เมื่อรู้สึกว่าโลกกำลังหมุนอยู่ ภายในหัวของเสิ่นหยินอู้ก็มีเพียงความคิดเดียวที่เหลืออยู่ เขาไม่ได้บอกว่าจะนับหนึ่งสองสามเหรอ? แล้วสามหละ? ฉินเย่เป็นคนสูงและขายาว ดังนั้นทั้งสองจึงกลับไปถึงที่ห้องอย่างรวดเร็ว เดิมทีเสิ่นหยินอู้คิดว่าหลังจากกลับไปถึงที่ห้องเขาจะวางเธอลง แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากที่เขาเข้าไปในห้อง เขาก็ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าถูกคนปิดจุดฝังเข็มของเขา "วางฉันลงนะ" เขาทำเหมือนว่าไม่ได้ยิน จากนั้นก็ก้มศีรษะลงแล้วใช้ดวงตาสีดำเข้มคู่นั้นมองเธออย่างเงียบๆ “เรื่องของฉูฉู่ ผมจะคุยให้รู้เรื่อง” เสิ่นหยินอู้ "?" หมายความว่าอะไร? คุยอะไรให้รู้เรื่อง? “คุณไม่ได้บอกว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเธอไม่ชัดเจนหรอกเหรอ? นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะไม่มาปรากฏตัวต่อหน้าคุณอีก ผมจะไม่ให้เธอไปที่บริษัท แล้วก็จะไม่ให้เธอมาที่บ้านและไม่ให้เธอสวมเสื้อผ้าของคุณด้วย” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นรัว เขาพูดแบบนี้ หมายความว่าอะไรกัน? จะไม่ยอมให้เจียงฉูฉู่ไปที่บริษัท แล้วก็จะไม่ให้เธอมาที่บ้าน ทำไมจู่ๆเขาถึงทำเช่นนี้? "ทำไมหละ?" เสิ่นหยินอู้ไม่
ดูเหมือนว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ดี เมื่อครู่นี้เขาลืมเรื่องนี้ไปชั่วขณะ อาจเป็นเพราะศักดิ์ศรีของผู้ชายที่ทำให้เขาเสียสติไป สิ่งที่น่าขันก็คือ เธอยังมีความหวังสำหรับเขาอยู่ มันช่างน่าขันสิ้นดี มันคงจะเป็นวันนั้นที่เจียงฉูฉู่กลับมา ตอนนั้นที่เขาจูบเธออย่างเร่าร้อนและเมื่อเธอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขากลับถอนตัวออกไป และตอนนั้นที่เขานอนข้างเธอแต่กลับพูดถึงเรื่องการหย่าร้าง ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็ผลักเขาออกไป เท้าของเธอแตะลงบนพื้น และเธอก็กลับไปที่ห้องของเธอเพื่อพักผ่อน ฉินเย่ไม่ได้ตามเธอไปอีก สิ่งที่แปลกก็คือ ในวันนั้นเจียงฉูฉู่ไม่ได้โทรหาเธอหรือส่งข้อความหาเธอเลย เธอเงียบหายไปตลอดทั้งวัน หากเธอไม่มาหาหยินอู้ หยินอู้ก็ย่อมไม่ไปหาเธอวันถัดมา เนื่องจากคุณนายฉินเอาแต่บอกว่าไม่จำเป็นต้องดูแลเธอ เธอแสร้งทำเป็นโกรธเพราะกลัวว่าจะทำให้งานของหยินอู้และฉินเย่ล่าช้า เสิ่นหยินอู้เอาชนะความดื้อรั้นของเธอไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงกลับไปที่บริษัท แต่ความจริงก็คือ หลายวันมานี้เธอกับฉินเย่ส่วนใหญ่อยู่บ้านเพื่อจัดการกับงาน ดังนั้นความคืบหน้าขอ
ขณะที่คิด เสียงของเถ้าแก่ก็ทำลายความคิดของเธอลง “แม่หนู โจ๊กแปดทรัพย์กับซาลาเปาไส้ครีมได้แล้ว” หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เรียกสติกลับคืนมาและเห็นว่าเถ้าแก่เอาของที่เธอสั่งใส่ถุงเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเอื้อมมือไปรับมันมา “ขอบคุณค่ะ หนูจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วนะคะ” “โอเคครับ ค่อยๆเดินนะครับ โอกาสหน้ามาใหม่นะครับ” เสิ่นหยินอู้ถือถุงขึ้นมาแล้วหันหลังเพื่อเดินออกไป ในระหว่างทาง เธอยังคงรู้สึกเหมือนมีคนกำลังเฝ้ามองเธออยู่ จนกระทั่งเธอเข้าไปในบริษัท สายตาคู่นั้นก็หายไป เมื่อครู่นี้มีใครอยู่ในรถสีดำคันนั้นหรือไม่? ที่จริงแล้วตอนที่เธอเดินกลับมา เธอก็มีความคิดที่จะเดินเข้าไปดูผุดขึ้นมา ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคนอยู่ แค่เดินเข้าไปดูก็คงจะรู้แล้วสินะ? แต่เมื่อเธอคิดถึงเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ เธอจึงไม่ได้เดินเข้าไปดู ยิ่งไปกว่านั้น รถที่จอดอยู่ในลานจอดรถจอดอยู่ที่นั่นในตอนกลางวันแสกๆ มันจึงไม่ควรมีใครอยู่ในรถ เสิ่นหยินอู้ขยี้ตของตัวเอง เธอคิดว่าบางทีเธออาจจะคิดมากไป ติ๊ง-- ลิฟต์มาพอดี เสิ่นหยินอู้เดินเข้าไปในลิฟต์ ตอนที่เธอยุ่งในช่วงบ่าย เธอก็ลืมเหตุก
“อืมอืม!” หลินโยวโยวได้ความมั่นใจของเธอกลับคืนมาด้วยคำพูดไม่กี่ประโยคของหยินอู้ เมื่อเสิ่นหยินอู้หันกลับไป หลินโยวโยวก็แอบมองเธอจากด้านข้าง พี่หยินอู้... ช่างเป็นคนดีมากและเก่งมากจริงๆ เมื่อไรตัวเธอจะเป็นเหมือนพี่หยินอู้ได้กันนะ? สถานที่นัดหมายคือร้านเหล้าแห่งหนึ่ง เมื่อลงจากรถ เสิ่นหยินอู้ก็มองไปที่สถานบันเทิงตรงหน้าและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ใครเป็นคนเลือกที่นี่?” การแสดงออกของหลินโยวโยวดูอ้ำๆอึ้งๆ "ก็ ก็ฉินกรุ๊ปไง" เมื่อได้ยิน คิ้วของเสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วแน่นขึ้น "มีคนมากมายหลายหน้าในร้านเหล้า มันไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมสำหรับการพูดคุยเรื่องต่างๆ เธอไม่ได้เป็นคนเลือกสถานที่กับพวกเขาเหรอ?" เมื่อเสิ่นหยินอู้พูดเช่นนี้ หลินโยวโยวก็ตกตะลึง “ฉัน ฉันไม่รู้ ฉันคิดว่าพวกเขาบอกว่าเอาที่ไหนก็ต้องเอาที่นั่น” และก่อนที่จะมาที่นี่ หลินโยวโยวก็ไม่ทราบว่าที่นี่คือร้านเหล้า ดูๆไปแล้ว มันดูไม่ค่อยได้มาตรฐานเสียเลย “ต่อจากนี้ เวลามีคนนัด เธอต้องเช็คก่อนเสมอว่าเป็นสถานที่แบบไหนและเหมาะที่จะคุยงานหรือไม่ ถ้าไม่เหมาะ ก็เปลี่ยนสถานที่เองเลย” หลินโยวโยวทำได้เพียงพยักหน้าแห้งๆ "เข้าใจแล้
และในช่วงที่เงียบสงัดนี้ ชายคนหนึ่งซึ่งดูนิสัยแย่ที่อยู่ในห้องก็พูดขึ้น “เลขาคนสวย ทำไมถึงอยากเปลี่ยนที่หละ? พวกเรากับคุณชายเฉินเป็นเพื่อนกัน มีอะไรที่เรารู้ไม่ได้เหรอครับ? สบายใจได้ ต่อให้เราจะรู้ไม่ได้จริงๆ เราก็จะทำเป็นปิดหูปิดตา” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้ว เธอมองชายคนที่พูดจาสามหาวด้วยสายตาที่แหลมคมขึ้นกว่าเดิม หลังจากอยู่กับฉินเย่มาเนิ่นนาน ออร่าที่ออกมาจากร่างกายของเสิ่นหยินอู้ก็คล้ายกับของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อครู่นี้ที่เธอกวาดสายตาไปมองเขา ชายคนที่พูดก็ตกใจจนเงียบไปทันที จากนั้นก็หดคอของเขาลง เมื่อเสิ่นหยินอู้ลากสายตามองไปทางอื่น เมื่อชายคนนั้นรู้ตัวอีกทีเขาก็ตอบสนอง ให้ตายเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับเขาเมื่อครู่นี้? นี่เขากลัวหญิงสาวตัวเล็กๆคนหนึ่งจริงๆเหรอ? ชิ เขาปะทะกับปีศาจเข้าให้แล้วสินะ? “เลขาเสิ่น มันไม่สะดวกที่จะเปลี่ยนสถานที่ครับ ถ้าคุณทนดมกลิ่นพวกนี้ไม่ได้ งั้นก็เปิดประตูห้องทิ้งไว้เพื่อให้กลิ่นกระจายออกไปดูไหมครับ?” เฉินเฉินยิ้มในขณะที่เขาพูด ซึ่งดูเหมือนกับคนหน้าเนื้อใจเสือ เพื่อนคนที่อยู่ข้างๆเขาดูจะรู้กาลเทศะมาก เขาตะโกนสั่งว่า "
“ยังไงซะก็ออกมาเล่นทั้งที ดื่มสักแก้วเถอะ” ในขณะที่ทุกคนสร้างความปั่นป่วน เสิ่นหยินอู้ก็มองเฉินเฉินด้วยสายตาที่เย็นชา "ฉันมาที่นี่เพื่อเล่นกับคุณหรือเปล่า" รอยยิ้มบนริมฝีปากของเฉินเฉินจางหายไปเล็กน้อย หากเป็นเมื่อก่อน เขาอาจจะไม่กล้าทำอะไรเพราะเห็นแก่หน้าของฉินเย่ แต่เมื่อเร็วๆนี้เขาได้ยินข่าวลือบางอย่าง เขาจึงคิดถึงเธออย่างหาที่สุดมิได้ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อคิดเช่นนั้น เฉินเฉินก็ยกริมฝีปากขึ้นอีกครั้ง เขาหยิบแก้วเหล้าขึ้นมาแล้วเข้าไปข้างๆเสิ่นหยินอู้ “เลขาเสิ่น ต่อให้คุณอยากจะคุยเรื่องงานก็ไม่จำเป็นต้องจริงจังขนาดนั้น คุณทำงานหนักขนาดนี้แล้วคุณได้อะไร? เขาพาผู้หญิงอื่นไปที่บริษัทต่อหน้าคุณแท้ๆ ในเมื่อเป็นแบบนี้ คุณคงต้องคิดแผนสำรองให้กับตัวเองหน่อยนะ” เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าวันนี้เฉินเฉินกำเริบเสิบสานเป็นพิเศษ เธอไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรื่องนี้มา เธอจ้องมองเขาด้วยความดูถูกในสายตาของเธอ ราวกับกำลังพูดว่า: ต่อให้ฉันกับฉินเย่จะหย่ากัร คุณคิดว่าคุณจะมีโอกาสรึไง? เฉินเฉินแทบไม่สามารถฝืนรักษารอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาให้คงอยู่ได้อีกต่อไป เขารู้ว่าเสิ่นหยินอู้ดูถูกเขามาโดยตลอด ไม่
เมื่อเห็นว่าเขาหน้าซีด เสิ่นหยินอู้ก็เดาได้ว่าเขาคงนึกเรื่องนั้นออก “ยังไงหละ? คุณชายเฉินคงยังไม่ลืมสิ่งที่ตัวเองพูดไว้ในตอนนั้นใช่ไหม?” เพื่อนที่อยู่ข้างๆเขาถามขึ้นอย่างสงสัย "ไอเฉิน ตอนนั้นมึงพูดว่าอะไร?" สมองของเฉินเฉินโล่งไปหมด โชคดีที่เขาคิดเสมอว่าเสิ่นหยินอู้ดูถูกภูมิหลังครอบครัวของเขา และต้องการอยู่กับคนที่มีอำนาจมากกว่านี้ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเธอจะได้ยินคำพูดที่ล่วงเกินของเขา เมื่อเขาคิดได้ว่าคำพูดนี้ที่เขาพูดในตอนนั้นอาจทำให้เขาพลาดคนดีๆไป เฉินเฉินก็อยากตบหน้าตัวเองแรงๆสักที “ไม่ใช่แบบนั้นนะ!” เฉินเฉินกัดฟันและอธิบายด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “คำพูดในตอนนั้น ผมก็แค่นึกสนุกเลยพูดออกมาไร้สาระแบบนั้น ผมไม่ได้มีเจตนาที่จะล่วงเกินคุณเลยสักนิด” หากเขาแค่นึกสนุกจริงๆ เขาคงไม่ดั้นด้นไปหาเธอในทันทีหลังจากได้ยินว่าเธอจะไปแช่น้ำพุร้อนหรอก "นึกสนุกเหรอ?" เสิ่นหยินอู้เอียงศีรษะเล็กน้อยราวกับกำลังคิดเกี่ยวกับคำคำนี้ จากนั้นครู่หนึ่งเธอก็เอ่ยขึ้นว่า "ที่แท้คำพูดแบบนี้ในสายตาของคุณชายเฉินมันก็เป็นแค่ความสนุกสินะ?" เฉินเฉิน "ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น! ผมหมายถึง..." “เอาเถอะคุณชายฉิน เราก
“คุณผู้ชายของพวกคุณคือใครคะ?” เสิ่นหยินอู้ถาม ชายคนนั้นยิ้มออกมาเล็กน้อยและยังคงรักษาความสุภาพตามเดิมเอาไว้ แต่เขากลับไม่ได้บอกเสิ่นหยินอู้ว่าคุณผู้ชายของพวกเขาคือใคร อย่างไรก็ตาม หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ทำอะไรหยาบคายกับเธอ ในที่สุด เสิ่นหยินอู้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอเม้มริมฝีปากและไม่ขยับไปไหน “คุณหนูเสิ่น มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?” เสิ่นหยินอู้มองไปที่หลินโยวโยวที่อยู่ข้างๆเธอ "ปล่อยเธอไปก่อนได้ไหม?" ชายร่างใหญ่อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า "แน่นอนอยู่แล้วครับ" อย่างไรก็ตาม คุณผู้ชายของพวกเขาบอกแค่ให้พาเสิ่นหยินอู้ไป แต่พวกเขาจึงไม่สนใจคนอื่น คำตอบนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้สบายใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาตกลงที่จะปล่อยหลินโยวโยวออกไป หมายความว่าอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการจะทำเรื่องเลวร้ายอะไรและคงไม่ได้เป็นศัตรูกับเธอ ไม่เช่นนั้นคงจะกังวลว่าหลังจากที่หลินโยวโยวหนีออกไป เธอคงจะไปตามคนมาช่วยแน่ “พี่หยินอู้ ฉันไม่ไป” หลินโยวโยวกอดแขนเธอไว้แน่น "ฉันจะไปด้วยกันกับพี่" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย "เธอกลับไปก่อน" เธอขยิบตาให้หลินโยวโยว แต่ก็