ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ดี เมื่อครู่นี้เขาลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ อาจเป็นเพราะศักดิ์ศรีของผู้ชายที่ทำให้เขาเสียสติไป สิ่งที่น่าขันก็คือ เธอยังมีความหวังสำหรับเขาอยู่ มันช่างน่าขันสิ้นดี มันคงจะเป็นวันนั้นที่เจียงฉูฉู่กลับมา ตอนนั้นที่เขาจูบเธออย่างเร่าร้อนและเมื่อเธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขากลับถอนตัวออกไป และตอนนั้นที่เขานอนข้างเธอแต่กลับพูดถึงเรื่องการหย่าร้าง ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ผลักเขาออกไป เท้าของเธอแตะลงบนพื้น และเธอก็กลับไปที่ห้องของเธอเพื่อพักผ่อน ฉินเย่ไม่ได้ตามเธอไปอีก สิ่งที่แปลกก็คือ ในวันนั้นเจียงฉูฉู่ไม่ได้โทรหาเธอหรือส่งข้อความหาเธอเลย เธอเงียบหายไปตลอดทั้งวัน หากเธอไม่มาหาหยินอู้ หยินอู้ก็ย่อมไม่ไปหาเธอวันถัดมา เนื่องจากคุณนายฉินเอาแต่บอกว่าไม่จำเป็นต้องดูแลเธอ เธอแสร้งทำเป็นโกรธเพราะกลัวว่าจะทำให้งานของหยินอู้และฉินเย่ล่าช้า เสิ่นหยินอู้เอาชนะความดื้อรั้นของเธอไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงกลับไปที่บริษัท แต่ความจริงก็คือ หลายวันมานี้เธอกับฉินเย่ส่วนใหญ่อยู่บ้านเพื่อจัดการกับงาน ดังนั้นความคืบหน้าขอ
ขณะที่คิด เสียงของเถ้าแก่ก็ทำลายความคิดของเธอลง “แม่หนู โจ๊กแปดทรัพย์กับซาลาเปาไส้ครีมได้แล้ว” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เรียกสติกลับคืนมาและเห็นว่าเถ้าแก่เอาของที่เธอสั่งใส่ถุงเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเอื้อมมือไปรับมันมา “ขอบคุณค่ะ หนูจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วนะคะ” “โอเคครับ ค่อยๆเดินนะครับ โอกาสหน้ามาใหม่นะครับ” เสิ่นหยินอู้ถือถุงขึ้นมาแล้วหันหลังเพื่อเดินออกไป ในระหว่างทาง เธอยังคงรู้สึกเหมือนมีคนกำลังเฝ้ามองเธออยู่ จนกระทั่งเธอเข้าไปในบริษัท สายตาคู่นั้นก็หายไป เมื่อครู่นี้มีใครอยู่ในรถสีดำคันนั้นหรือไม่? ที่จริงแล้วตอนที่เธอเดินกลับมา เธอก็มีความคิดที่จะเดินเข้าไปดูผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคนอยู่ แค่เดินเข้าไปดูก็คงจะรู้แล้วสินะ? แต่เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ เธอจึงไม่ได้เดินเข้าไปดู ยิ่งไปกว่านั้น รถที่จอดอยู่ในลานจอดรถจอดอยู่ที่นั่นในตอนกลางวันแสกๆ มันจึงไม่ควรมีใครอยู่ในรถ เสิ่นหยินอู้ขยี้ตของตัวเอง เธอคิดว่าบางทีเธออาจจะคิดมากไป ติ๊ง-- ลิฟต์มาพอดี เสิ่นหยินอู้เดินเข้าไปในลิฟต์ ตอนที่เธอยุ่งในช่วงบ่าย เธอก็ลืมเหตุก
“อืมอืม!” หลินโยวโยวได้ความมั่นใจของเธอกลับคืนมาด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคของหยินอู้ เมื่อเสิ่นหยินอู้หันกลับไป หลินโยวโยวก็แอบมองเธอจากด้านข้าง พี่หยินอู้... ช่างเป็นคนดีมากและเก่งมากจริงๆ เมื่อไรตัวเธอจะเป็นเหมือนพี่หยินอู้ได้กันนะ? สถานที่นัดหมายคือร้านเหล้าแห่งหนึ่ง เมื่อลงจากรถ เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่สถานบันเทิงตรงหน้าและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ใครเป็นคนเลือกที่นี่?” การแสดงออกของหลินโยวโยวดูอ้ำๆอึ้งๆ "ก็ ก็ฉินกรุ๊ปไง" เมื่อได้ยิน คิ้วของเสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น "มีคนมากมายหลายหน้าในร้านเหล้า มันไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยเรื่องต่างๆ เธอไม่ได้เป็นคนเลือกสถานที่กับพวกเขาเหรอ?" เมื่อเสิ่นหยินอู้พูดเช่นนี้ หลินโยวโยวก็ตกตะลึง “ฉัน ฉันไม่รู้ ฉันคิดว่าพวกเขาบอกว่าเอาที่ไหนก็ต้องเอาที่นั่น” และก่อนที่จะมาที่นี่ หลินโยวโยวก็ไม่ทราบว่าที่นี่คือร้านเหล้า ดูๆไปแล้ว มันดูไม่ค่อยได้มาตรฐานเสียเลย “ต่อจากนี้ เวลามีคนนัด เธอต้องเช็คก่อนเสมอว่าเป็นสถานที่แบบไหนและเหมาะที่จะคุยงานหรือไม่ ถ้าไม่เหมาะ ก็เปลี่ยนสถานที่เองเลย” หลินโยวโยวทำได้เพียงพยักหน้าแห้งๆ "เข้าใจแล้
และในช่วงที่เงียบสงัดนี้ ชายคนหนึ่งซึ่งดูนิสัยแย่ที่อยู่ในห้องก็พูดขึ้น “เลขาคนสวย ทำไมถึงอยากเปลี่ยนที่หละ? พวกเรากับคุณชายเฉินเป็นเพื่อนกัน มีอะไรที่เรารู้ไม่ได้เหรอครับ? สบายใจได้ ต่อให้เราจะรู้ไม่ได้จริงๆ เราก็จะทำเป็นปิดหูปิดตา” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้ว เธอมองชายคนที่พูดจาสามหาวด้วยสายตาที่แหลมคมขึ้นกว่าเดิม หลังจากอยู่กับฉินเย่มาเนิ่นนาน ออร่าที่ออกมาจากร่างกายของเสิ่นหยินอู้ก็คล้ายกับของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อครู่นี้ที่เธอกวาดสายตาไปมองเขา ชายคนที่พูดก็ตกใจจนเงียบไปทันที จากนั้นก็หดคอของเขาลง เมื่อเสิ่นหยินอู้ลากสายตามองไปทางอื่น เมื่อชายคนนั้นรู้ตัวอีกทีเขาก็ตอบสนอง ให้ตายเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับเขาเมื่อครู่นี้? นี่เขากลัวหญิงสาวตัวเล็กๆคนหนึ่งจริงๆเหรอ? ชิ เขาปะทะกับปีศาจเข้าให้แล้วสินะ? “เลขาเสิ่น มันไม่สะดวกที่จะเปลี่ยนสถานที่ครับ ถ้าคุณทนดมกลิ่นพวกนี้ไม่ได้ งั้นก็เปิดประตูห้องทิ้งไว้เพื่อให้กลิ่นกระจายออกไปดูไหมครับ?” เฉินเฉินยิ้มในขณะที่เขาพูด ซึ่งดูเหมือนกับคนหน้าเนื้อใจเสือ เพื่อนคนที่อยู่ข้างๆเขาดูจะรู้กาลเทศะมาก เขาตะโกนสั่งว่า "
“ยังไงซะก็ออกมาเล่นทั้งที ดื่มสักแก้วเถอะ” ในขณะที่ทุกคนสร้างความปั่นป่วน เสิ่นหยินอู้ก็มองเฉินเฉินด้วยสายตาที่เย็นชา "ฉันมาที่นี่เพื่อเล่นกับคุณหรือเปล่า" รอยยิ้มบนริมฝีปากของเฉินเฉินจางหายไปเล็กน้อย หากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะไม่กล้าทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้าของฉินเย่ แต่เมื่อเร็วๆนี้เขาได้ยินข่าวลือบางอย่าง เขาจึงคิดถึงเธออย่างหาที่สุดมิได้ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคิดเช่นนั้น เฉินเฉินก็ยกริมฝีปากขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วเข้าไปข้างๆเสิ่นหยินอู้ “เลขาเสิ่น ต่อให้คุณอยากจะคุยเรื่องงานก็ไม่จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้น คุณทำงานหนักขนาดนี้แล้วคุณได้อะไร? เขาพาผู้หญิงอื่นไปที่บริษัทต่อหน้าคุณแท้ๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณคงต้องคิดแผนสำรองให้กับตัวเองหน่อยนะ” เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าวันนี้เฉินเฉินกำเริบเสิบสานเป็นพิเศษ เธอไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องนี้มา เธอจ้องมองเขาด้วยความดูถูกในสายตาของเธอ ราวกับกำลังพูดว่า: ต่อให้ฉันกับฉินเย่จะหย่ากัร คุณคิดว่าคุณจะมีโอกาสรึไง? เฉินเฉินแทบไม่สามารถฝืนรักษารอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาให้คงอยู่ได้อีกต่อไป เขารู้ว่าเสิ่นหยินอู้ดูถูกเขามาโดยตลอด ไม่
เมื่อเห็นว่าเขาหน้าซีด เสิ่นหยินอู้ก็เดาได้ว่าเขาคงนึกเรื่องนั้นออก “ยังไงหละ? คุณชายเฉินคงยังไม่ลืมสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในตอนนั้นใช่ไหม?” เพื่อนที่อยู่ข้างๆเขาถามขึ้นอย่างสงสัย "ไอเฉิน ตอนนั้นมึงพูดว่าอะไร?" สมองของเฉินเฉินโล่งไปหมด โชคดีที่เขาคิดเสมอว่าเสิ่นหยินอู้ดูถูกภูมิหลังครอบครัวของเขา และต้องการอยู่กับคนที่มีอำนาจมากกว่านี้ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะได้ยินคำพูดที่ล่วงเกินของเขา เมื่อเขาคิดได้ว่าคำพูดนี้ที่เขาพูดในตอนนั้นอาจทำให้เขาพลาดคนดีๆไป เฉินเฉินก็อยากตบหน้าตัวเองแรงๆสักที “ไม่ใช่แบบนั้นนะ!” เฉินเฉินกัดฟันและอธิบายด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “คำพูดในตอนนั้น ผมก็แค่นึกสนุกเลยพูดออกมาไร้สาระแบบนั้น ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินคุณเลยสักนิด” หากเขาแค่นึกสนุกจริงๆ เขาคงไม่ดั้นด้นไปหาเธอในทันทีหลังจากได้ยินว่าเธอจะไปแช่น้ำพุร้อนหรอก "นึกสนุกเหรอ?" เสิ่นหยินอู้เอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับกำลังคิดเกี่ยวกับคำคำนี้ จากนั้นครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยขึ้นว่า "ที่แท้คำพูดแบบนี้ในสายตาของคุณชายเฉินมันก็เป็นแค่ความสนุกสินะ?" เฉินเฉิน "ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น! ผมหมายถึง..." “เอาเถอะคุณชายฉิน เราก
“คุณผู้ชายของพวกคุณคือใครคะ?” เสิ่นหยินอู้ถาม ชายคนนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อยและยังคงรักษาความสุภาพตามเดิมเอาไว้ แต่เขากลับไม่ได้บอกเสิ่นหยินอู้ว่าคุณผู้ชายของพวกเขาคือใคร อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ทำอะไรหยาบคายกับเธอ ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอเม้มริมฝีปากและไม่ขยับไปไหน “คุณหนูเสิ่น มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่หลินโยวโยวที่อยู่ข้างๆเธอ "ปล่อยเธอไปก่อนได้ไหม?" ชายร่างใหญ่อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า "แน่นอนอยู่แล้วครับ" อย่างไรก็ตาม คุณผู้ชายของพวกเขาบอกแค่ให้พาเสิ่นหยินอู้ไป แต่พวกเขาจึงไม่สนใจคนอื่น คำตอบนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้สบายใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาตกลงที่จะปล่อยหลินโยวโยวออกไป หมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรและคงไม่ได้เป็นศัตรูกับเธอ ไม่เช่นนั้นคงจะกังวลว่าหลังจากที่หลินโยวโยวหนีออกไป เธอคงจะไปตามคนมาช่วยแน่ “พี่หยินอู้ ฉันไม่ไป” หลินโยวโยวกอดแขนเธอไว้แน่น "ฉันจะไปด้วยกันกับพี่" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "เธอกลับไปก่อน" เธอขยิบตาให้หลินโยวโยว แต่ก็
เสิ่นหยินอู้คิดไม่ถึงว่าเธอเฉลียวฉลาดมากเพียงนี้ที่หลังจากออกไปข้างนอกได้ก็โทรหาฉินเย่ทันที ถ้าเป็นตอนปกติ เธอคงจะต้องชมหลินโยวโยวว่าฉลาด แต่ช่วงนี้เธอกับฉินเย่อยู่ในช่วงของสงครามเย็นกันอยู่พอดี เธอจึงไม่สามารถชมโยวโยวได้ในตอนนี้ และด้วยนิสัยของฉินเย่ ถ้าเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้ เขาอาจจะตำหนิเธออีกครั้ง เมื่อนึกถึงความเข้มงวดของเขาที่ทำเหมือนกับเป็นพี่ชายของเธอ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก ผู้ชายปกติมักจะตามใจผู้หญิงที่พวกเขาชอบ และพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มเบาหูเพียงเพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายตกใจกลัว แต่ฉินเย่มักจะดุร้ายกับเธอมาก เหมือนกับว่าเขาเป็นพี่ชายของเธอ นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเสิ่นหยินอู้จึงรู้สึกว่าเขาไม่ชอบเธอ ขณะที่เธอจมอยู่ในภวังค์ ที่ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าที่หนักแน่นดังขึ้น และในขณะเดียวกันก็มีเสียงการทักทายจากชายร่างใหญ่ที่เฝ้าประตูอยู่ดังขึ้น “คุณชายโม่” คุณชายโม่? โม่? นามสกุลนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตกตะลึงไปชั่วขณะ “เธออยู่ที่ไหน?” เสียงที่แปลกแต่กลับคุ้นเคยเล็กน้อยดังขึ้น “คุณหนูเสิ่นอยู่ด้านในครับ” “อืม พวกแกลงไปได้” เสียงของเขาต่ำทุ้มแล
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ