พ่อบ้าน"……"ที่จริงแล้ว เขาสัมผัสได้ลางๆว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติระหว่างฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้ และยังรู้ว่าฉินเย่นอนที่ห้องหนังสือเมื่อคืนนี้อีก เมื่อเขาตื่นแต่เช้า เขาก็พบว่าไฟในห้องหนังสือเปิดอยู่ เมื่อเขามองเข้าไปก็เห็นฉินเย่อยู่ข้างในดวงตาของเขามืดมนและใบหน้าของเขาก็ดูบึ้งตึง เขาถามด้วยเสียงแหบแห้ง "ทำอะไรน่ะ?"พ่อบ้านตกใจกลัวกับท่าทางของเขาขึ้นมาในทันทีจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาหลังจากนั้น ฉินเย่ก็ไม่ทานแม้แต่อาหารเช้าด้วยซ้ำ จากนั้นก็เดินตรงไปที่โรงจอดรถด้วยสีหน้าที่เย็นชาเมื่อเห็นเสิ่นหยินอู้เดินออกไป พ่อบ้านก็ได้แต่ถอนหายใจเบาๆในใจ เขารู้สึกหมดคำจะพูดเสิ่นหยินอู้สวมเสื้อคลุมของเธอในขณะที่เดินออกไปข้างนอกตอนนี้ยังเช้าอยู่ ข้างนอกก็หนาวมาก และอุณหภูมิในโรงรถก็เย็นยิ่งกว่าในอุณหภูมิที่หนาวเย็นเช่นนี้ ฉินเย่สวมเสื้อเชิ้ตตัวบางๆ เขาคีบบุหรี่อยู่ในมือ และเอนตัวพิงอยู่กับรถเมื่อเสิ่นหยินอู้เข้ามาใกล้ เรียกได้เลยว่าภาพลักษณ์ของคนทั้งสองคนนั้นแตกต่างกันอย่างมากฉินเย่ที่ไม่ได้นอนมาทั้งคืนดูโทรมเล็กน้อย ตรงกันข้ามกับเสิ่นหยินอู้ที่แต่งหน้าแล้ว ความแตกต่างนี้ชัดเจนมากฉินเย่ได้ย
แม้ว่าคนที่รออยู่ที่สำนักงานพลเรือนจะไม่มากนัก แต่พวกเขาก็มาทีหลัง ก็เลยยังต้องรอเมื่อคืนเสิ่นหยินอู้นอนไม่หลับ เธอรู้สึกเหนื่อยมาก จึงหาที่นั่งและนั่งลงฉินเย่เดินตามเธอไป แต่สีหน้าของเขายังคงมืดมน และเขาก็ไม่ได้นั่งลงที่ข้างๆเสิ่นหยินอู้ถึงแม้จะเข้ามาในสำนักงานพลเรือนแล้ว แต่เสิ่นหยินอู้ก็ยังคงอยู่ในอารมณ์ที่ดูสงบเธอเงยหน้าขึ้นมามองที่ฉินเย่แล้วถามว่า "คุณไม่นั่งเหรอ?" "ไม่ต้องหรอก" เสียงของฉินเย่เย็นชาจนไม่มีแม้แต่ความอบอุ่น เขาไม่มองเธอด้วยซ้ำเสิ่นหยินอู้เข้าใจดีว่าเขาคงไม่อยากที่จะสนใจเธอใช่สิ พวกเขากำลังจะหย่าร้างกัน และอีกไม่นานเขาก็จะไปครองรักอยู่ด้วยกันกับเจียงฉูฉู่ แล้วเขาจะมาสนใจเธอไปทำไม?โชคดีที่เธอไม่ได้คาดหวังว่าหลังจากหย่ากันแล้วพวกเขาจะยังคงเป็นเพื่อนกันได้ช่วงแรกๆก็ยังไม่มีอะไร แต่พอทั้งสองอยู่ตรงนี้นานขึ้น เสียงซุบซิบรอบๆก็เริ่มดังขึ้น“บรรยากาศแบบนี้…พวกเขามาหย่าสินะ?”“หย่าเหรอ? ไม่หรอกมั้ง สองคนนี้หน้าตาดีขนาดนี้จะหย่ากันได้จริงๆเหรอ?”“ฉันไม่เข้าใจเลย หน้าตาดีกันขนาดนี้ ถ้าจะหาคนที่ดีกว่าอีกฝ่ายคงจะยากใช่ไหมหละ? จะหย่ากันไปทำไมกันนะ? น่าเสียด
หลังจากพูดจบ เธอก็ก้มศีรษะลงอีกครั้ง และคาดเดาถึงเหตุผลที่ฉินเย่เปลี่ยนไปอยู่ภายในใจเห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขาทำหน้าบูด แต่หลังจากที่ได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาของคนเหล่านั้น สีหน้าของเขาก็ไม่ได้บูดขนาดนั้นแล้ว และเขายังสนใจด้วยซ้ำว่าเธออยากจะทานอะไรหรือไม่?เป็นเพราะ...เขาคิดว่าเธอทำแท้ง ดังนั้นจึงรู้สึกผิดอยู่ในใจแล้วจึงเป็นแบบนี้หรือเปล่า?“คุณไม่ได้กินข้าวเช้ามาไม่ใช่เหรอ?” ฉินเย่พูดอีกครั้งเสิ่นหยินอู้พยักหน้าตอบโดยอัตโนมัติ "แต่ฉันไม่หิว"สาเหตุหลักๆคือเพราะเธอไม่มีความอยากอาหารต่างหาก“ตอนนี้คุณยังไม่หิว แล้วหลังจากนี้หละ จะไม่หิวงั้นเหรอ? หลังจากเราไปที่โรงพยาบาลแล้ว เราจะไม่มีเวลามาซื้ออาหารเช้าระหว่างทางหรอกนะ”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจ เธอจึงพยักหน้า "ก็ได้ งั้นเราไปกินอาหารเช้ากันก่อนดีไหม?"“ผมจะไปซื้อเอง คุณรออยู่ที่นี่ก็พอ”หลังจากพูดจบ ฉินเย่ก็เดินออกจากสำนักงานพลเรือนไปหลังจากออกมา เขาก็ไม่รีบร้อนที่จะไปซื้ออาหารเช้า แต่กลับพิงกำแพงเพื่อสูบบุหรี่แทน เมื่อถูกลมหนาวข้างนอกพัดใส่ เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาไม่น้อยเขาพิงกำแพงและหลับตาลง ขนตาของเขาปิดบั
หลังจากรับถุงอาหารมา เสิ่นหยินอู้ก็เห็นว่าสิ่งที่ฉินเย่ซื้อมาคืออาหารฟาสฟู้ด ตอนนี้เธอไม่ได้มีความอยากอาหารมากนัก ดังนั้นเธอจึงแค่เปิดมันออกมาดู ก่อนจะเก็บมันไปฉินเย่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นรับรู้ทุกการกระทำของเธอจากหางตา“คุณไม่ชอบเหรอ?”หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็กลับมามีสติอีกครั้ง และส่ายหัว "เปล่าหรอก ฉันแค่ยังไม่อยากกินน่ะ"หลังจากนั้นฉินเย่ก็ไม่พูดอะไรต่อ และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็นั่งลงข้างๆเธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาสวมเสื้อผ้าน้อยเกินไป หรือเพราะเขาเพิ่งเข้ามาจากข้างนอก เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าเมื่อเขานั่งลง อุณหภูมิรอบๆตัวเธอก็ลดลงตามเสิ่นหยินอู้สังเกตเห็นว่าเขายังคงสวมเสื้อเชิ้ตบางๆตัวนั้นตัวเดียวอยู่ริมฝีปากของเธอจึงขยับ แต่เธอลังเลที่จะพูด และในที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างเงียบๆแม้จะอยู่ใกล้กัน แต่ก็ดูห่างไกลราวกับอยู่คนละฟากฟ้าเสิ่นหยินอู้มองดูพวกผู้หญิงเหล่านั้นที่มาพูดคุยเธอ พวกเธอต่อแถวเข้าไปพร้อมกันกับแฟนของพวกเธอที่อยู่ข้างๆ แล้วออกมาพร้อมกับหนังสือเล่มสีแดงในมือ ตอนที่พวกเขาเดินออกมา บางคู่ก้เป็นผู้ชายที่สวมกอดผู้หญิง หรือบางคู่ก็เป็นผู้ห
--ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและประสานนิ้วเข้าหากันเพราะความกังวล เธอตื่นตระหนกเป็นอย่างมากเธอคิดผิดเธอไม่ควรมาที่สำนักงานพลเรือนเลยเธอควรจะไปที่โรงพยาบาลทันทีที่เธอตื่นขึ้นมาไม่ เธอไม่ควรกลับมาเมื่อคืนนี้ เธอน่าจะอยู่กับคุณย่าที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำเธอรู้ดีว่าวันนี้คุณย่าจะต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่เธอกลับไปเพียงเพราะคำปฏิเสธของคุณย่า ทำไมเธอถึงโง่ขนาดนี้?เสิ่นหยินอู้โทษตัวเองอยู่ภายในใจอย่างต่อเนื่อง เธอเอนหลังและหลับตาลงในความทรงจำของเธอมีภาพต่างๆที่พร่ามัวแต่ก็ชัดเจนปรากฏขึ้นในหัวอย่างยุ่งเหยิงความเร็วรถนั้นเร็วมาก แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎจราจร รถหยุดลงที่สี่แยกไฟจราจร คิ้วหนาๆของฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากันหลังจากหยุดรถแล้ว ฉินเย่รู้สึกถึงท่าทีแปลกๆของเสิ่นหยินอู้ เขาจึงหันไปมองเธอจากนั้นก็สังเกตเห็นว่าริมฝีปากของเธอแดงก่ำฉินเย่ขมวดคิ้วและถามว่า "คุณเป็นอะไรไป?"ไม่มีการตอบสนองใดๆกลับมาเสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอซีด ขนตาของเธอสั่นระริก และริมฝีปากของเธอก็ขบกันแน่น ราวกับว่าเธอไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดเลยสีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนไป และเขาก็ยื่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฉินเย่จะเรียกชื่อของเธออย่างไร เธอก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเขาเลย ราวกับว่าเธอได้ปิดกั้นตัวเองออกไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นเธอทำท่าทางเช่นนี้ ฉินเย่ก็รู้สึกร้อนรนอยู่ภายในใจเวลาของไฟแดงหมดลงแล้ว แต่รถของเขาก็ไม่ขยับ เนื่องจากถูกรถของเขาขวางอยู่ รถด้านหลังก็เริ่มบีบแตรเพื่อเร่งเขาให้ขับออกไป ฉินเย่ฟังเสียงแตรอย่างต่อเนื่อง และทันใดนั้น เขาก็โน้มตัวไปข้างหน้ายกคางของเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แล้วจึงจูบเธอตามที่เขาคิดไว้เลย ปากของเธอก็ยังปิดแน่นสนิท ฉินเย่พยายามอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถรุกล้ำเข้าไปได้เขาขมวดคิ้วแล้วเอามือข้างหนึ่งจับที่เอวของเธอ จากนั้นก็ลองหยิกดูเบาๆเสิ่นหยินอู้รู้สึกจั๊กจี้แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะไม่กรีดร้องและหลบเขาเหมือนตามปกติ แต่ร่างกายที่แข็งกระด้างของเธอก็บ่งบอกได้ชัดว่าอย่างน้อยเธอก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อยฉินเย่ใช้ประโยชน์การตอบสนองเล็กๆน้อยๆของเธอ และเปิดปากของเธอออกมาได้สำเร็จการสัมผัสใกล้ชิดทำให้ฉินเย่ได้กลิ่นเลือดที่รุนแรง เขายังไม่ทันที่จะตำหนิเธอว่าไม่รู้จักสงวนตัว วินาทีต่อมาเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดในทันที จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงครว
“อะไรของผมนะ? ทำไมไม่พูดออกมา?”“……”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากของเธอแน่น ดูจากความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดของพวกเขาในตอนนี้แล้ว จะให้เธอพูดมันออกมาได้อย่างไร?“คุณไม่กล้าพูดเหรอ?” ฉินเย่พูดด้วยท่าทางที่ก้าวร้าวเล็กน้อยเสิ่นหยินอู้ลดสายตาลงอย่างกลัดกลุ้มฉินเย่หัวเราะ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า "ยังไม่ตายหรอก แค่เกือบถูกคุณกัดจนขาดเอง"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นทันที“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”“ดูแผลในปากตัวเองสิ รู้ตัวรึยัง?”“……”ดูเหมือนจะจริง เมื่อครู่นี้เธอใช้กระจกส่องดูตัวเอง แผลของเธอเองก็หนักอยู่แล้ว แล้วฉินเย่จะขนาดไหนกันเธอไม่สามารถโต้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่ก้มหน้าก้มตาและขอโทษเขาอีกครั้ง“ขอโทษนะ ถ้ามีครั้งหน้าอีก คุณก็ไม่ต้องสนใจฉันหรอก” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็ขมวดคิ้วแน่น “อะไรคือถ้ามีครั้งหน้า? เสิ่นนั่วนั่ว คุณสนุกกับการทำร้ายตัวเองรึไง? เรื่องแบบนี้อย่าให้เกิดขึ้นอีก”ถ้าวันนี้ไม่มีเขาอยู่ มันจะอันตรายแค่ไหนกัน?เสิ่นหยินอู้พึมพำว่า "ฉันเองก็ควบคุมมันไม่ได้เหมือนกัน ฉันจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นอีก?"ฉินเย่กวาดสายตามามองเธ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาทันทีโดยอัตโนมัติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีดำเข้มที่ดูมืดมนของเขา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่ากำลังถูกเขาจ้องมองทะลุเข้ามาในร้อนตัวของเธอ เธอจึงลากสายตามองไปทางอื่นและตอบอย่างไม่สนใจว่า "ก็ใช่ไง""จริงเหรอ?"ฉินเย่หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วจ้องมองดวงตาของเธอที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตา "แล้วทำไมถึงมีรอยคล้ำที่ใต้ตาได้หละ?"หลังจากพูดเช่นนั้น ฉินเย่ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ "ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้คุณสวมแว่นตา"“….”เสิ่นหยินอู้ดึงมือของเธอกลับและพูดอย่างไม่ใส่ใจ "ฉันเช็ดหมดแล้ว แต่คุณยังมีบาดแผลอยู่ ทางที่ดีคุณควรซื้อยามาทาทีหลัง ไปหาคุณย่ากันเถอะ"เมื่อพูดแบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันกลับและก้าวไปข้างหน้า ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินตามเธอไป “ตาของคุณมีรอยเลือดสีแดง” “มันหมายความว่าดวงตาของคุณเหนื่อยล้า เมื่อคืนคุณไม่ได้นอนใช่ไหม?”หลังจากเขาพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาและพูดอย่างเหลือทน "ฉินเย่ พอได้แล้ว"หลังจากพูดเช่นนั้น เธอก็เดินกระแทกรองเท้าส้นสูงเสียงดังแล้วเดินไปข้างหน้าหลังจากถามคุณหมอแล้วจึงทราบว่าคุณย่
โม่ไป๋เดินเข้ามาและพยุงเสิ่นหยินอู้ขึ้น"ตื่นก็ดีแล้ว มีตรงไหนรู้สึกไม่สบายไหม?"เสิ่นหยินอู้มองคนตรงหน้า รู้สึกว่าคนนี้ดูแปลกหน้า แต่เขากลับโอบเธอไว้ และท่าทางกับสายตาดูห่วงใยเธอมาก แต่......เธอไม่รู้จักเขาเลย"คุณคือ......?" คำถามแรกของเธอทำให้โม่ไป๋ถึงกับชะงัก"หืม?" โม่ไป๋คิดว่าตัวเองคงฟังผิด เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถามว่าเขาเป็นใคร? แต่คำถามต่อมาของเสิ่นหยินอู้ ทำให้เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้ฟังผิด "คุณคือใคร?" เสิ่นหยินอู้ถามอีกครั้ง คราวนี้น้ำเสียงฟังดูชัดเจนขึ้น และสายตาที่มองโม่ไป๋เต็มไปด้วยความสงสัย ไม่เพียงเท่านั้น เธอยังหันไปมองคนรอบข้างแล้วถามว่า "พวกคุณคือใคร?"ทุกคน "......" เธอไม่รู้จักพวกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะพวกเขาไม่เคยพบหน้าเธอมาก่อน และรู้แค่ว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่คุณโม่ไป๋ชอบก็พอแล้ว แต่ทำไมผู้หญิงคนนี้ดูเหมือนจะไม่รู้จักคุณโม่ไป๋เลย?เมื่อเห็นบาดแผลบนหน้าผากของเธอ มีหนึ่งคนพูดขึ้นอย่างเผลอๆ ว่า "เธอคงไม่ได้หัวกระแทกจนจำคุณโม่ไป๋ไม่ได้หรอกนะ?"คนข้างๆ "ไม่หรอกมั้ง? แค่กระแทกทีเดียวก็ความจำเสื่อมเลย? เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้จริงเหรอ?"
แต่หลังจากที่เขาพูดว่าตัวเองทำผิดแล้ว ดูเหมือนโม่ไป๋จะไม่ได้ฟังคำสารภาพของเขาเลย เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตาจับจ้องอยู่ที่เสิ่นหยินอู้ที่นอนอยู่บนเตียง หมอกำลังตรวจอาการของเสิ่นหยินอู้ หลังจากตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว หมอก็ถอดแว่นออก แล้วพูดกับโม่ไป๋ว่า “คุณโม่ ดูเหมือนคุณผู้หญิงท่านนี้จะมีแค่แผลที่ผิวเผินเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ไม่น่ามีปัญหาอะไรครับ” เมื่อเกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินหมอบอกว่าเสิ่นหยินอู้มีแค่บาดแผลที่ผิวเผิน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ยังดีที่เป็นแผลแค่ที่ผิวเผิน ถ้าเธอได้รับบาดเจ็บรุนแรงกว่านี้ เกรงว่าเขาคงไม่รอดชีวิตจากความโกรธของโม่ไป๋ ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าผลักแค่นั้นไม่น่าเป็นอะไร แต่กลับกลายเป็นว่าผู้หญิงคนนี้บอบบางมาก แค่ผลักนิดเดียวก็น็อกหมดสติไปได้"แต่ว่า......" ไม่คิดเลยว่าหมอจะเปลี่ยนคำพูดขึ้นมาทันทีโม่ไป๋ที่ยังคงกังวล ได้ฟังก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที "แต่ว่าอะไร?""แต่ว่าสิ่งที่ผมตรวจได้ตอนนี้มีแค่แผลภายนอกเท่านั้น เนื่องจากคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ควรพาไปโรงพยาบาลเพื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมเมื่อเธอตื่นแล้วครับ"เมื่อได้ยิน โม่ไป๋ก็เข้าใจสิ่งที่หมอหมา
"พี่โม่ไป๋ ฉัน......""ออกไปให้พ้น!" เขามักจะอบอุ่นอ่อนโยนเสมอ ไม่ว่าเมื่อไหร่ ในสายตาของหรงเค่ออิน โม่ไป๋ก็เป็นตัวแทนของสุภาพบุรุษมาโดยตลอด ดังนั้นวันนี้ที่เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ดุดัน ทำให้หรงเค่ออินตกใจกลัว เธอยืนตะลึงมองโม่ไป๋อยู่สักพักกว่าจะได้สติ แล้วจึงหันหลังวิ่งออกไป พอหันมาก็เจอเกาอวี่ที่พาหมอกลับมา เกาอวี่เห็นหรงเค่ออินมีสีหน้าลำบากใจเดินออกไป คาดว่าเธอคงไม่ได้รับการต้อนรับที่ดีจากโม่ไป๋ ทำให้เขาเองก็พลอยกังวลไปด้วยเมื่อเข้าไปข้างใน เขาไม่กล้าพูดอะไรที่มากเกินความจำเป็น ได้แต่พูดประเด็นหลักว่า "คุณโม่ หมอมาถึงแล้วครับ""เข้ามาดูหน่อย ว่าเธอบาดเจ็บตรงไหนบ้าง?"หมอเข้ามาตรวจดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นบาดแผลที่หน้าผากก็รีบทำแผลให้เธอ แล้วพูดว่า "ดูจากแผลนี้ น่าจะเป็นมาสักพักแล้วครับ" เมื่อโม่ไป๋ได้ยินก็หรี่ตาลงท่าทางอันตราย รังสีรอบตัวก็เย็นเยือกขึ้นอีกหลายเท่า เกาอวี่ถึงกับหดตัวด้วยความหวาดกลัว เขาคิดว่าโม่ไป๋จะตำหนิเขา แต่เปล่าเลย โม่ไป๋แค่เตือนหมอให้ตรวจเสิ่นหยินอู้อย่างละเอียด แล้วค่อยหันมามองเขา"มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?"เมื่อได้ยิน เกาอ
หรงเค่ออินกับเกาอวี่ที่เดินตามหลังโม่ไป๋เข้ามา พอเห็นภาพนี้ก็หน้าถอดสี ทั้งสองคนสบตากัน "ทำไมถึงเป็นแบบนี้?"ทางด้านโม่ไป๋ที่อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดว่า "ติดต่อให้หมอมาที่นี่ด่วน" แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเธอนอนอยู่บนพื้น ทุกความรู้สึกในใจเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความกังวลทันที เขาไม่มีอารมณ์อื่นใด นอกจากความเป็นห่วงและกลัวว่าเธอจะเป็นอะไร ปฏิกิริยาแรกของเขาคืออุ้มเธอขึ้นแล้วให้เกาอวี่ไปตามหมอ จากนั้นอุ้มเสิ่นหยินอู้วางลงบนเตียงนุ่มอย่างระมัดระวัง เกาอวี่ไปตามหมอ ส่วนหรงเค่ออินยังอยู่ที่นี่จากนั้นเธอก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าโม่ไป๋อุ้มเสิ่นหยินอู้ขึ้นเตียงด้วยท่าทางเอาใจใส่และระมัดระวังแค่ไหน ในใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและริษยา เธอรู้จักโม่ไป๋มานานขนาดนี้ แต่ไม่เคยเห็นพี่โม่ไป๋ดีกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน แต่ผู้หญิงคนนี้ มีสิทธิ์อะไรถึงได้รับการปฏิบัติเป็นพิเศษจากพี่โม่ไป๋? พี่โม่ไป๋ชอบผู้หญิงคนนี้จริงๆ เหรอ? คิดได้แบบนั้น หรงเค่ออินอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองโม่ไป๋ กัดริมฝีปากตัวเองแล้วถาม "พี่โม่ไป๋ พี่ชอบเธอเหรอคะ?" โม่ไป๋เหมือนจะไม่ได้ยิน
พูดจบ เธอก็ปล่อยมือเกาอวี่ทันที จากนั้นวิ่งไปทางประตู "พี่โม่ไป๋! กลับมาแล้วเหรอคะ?"พอโม่ไป๋เดินเข้าประตูมาถอดเสื้อคลุมส่งให้คนใช้เสร็จ เขาก็เห็นหรงเค่ออินที่วิ่งเข้ามาหา ดวงตาเรียวยาวของเขาหรี่ลงทันที "หรงเค่ออิน? เธอมาที่นี่ได้ยังไง?" ท่าทีเย็นชาของเขาทำให้หรงเค่ออินหยุดชะงักอยู่ตรงหน้าเขา น้ำเสียงที่เขาพูดกับเธอเย็นชาสุดๆ ทำให้ใจของหรงเค่ออินชาไปครึ่งหนึ่ง เธอตัวเกร็งเล็กน้อยแล้วพูดเบาๆ ว่า "ฉัน ฉันคิดถึงพี่ ก็เลยมาหาค่ะ" แต่น่าเสียดายที่สายตาที่โม่ไป๋มองเธอเหมือนมองคนแปลกหน้า พอฟังเธอพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเย็นชา "ใครก็ได้ พาหรงเค่ออินกลับไปที" เกาอวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็พยักหน้ารับ"ได้ครับ คุณโม่""ไม่!" หรงเค่ออินรีบขัดขึ้น "พี่โม่ไป๋ เราไม่ได้เจอกันตั้งนาน ฉันอุตส่าห์ลางานมาเจอพี่ นี่พี่รังเกียจฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?"เห็นได้ชัดว่าตอนนี้โม่ไป๋ไม่ได้สนใจเธอเลย แม้จะฟังที่เธอพูดไปแล้ว ในใจของเขาก็ไม่มีความรู้สึกใดๆ กลับตอบอย่างเย็นชาว่า "ฉันไม่มีเวลาต้อนรับเธอตอนนี้ เธอกลับไปก่อน ไว้โอกาสหน้าค่อยมาใหม่" พูดจบ โม่ไป๋ก็เดินตรงไปที่ชั้นบนทันที เขามีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้อง
หรงเค่ออินที่ตัดสินใจได้แล้วก็ดีใจเหมือนลิงโลดในใจ ก่อนจะหันมาถามว่า "พี่เกาอวี่ ตอนนี้พี่โม่ไป๋อยู่ที่ไหน เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?""คุณโม่ไป๋กำลังทำธุระสำคัญอยู่ครับ คงจะกลับมาช่วงค่ำ คุณหรงจะอยู่ทานข้าวเย็นที่นี่เลยไหมครับ?" หรงเค่ออินพยักหน้า "ได้ค่ะ งั้นฉันจะอยู่ทานข้าวที่นี่ด้วยเลย" พูดจบ เธอก็เหมือนนึกอะไรได้ หันไปมองห้องที่ล็อกอยู่พร้อมกับแค่นเสียง"ที่นี่......พี่โม่ไป๋คงไม่ได้มานานแล้วสินะ? ตอนนี้ดันกลับมาได้เพราะผู้หญิงคนนั้นเหรอ?" ยิ่งคิด หรงเค่ออินก็ยิ่งโกรธ อยากให้แรงที่ใช้ผลักเธอตอนนั้นมากกว่านี้ เธอน่าจะสั่งสอนอีกฝ่ายให้มากกว่านี้ ช่างเถอะ ถ้าหากเธอพักอยู่ที่นี่บ่อยๆ โอกาสที่จะจัดการผู้หญิงคนนั้นยังมีอีกเยอะหรงเค่ออินที่จะอยู่ต่อ ก็ให้เกาอวี่สั่งคนในบ้านมาจัดห้องให้ แล้วให้ส่งกระเป๋าของเธอมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พักอยู่ที่นี่เลย โดยที่ห้องของเธอเป็นห้องที่ใกล้กับโม่ไป๋ เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จ ก็ผ่านไปแล้วสามชั่วโมง หรงเค่ออินนอนอยู่บนเตียงใหญ่สักพัก ก่อนจะเดินออกไปถามเกาอวี่"ว่าแต่ ผู้หญิงที่พี่โม่ไป๋พากลับมา ได้สร้างความวุ่นวายอีกหรือเปล่า?"เกาอวี่ที่มัว
ถึงแม้ว่าเกาอวี่จะไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ที่มีผลกระทบต่อโม่ไป๋ แต่เขาก็ไม่กล้าลงมือกับเธอ เขาไม่คิดว่าหรงเค่ออินจะยื่นมือผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตู “คุณหรง......”หรงเค่ออินเงยหน้าขึ้นมองเขา “อะไรล่ะ? คุณไม่ได้บอกเหรอว่าเธอไม่อยากเข้าไป? งั้นฉันก็เลยใช้วิธีที่ง่ายที่สุดให้เธอเข้าไปไง พี่โม่ไป๋บอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าไม่ให้เธอหนีไปไหน? ทำไมยังไม่รีบล็อกประตูอีก?” เกาอวี่นิ่งไปสักพักก่อนจะยิ้มออกมา“คุณหรงพูดถูก ผมจะล็อกประตูเดี๋ยวนี้” ทั้งสองคนเข้ากันได้ดี ล็อกประตูอย่างรวดเร็วแล้วจากไปตอนที่จากไป ทั้งคู่ก้าวเท้าออกไปอย่างสบายใจ ไม่ได้สังเกตเลยว่าคนที่อยู่ในห้องล้มลงกับพื้นหลังจากถูกผลัก เสิ่นหยินอู้ไม่คิดว่าผู้หญิงคนนั้นจะวางอำนาจขนาดนี้ และยังลงมือผลักเธอเข้าไปในทันที หัวของเสิ่นหยินอู้กระแทกอย่างแรงทำให้เธอรู้สึกเจ็บ เธอพยายามพยุงตัวขึ้นด้วยมือ แต่ก็เกิดอาการวิงเวียนจนไม่สามารถทรงตัวได้ เธอยื่นมือไปแตะที่ท้ายทอย และพบกับความเปียกชื้น เธอยังไม่ทันได้มองความเปียกชื้นในฝ่ามือก็หมดสติไปอีกครั้ง – เกาอวี่เดินตามหรงเค่ออินลงบันได “คุณหรง ทำแบบนี้อาจทำให้คุณโม่ไม่พอใจนะครับ”“
ตอนขึ้นรถ เสิ่นหยินอู้เห็นที่นั่งข้างคนขับว่างอยู่ จึงนั่งลงตรงนั้นทันที ที่นั่งนี้เดิมทีเป็นของผู้ช่วยเฉิน ดังนั้นเมื่อคนขับเห็นเสิ่นหยินอู้นั่งอยู่ตรงนั้น จึงมองไปทางผู้ช่วยเฉิน“คุณเสิ่น ที่นั่งข้างคนขับไม่ปลอดภัยนะครับ ให้……”“ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเลือกที่นั่งเลยเหรอคะ?”“ให้เธอนั่งเถอะ ขอแค่เธอสบายใจก็พอ” เสียงของโม่ไป๋ดังออกมาจากหูฟังก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะทันได้พูดอะไร ผู้ช่วยเฉินจึงไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนขึ้นรถทีละคน เพราะก่อนหน้านี้คิดว่าเธอจะใส่แว่นตา รถจึงไม่ได้มีมาตรการป้องกันใดๆ เสิ่นหยินอู้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของถนนได้อย่างเต็มตา เธอมองเห็นทะเบียนรถ ไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็รู้ได้อย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือที่ไหน เสิ่นหยินอู้จึงนั่งสบายๆ ชมทิวทัศน์นอกหน้าต่าง รวมถึงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เส้นทางไม่ไกลนัก ประมาณหนึ่งชั่วโมง พวกเธอก็มาถึงที่หมาย เสิ่นหยินอู้ลงจากรถตามหลังผู้ช่วยเฉินคำแรกหลังลงจากรถของเธอคือ “ฉินเย่ อยู่ไหน?” ผู้ช่วยเฉินไม่ตอบ มีคนจากฝั่งประตูเดินเข้ามารับหน้าที่แทนเขาเขาพูดอะไรกับผู้ช่วยเฉินอยู่สองสามคำ ก่อนที่ผู้ช่วยเฉินจะจากไป และก่อนที่เขาจะไปเ
เกิดอะไรขึ้น?โม่ไป๋ไม่ได้ใช้ฉินเย่มาควบคุมเธอหรอกหรอ? ทำไมถึงกลัวว่าเธอจะบอกคนอื่นล่ะ? ถึงเธอจะบอกคนอื่น แต่เธอก็ไปไหนไม่ได้ไม่ใช่หรอ? เมื่อคิดถึงตรงนี้ เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกไม่พอใจเห็นเธอยืนนิ่ง ๆ ผู้ช่วยเฉินก็พูดขึ้นว่า “คุณเสิ่น ถ้าคุณต้องการไปเจอคุณฉิน ก็กรุณาอย่าทำให้ทุกคนลำบากเลยครับ และอย่าทำให้เสียเวลา ถ้าคุณยอมเอาโทรศัพท์ให้เร็วขึ้น เราก็จะเดินทางกันเร็วขึ้น แต่ถ้าคุณไม่อยากให้ก็ได้ครับ เรามีเวลาอยู่ที่นี่กับคุณ” ผู้ช่วยเฉินตอนนี้เหมือนคนละคนกับตอนที่อยู่บนเครื่องบิน การสื่อสารที่ถูกตัดไปบนเครื่องบินตอนนี้น่าจะกลับมาแล้ว พวกเขาน่าจะเข้าสู่สถานะที่ถูกดักฟังอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเธอจะต้องยอมให้โทรศัพท์ไปแล้ว เมื่อคิดแบบนี้ เสิ่นหยินอู้ถึงยอมส่งโทรศัพท์ของเธอให้ผู้ช่วยเฉิน เขารับโทรศัพท์ไปกดปิดเครื่องและดึงซิมออกเสิ่นหยินอู้"......" ทำแบบนี้อีกแล้ว สุดท้ายจะไม่ได้เอาโทรศัพท์ที่ไม่มีซิมคืนให้เธอหรอกใช่ไหม? แต่ครั้งนี้เธอเดาผิด ผู้ช่วยเฉินไม่ได้คืนโทรศัพท์ให้เธอ แต่เก็บมันไว้ทั้งหมด "เราไปกันเถอะครับ" หลังจากนั้นตามการนำของผู้ช่วยเฉิน พวกเขาก็ไปที่ลานจอดรถใ