และในช่วงที่เงียบสงัดนี้ ชายคนหนึ่งซึ่งดูนิสัยแย่ที่อยู่ในห้องก็พูดขึ้น “เลขาคนสวย ทำไมถึงอยากเปลี่ยนที่หละ? พวกเรากับคุณชายเฉินเป็นเพื่อนกัน มีอะไรที่เรารู้ไม่ได้เหรอครับ? สบายใจได้ ต่อให้เราจะรู้ไม่ได้จริงๆ เราก็จะทำเป็นปิดหูปิดตา” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้ว เธอมองชายคนที่พูดจาสามหาวด้วยสายตาที่แหลมคมขึ้นกว่าเดิม หลังจากอยู่กับฉินเย่มาเนิ่นนาน ออร่าที่ออกมาจากร่างกายของเสิ่นหยินอู้ก็คล้ายกับของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อครู่นี้ที่เธอกวาดสายตาไปมองเขา ชายคนที่พูดก็ตกใจจนเงียบไปทันที จากนั้นก็หดคอของเขาลง เมื่อเสิ่นหยินอู้ลากสายตามองไปทางอื่น เมื่อชายคนนั้นรู้ตัวอีกทีเขาก็ตอบสนอง ให้ตายเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับเขาเมื่อครู่นี้? นี่เขากลัวหญิงสาวตัวเล็กๆคนหนึ่งจริงๆเหรอ? ชิ เขาปะทะกับปีศาจเข้าให้แล้วสินะ? “เลขาเสิ่น มันไม่สะดวกที่จะเปลี่ยนสถานที่ครับ ถ้าคุณทนดมกลิ่นพวกนี้ไม่ได้ งั้นก็เปิดประตูห้องทิ้งไว้เพื่อให้กลิ่นกระจายออกไปดูไหมครับ?” เฉินเฉินยิ้มในขณะที่เขาพูด ซึ่งดูเหมือนกับคนหน้าเนื้อใจเสือ เพื่อนคนที่อยู่ข้างๆเขาดูจะรู้กาลเทศะมาก เขาตะโกนสั่งว่า "
“ยังไงซะก็ออกมาเล่นทั้งที ดื่มสักแก้วเถอะ” ในขณะที่ทุกคนสร้างความปั่นป่วน เสิ่นหยินอู้ก็มองเฉินเฉินด้วยสายตาที่เย็นชา "ฉันมาที่นี่เพื่อเล่นกับคุณหรือเปล่า" รอยยิ้มบนริมฝีปากของเฉินเฉินจางหายไปเล็กน้อย หากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะไม่กล้าทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้าของฉินเย่ แต่เมื่อเร็วๆนี้เขาได้ยินข่าวลือบางอย่าง เขาจึงคิดถึงเธออย่างหาที่สุดมิได้ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคิดเช่นนั้น เฉินเฉินก็ยกริมฝีปากขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วเข้าไปข้างๆเสิ่นหยินอู้ “เลขาเสิ่น ต่อให้คุณอยากจะคุยเรื่องงานก็ไม่จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้น คุณทำงานหนักขนาดนี้แล้วคุณได้อะไร? เขาพาผู้หญิงอื่นไปที่บริษัทต่อหน้าคุณแท้ๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณคงต้องคิดแผนสำรองให้กับตัวเองหน่อยนะ” เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าวันนี้เฉินเฉินกำเริบเสิบสานเป็นพิเศษ เธอไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องนี้มา เธอจ้องมองเขาด้วยความดูถูกในสายตาของเธอ ราวกับกำลังพูดว่า: ต่อให้ฉันกับฉินเย่จะหย่ากัร คุณคิดว่าคุณจะมีโอกาสรึไง? เฉินเฉินแทบไม่สามารถฝืนรักษารอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาให้คงอยู่ได้อีกต่อไป เขารู้ว่าเสิ่นหยินอู้ดูถูกเขามาโดยตลอด ไม่
เมื่อเห็นว่าเขาหน้าซีด เสิ่นหยินอู้ก็เดาได้ว่าเขาคงนึกเรื่องนั้นออก “ยังไงหละ? คุณชายเฉินคงยังไม่ลืมสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในตอนนั้นใช่ไหม?” เพื่อนที่อยู่ข้างๆเขาถามขึ้นอย่างสงสัย "ไอเฉิน ตอนนั้นมึงพูดว่าอะไร?" สมองของเฉินเฉินโล่งไปหมด โชคดีที่เขาคิดเสมอว่าเสิ่นหยินอู้ดูถูกภูมิหลังครอบครัวของเขา และต้องการอยู่กับคนที่มีอำนาจมากกว่านี้ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะได้ยินคำพูดที่ล่วงเกินของเขา เมื่อเขาคิดได้ว่าคำพูดนี้ที่เขาพูดในตอนนั้นอาจทำให้เขาพลาดคนดีๆไป เฉินเฉินก็อยากตบหน้าตัวเองแรงๆสักที “ไม่ใช่แบบนั้นนะ!” เฉินเฉินกัดฟันและอธิบายด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “คำพูดในตอนนั้น ผมก็แค่นึกสนุกเลยพูดออกมาไร้สาระแบบนั้น ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินคุณเลยสักนิด” หากเขาแค่นึกสนุกจริงๆ เขาคงไม่ดั้นด้นไปหาเธอในทันทีหลังจากได้ยินว่าเธอจะไปแช่น้ำพุร้อนหรอก "นึกสนุกเหรอ?" เสิ่นหยินอู้เอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับกำลังคิดเกี่ยวกับคำคำนี้ จากนั้นครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยขึ้นว่า "ที่แท้คำพูดแบบนี้ในสายตาของคุณชายเฉินมันก็เป็นแค่ความสนุกสินะ?" เฉินเฉิน "ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น! ผมหมายถึง..." “เอาเถอะคุณชายฉิน เราก
“คุณผู้ชายของพวกคุณคือใครคะ?” เสิ่นหยินอู้ถาม ชายคนนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อยและยังคงรักษาความสุภาพตามเดิมเอาไว้ แต่เขากลับไม่ได้บอกเสิ่นหยินอู้ว่าคุณผู้ชายของพวกเขาคือใคร อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ทำอะไรหยาบคายกับเธอ ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอเม้มริมฝีปากและไม่ขยับไปไหน “คุณหนูเสิ่น มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่หลินโยวโยวที่อยู่ข้างๆเธอ "ปล่อยเธอไปก่อนได้ไหม?" ชายร่างใหญ่อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า "แน่นอนอยู่แล้วครับ" อย่างไรก็ตาม คุณผู้ชายของพวกเขาบอกแค่ให้พาเสิ่นหยินอู้ไป แต่พวกเขาจึงไม่สนใจคนอื่น คำตอบนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้สบายใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาตกลงที่จะปล่อยหลินโยวโยวออกไป หมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรและคงไม่ได้เป็นศัตรูกับเธอ ไม่เช่นนั้นคงจะกังวลว่าหลังจากที่หลินโยวโยวหนีออกไป เธอคงจะไปตามคนมาช่วยแน่ “พี่หยินอู้ ฉันไม่ไป” หลินโยวโยวกอดแขนเธอไว้แน่น "ฉันจะไปด้วยกันกับพี่" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "เธอกลับไปก่อน" เธอขยิบตาให้หลินโยวโยว แต่ก็
เสิ่นหยินอู้คิดไม่ถึงว่าเธอเฉลียวฉลาดมากเพียงนี้ที่หลังจากออกไปข้างนอกได้ก็โทรหาฉินเย่ทันที ถ้าเป็นตอนปกติ เธอคงจะต้องชมหลินโยวโยวว่าฉลาด แต่ช่วงนี้เธอกับฉินเย่อยู่ในช่วงของสงครามเย็นกันอยู่พอดี เธอจึงไม่สามารถชมโยวโยวได้ในตอนนี้ และด้วยนิสัยของฉินเย่ ถ้าเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้ เขาอาจจะตำหนิเธออีกครั้ง เมื่อนึกถึงความเข้มงวดของเขาที่ทำเหมือนกับเป็นพี่ชายของเธอ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก ผู้ชายปกติมักจะตามใจผู้หญิงที่พวกเขาชอบ และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มเบาหูเพียงเพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายตกใจกลัว แต่ฉินเย่มักจะดุร้ายกับเธอมาก เหมือนกับว่าเขาเป็นพี่ชายของเธอ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเสิ่นหยินอู้จึงรู้สึกว่าเขาไม่ชอบเธอ ขณะที่เธอจมอยู่ในภวังค์ ที่ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นดังขึ้น และในขณะเดียวกันก็มีเสียงการทักทายจากชายร่างใหญ่ที่เฝ้าประตูอยู่ดังขึ้น “คุณชายโม่” คุณชายโม่? โม่? นามสกุลนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตกตะลึงไปชั่วขณะ “เธออยู่ที่ไหน?” เสียงที่แปลกแต่กลับคุ้นเคยเล็กน้อยดังขึ้น “คุณหนูเสิ่นอยู่ด้านในครับ” “อืม พวกแกลงไปได้” เสียงของเขาต่ำทุ้มแล
เสียงที่ชัดเจนของชายคนหนึ่งดังขึ้นที่ด้านหลังเธอ ตามมาด้วยกลิ่นบุหรี่ที่สดชื่นจางๆ เธอยืนขึ้นและหันหลังกลับไปมองบุคคลที่เดินเข้ามา ห้าปีผ่านไป ความอ่อนเยาว์ของชายคนนั้นได้จางหายไป เขาเป็นชายหนุ่มที่ดูสงบเงียบและเฉียบแหลมมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน คิ้วที่กระดกขึ้นเล็กน้อยปิดบังความฉลาดของเขาไว้ เขาแต่งกายอย่างประณีตด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาวและชุดสูทสีเข้ม เขาผูกเนคไทสีอ่อนที่มาพร้อมกับที่หนีบเนคไทสีเทา เมื่อเห็นที่หนีบเนคไท สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าห้าปีผ่านไปเขาจะยังเก็บที่หนีบเนคไทอันนี้ไว้อยู่ บางทีสายตาที่เธอจ้องมองเขาอาจรุนแรงเกินไป ดังนั้น โม่ไป๋จึงเลิกคิ้วและพูดด้วยรอยยิ้ม "ว่าไง จำผมไม่ได้ซะแล้วเหรอ? ยัยเด็กน้อย" ชื่อเรียก "ยัยเด็กน้อย" ทำให้เสิ่นหยินอู้แตกฉานได้ในเพียงเสี้ยววินาที เธอเคืองเล็กน้อย "ใครเป็นยัยเด็กน้อยกัน? ใครอนุญาตให้นายเรียกฉันแบบนั้น?" เมื่อเห็นแก้มของเธอป่องขึ้นด้วยความโกรธ โม่ไป๋ก็อดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า "เธอเกือบจะโกรธจนกลายเป็นปลาปักเป้าแล้ว มันไม่ใช่ยัยเด็กน้อยเหรอ?" ปลาปักเป้า? เสิ่นหยินอู้มองอีกฝ่ายอย่างพูดไม่ออก "นาย
แม้ว่าจะเตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่เมื่อเขาโดนหมัดเสยเข้าที่คาง โม่ไป๋ก็คาดไม่ถึงว่าฉินเย่จะลงมือรุนแรงถึงเพียงนี้ หลังจากที่ฉินต่อยอีกฝ่าย เขาก็ไม่ได้ดูว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เขาคว้าข้อมือขาวๆอันบอบบางของเสิ่นหยินอู้แล้วดึงเธอไปที่ด้านหลังของเขาเพื่อปกป้องเธอ จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงและใช้สายตาข่มขู่และเย็นชาจ้องมองไปที่เธอ เสิ่นหยินอู้ "..." เขาทำหน้าตาดุร้ายราวกับว่ากำลังถามเธอว่า: คุณโดนสกัดจุดหรือคุณโง่เนี่ย โดนคนอื่นเข้ามาสวมกอดแล้วผลักออกไปไม่ได้รึไง? "ชิ" โม่ไป๋พยายามเช็ดเลือดที่มุมปากของเขาเบาๆ เขามองฉินเย่อย่างขบขันแล้วพูดว่า "กูเพิ่งกลับมา มึงก็ให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับกูขนาดนี้ แบบนี้ไม่ค่อยดีหรอกมั้ง? ฉินเย่" เสียงที่คุ้นเคยทำให้ฉินเย่ชะงักไปชั่วคราว จากนั้นเขาจึงละสายตาจากใบหน้าของเสิ่นหยินอู้และมองไปทางโม่ไป๋ สายตาของทั้งสองสบกันกลางอากาศ และจู่ๆบรรยากาศก็นิ่งและอึดอัดขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นไม่นาน สีหน้าของฉินเย่ก็กลับมาเป็นปกติ เขามองไปที่โม่ไป๋ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "กลับมาแล้วสินะ" โม่ไป๋หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋ากางเกง และ
ฉินเย่ตอบเธออย่างเย็นชา "ไปกันเถอะ" “เธอไปแล้วเหรอ?” น้ำเสียงของฉินเย่ดูเหลืออดอย่างเห็นได้ชัด "ไม่งั้นจะให้อยู่รอตุณรึไง? คุณรู้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน?" เสิ่นหยินอู้ "..." เอามาอีกแล้ว นี่มันแทบจะเป็นน้ำเสียงตำหนิของที่คนเป็นพี่น้องกัน เป็นแบบนี้ทุกที! เสิ่นหยินอู้สลัดมือออกจากมือของเขาและตอบอย่างไม่มั่นใจว่า "แน่นอนว่าฉันรู้ว่าที่นี่คือที่ไหน แต่แล้วมันยังไงล่ะ? หลังจากที่ฉันจากไปแล้ว มันก็มีเพียงแค่โยวโยวเท่านั้นที่รับตำแหน่งต่อจากฉันชั่วคราวได้ แน่นอนว่าฉันต้องไปพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือเป็นเพื่อนเธอ " สีหน้าของฉินเย่ยังคงเย็นชา "จะพูดคุยเกี่ยวกับความร่วมมือจำเป็นต้องเป็นสถานที่แบบนี้เหรอ?" "ถ้างั้นต้องเป็นที่ไหนล่ะ?" เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินเย่ก็ขมวดคิ้ว "คุณว่าอะไรนะ?" เมื่อนึกถึงเรื่องการพบกันกับเฉินเฉินในคืนนี้ เสิ่นหยินอู้ยังคงรู้สึกโมโหอยู่มาก เฉินเฉินไม่เคารพเธอเพราะช่วงนี้ฉินเย่ชอบพาเจียงฉูฉู่มาที่บริษัท ซึ่งมันทำให้เกิดข่าวลือมากมายในบริษัทที่ไม่เป็นผลดีกับเธอ ตอนนี้ทุกคนต่างคิดว่าเธอเป็นภรรยาที่ถูกทอดทิ้งซึ่งไม่ต้องการ แม้ว่าเธอจะรู้ว่าเธอไม่ควรขุ่นเคือ
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน