กันตลอดทาง เมื่อถึงที่บริษัท ต่างฝ่ายก็ต่างเดินไปที่ทำงานของตัวเอง ทันทีที่เสิ่นหยินอู้นั่งลง เธอก็ได้รับข้อความจากเพื่อนสนิทของเธอโจวชวงชวง “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง? การผ่าตัดของคุณย่าฉินเลื่อนออกไปแบบนี้ งั้นเรื่องของพวกเธอก็ต้องเลื่อนออกไปด้วยใช่ไหม?” "อืม" “อ่า แล้วได้บอกหรือเปล่าว่าเราต้องเลื่อนออกไปนานแค่ไหน?” “ตอนนี้ยังไม่แน่ชัด ตอนนี้คุณย่ายังพักผ่อนอยู่ น่าจะต้องแล้วแต่คุณย่าน่ะ” “……” โจ
เสียงที่เย็นชาดังออกมาจากโทรศัพท์ แม้ว่าเสิ่นหยินอู้คิดที่จะตัดสาย แต่มันก็สายเกินไปแล้ว เมื่อเธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เสียงก็ดังออกมาเองจนจบ เสิ่นหยินอู้ "....." ทำยังไงดี? เธอคิดว่าชวงชวงไปทำธุระเสร็จแล้ว และเธอเดาว่าเมื่อชวงชวงกลับมาก็คงจะตะโกนด่าใส่เธอเกี่ยวกับไอสารเลวที่แย่กว่าเจ้านายของชวงชวง ใครจะไปรู้ว่าชวงชวงจะพูดถึงเรื่องของเธอ เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าของหยินอู้ก็เปลี่ยนไป เธอลุกขึ้นและเปิดประตู ด้านนอกประตูนั้นว่างเปล่า ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว เธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอให้หลินโยวโยวปิดประตูในตอนที่เธอออกไป เธอคงไม่น่าจะอยู่ตรงนี้แล้วถึงจะถูกต้อง เธอคงไม่ได้ยินเสียงเมื่อครู่นี้ อย่างไรก็ตาม เสิ่นหยินอู้ยังคงไม่วางใจ เธอก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวและสำรวจอยู่สักพักหลัง จากแน่ใจว่าไม่มีใคร เธอจึงกลับเข้าห้องไป จากนั้นเธอก็ลบข้อความเสียงที่โจวชวงชวงส่งมาให้เธอทิ้ง จากนั้นก็ต่อว่าชวงชวงอย่างรุนแรง เมื่อเห็นว่าเธอโกรธ โจวชวงชวงก็รีบคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว และขอโทษเธอด้วยวิธีต่างๆมากมาย เธอแค่ตื่นเต้นเกินไป ครั้งหน้าจะไม่ให้เป็นแบบนี้อีก ในอีกด้านหนึ่งณ บันได
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน