หลังจากพูดจบ เธอก็ก้มศีรษะลงอีกครั้ง และคาดเดาถึงเหตุผลที่ฉินเย่เปลี่ยนไปอยู่ภายในใจเห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่เขาทำหน้าบูด แต่หลังจากที่ได้ยินเรื่องซุบซิบนินทาของคนเหล่านั้น สีหน้าของเขาก็ไม่ได้บูดขนาดนั้นแล้ว และเขายังสนใจด้วยซ้ำว่าเธออยากจะทานอะไรหรือไม่?เป็นเพราะ...เขาคิดว่าเธอทำแท้ง ดังนั้นจึงรู้สึกผิดอยู่ในใจแล้วจึงเป็นแบบนี้หรือเปล่า?“คุณไม่ได้กินข้าวเช้ามาไม่ใช่เหรอ?” ฉินเย่พูดอีกครั้งเสิ่นหยินอู้พยักหน้าตอบโดยอัตโนมัติ "แต่ฉันไม่หิว"สาเหตุหลักๆคือเพราะเธอไม่มีความอยากอาหารต่างหาก“ตอนนี้คุณยังไม่หิว แล้วหลังจากนี้หละ จะไม่หิวงั้นเหรอ? หลังจากเราไปที่โรงพยาบาลแล้ว เราจะไม่มีเวลามาซื้ออาหารเช้าระหว่างทางหรอกนะ”เมื่อได้ยินดังนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจ เธอจึงพยักหน้า "ก็ได้ งั้นเราไปกินอาหารเช้ากันก่อนดีไหม?"“ผมจะไปซื้อเอง คุณรออยู่ที่นี่ก็พอ”หลังจากพูดจบ ฉินเย่ก็เดินออกจากสำนักงานพลเรือนไปหลังจากออกมา เขาก็ไม่รีบร้อนที่จะไปซื้ออาหารเช้า แต่กลับพิงกำแพงเพื่อสูบบุหรี่แทน เมื่อถูกลมหนาวข้างนอกพัดใส่ เขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาไม่น้อยเขาพิงกำแพงและหลับตาลง ขนตาของเขาปิดบั
หลังจากรับถุงอาหารมา เสิ่นหยินอู้ก็เห็นว่าสิ่งที่ฉินเย่ซื้อมาคืออาหารฟาสฟู้ด ตอนนี้เธอไม่ได้มีความอยากอาหารมากนัก ดังนั้นเธอจึงแค่เปิดมันออกมาดู ก่อนจะเก็บมันไปฉินเย่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นรับรู้ทุกการกระทำของเธอจากหางตา“คุณไม่ชอบเหรอ?”หลังจากได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็กลับมามีสติอีกครั้ง และส่ายหัว "เปล่าหรอก ฉันแค่ยังไม่อยากกินน่ะ"หลังจากนั้นฉินเย่ก็ไม่พูดอะไรต่อ และไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็นั่งลงข้างๆเธอไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาสวมเสื้อผ้าน้อยเกินไป หรือเพราะเขาเพิ่งเข้ามาจากข้างนอก เสิ่นหยินอู้รู้สึกว่าเมื่อเขานั่งลง อุณหภูมิรอบๆตัวเธอก็ลดลงตามเสิ่นหยินอู้สังเกตเห็นว่าเขายังคงสวมเสื้อเชิ้ตบางๆตัวนั้นตัวเดียวอยู่ริมฝีปากของเธอจึงขยับ แต่เธอลังเลที่จะพูด และในที่สุดเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งสองคนนั่งอยู่อย่างเงียบๆแม้จะอยู่ใกล้กัน แต่ก็ดูห่างไกลราวกับอยู่คนละฟากฟ้าเสิ่นหยินอู้มองดูพวกผู้หญิงเหล่านั้นที่มาพูดคุยเธอ พวกเธอต่อแถวเข้าไปพร้อมกันกับแฟนของพวกเธอที่อยู่ข้างๆ แล้วออกมาพร้อมกับหนังสือเล่มสีแดงในมือ ตอนที่พวกเขาเดินออกมา บางคู่ก้เป็นผู้ชายที่สวมกอดผู้หญิง หรือบางคู่ก็เป็นผู้ห
--ระหว่างทางไปโรงพยาบาล เสิ่นหยินอู้กัดริมฝีปากล่างและประสานนิ้วเข้าหากันเพราะความกังวล เธอตื่นตระหนกเป็นอย่างมากเธอคิดผิดเธอไม่ควรมาที่สำนักงานพลเรือนเลยเธอควรจะไปที่โรงพยาบาลทันทีที่เธอตื่นขึ้นมาไม่ เธอไม่ควรกลับมาเมื่อคืนนี้ เธอน่าจะอยู่กับคุณย่าที่โรงพยาบาลด้วยซ้ำเธอรู้ดีว่าวันนี้คุณย่าจะต้องเข้ารับการผ่าตัด แต่เธอกลับไปเพียงเพราะคำปฏิเสธของคุณย่า ทำไมเธอถึงโง่ขนาดนี้?เสิ่นหยินอู้โทษตัวเองอยู่ภายในใจอย่างต่อเนื่อง เธอเอนหลังและหลับตาลงในความทรงจำของเธอมีภาพต่างๆที่พร่ามัวแต่ก็ชัดเจนปรากฏขึ้นในหัวอย่างยุ่งเหยิงความเร็วรถนั้นเร็วมาก แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกฎจราจร รถหยุดลงที่สี่แยกไฟจราจร คิ้วหนาๆของฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากันหลังจากหยุดรถแล้ว ฉินเย่รู้สึกถึงท่าทีแปลกๆของเสิ่นหยินอู้ เขาจึงหันไปมองเธอจากนั้นก็สังเกตเห็นว่าริมฝีปากของเธอแดงก่ำฉินเย่ขมวดคิ้วและถามว่า "คุณเป็นอะไรไป?"ไม่มีการตอบสนองใดๆกลับมาเสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอซีด ขนตาของเธอสั่นระริก และริมฝีปากของเธอก็ขบกันแน่น ราวกับว่าเธอไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดเลยสีหน้าของฉินเย่เปลี่ยนไป และเขาก็ยื่
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าฉินเย่จะเรียกชื่อของเธออย่างไร เธอก็ดูเหมือนจะไม่ได้ยินเขาเลย ราวกับว่าเธอได้ปิดกั้นตัวเองออกไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเห็นเธอทำท่าทางเช่นนี้ ฉินเย่ก็รู้สึกร้อนรนอยู่ภายในใจเวลาของไฟแดงหมดลงแล้ว แต่รถของเขาก็ไม่ขยับ เนื่องจากถูกรถของเขาขวางอยู่ รถด้านหลังก็เริ่มบีบแตรเพื่อเร่งเขาให้ขับออกไป ฉินเย่ฟังเสียงแตรอย่างต่อเนื่อง และทันใดนั้น เขาก็โน้มตัวไปข้างหน้ายกคางของเสิ่นหยินอู้ขึ้นมา แล้วจึงจูบเธอตามที่เขาคิดไว้เลย ปากของเธอก็ยังปิดแน่นสนิท ฉินเย่พยายามอย่างหนักแต่ก็ไม่สามารถรุกล้ำเข้าไปได้เขาขมวดคิ้วแล้วเอามือข้างหนึ่งจับที่เอวของเธอ จากนั้นก็ลองหยิกดูเบาๆเสิ่นหยินอู้รู้สึกจั๊กจี้แม้ว่าเสิ่นหยินอู้จะไม่กรีดร้องและหลบเขาเหมือนตามปกติ แต่ร่างกายที่แข็งกระด้างของเธอก็บ่งบอกได้ชัดว่าอย่างน้อยเธอก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อยฉินเย่ใช้ประโยชน์การตอบสนองเล็กๆน้อยๆของเธอ และเปิดปากของเธอออกมาได้สำเร็จการสัมผัสใกล้ชิดทำให้ฉินเย่ได้กลิ่นเลือดที่รุนแรง เขายังไม่ทันที่จะตำหนิเธอว่าไม่รู้จักสงวนตัว วินาทีต่อมาเขาก็ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดในทันที จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงครว
“อะไรของผมนะ? ทำไมไม่พูดออกมา?”“……”เสิ่นหยินอู้เม้มริมฝีปากของเธอแน่น ดูจากความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดของพวกเขาในตอนนี้แล้ว จะให้เธอพูดมันออกมาได้อย่างไร?“คุณไม่กล้าพูดเหรอ?” ฉินเย่พูดด้วยท่าทางที่ก้าวร้าวเล็กน้อยเสิ่นหยินอู้ลดสายตาลงอย่างกลัดกลุ้มฉินเย่หัวเราะ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า "ยังไม่ตายหรอก แค่เกือบถูกคุณกัดจนขาดเอง"เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นทันที“มันร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”“ดูแผลในปากตัวเองสิ รู้ตัวรึยัง?”“……”ดูเหมือนจะจริง เมื่อครู่นี้เธอใช้กระจกส่องดูตัวเอง แผลของเธอเองก็หนักอยู่แล้ว แล้วฉินเย่จะขนาดไหนกันเธอไม่สามารถโต้ตอบอะไรกลับไป ได้แต่ก้มหน้าก้มตาและขอโทษเขาอีกครั้ง“ขอโทษนะ ถ้ามีครั้งหน้าอีก คุณก็ไม่ต้องสนใจฉันหรอก” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินเย่ก็ขมวดคิ้วแน่น “อะไรคือถ้ามีครั้งหน้า? เสิ่นนั่วนั่ว คุณสนุกกับการทำร้ายตัวเองรึไง? เรื่องแบบนี้อย่าให้เกิดขึ้นอีก”ถ้าวันนี้ไม่มีเขาอยู่ มันจะอันตรายแค่ไหนกัน?เสิ่นหยินอู้พึมพำว่า "ฉันเองก็ควบคุมมันไม่ได้เหมือนกัน ฉันจะรู้ได้ยังไงว่ามันจะเกิดหรือไม่เกิดขึ้นอีก?"ฉินเย่กวาดสายตามามองเธ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาทันทีโดยอัตโนมัติเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีดำเข้มที่ดูมืดมนของเขา เสิ่นหยินอู้ก็รู้สึกว่ากำลังถูกเขาจ้องมองทะลุเข้ามาในร้อนตัวของเธอ เธอจึงลากสายตามองไปทางอื่นและตอบอย่างไม่สนใจว่า "ก็ใช่ไง""จริงเหรอ?"ฉินเย่หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วจ้องมองดวงตาของเธอที่ซ่อนอยู่ภายใต้แว่นตา "แล้วทำไมถึงมีรอยคล้ำที่ใต้ตาได้หละ?"หลังจากพูดเช่นนั้น ฉินเย่ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ "ไม่แปลกใจเลยที่วันนี้คุณสวมแว่นตา"“….”เสิ่นหยินอู้ดึงมือของเธอกลับและพูดอย่างไม่ใส่ใจ "ฉันเช็ดหมดแล้ว แต่คุณยังมีบาดแผลอยู่ ทางที่ดีคุณควรซื้อยามาทาทีหลัง ไปหาคุณย่ากันเถอะ"เมื่อพูดแบนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันกลับและก้าวไปข้างหน้า ฉินเย่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเดินตามเธอไป “ตาของคุณมีรอยเลือดสีแดง” “มันหมายความว่าดวงตาของคุณเหนื่อยล้า เมื่อคืนคุณไม่ได้นอนใช่ไหม?”หลังจากเขาพูดจบ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมาและพูดอย่างเหลือทน "ฉินเย่ พอได้แล้ว"หลังจากพูดเช่นนั้น เธอก็เดินกระแทกรองเท้าส้นสูงเสียงดังแล้วเดินไปข้างหน้าหลังจากถามคุณหมอแล้วจึงทราบว่าคุณย่
เจียงฉูฉู่โทรมาหาเขาในเวลานี้ก็เพื่อที่จะถามเขาว่าเขาหย่าร้างเรียบร้อยแล้วหรือไม่งั้นหรอ?- ที่นอกห้องผู้ป่วย ฉินเย่จงใจเดินออกไปไกลๆก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา "เย่?" เสียงของเจียงฉูฉู่ดังมาจากปลายสาย แม้ว่าฉินเย่จะอารมณ์ไม่ดี แต่เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดีขึ้นเมื่อต้องพูดกับเจียงฉูฉู่ "อืม ทำไมเช้าขนาดนี้?" เจียงฉูฉู่พูดอย่างเป็นกังวลจากปลายสายว่า "จริงๆแล้วฉันตื่นมานานมากแล้วหละ เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน ฉันกังวลมากนะ คุณย่าเป็นยังไงบ้าง? เข้าห้องผ่าตัดแล้วรึยัง? เย่ ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่ค่อยดีที่จะขออะไรในตอนนี้ แต่ฉันก็เป็นห่วงคุณย่า ฉันขอ... ไปดูด้วยได้ไหม? สบายใจได้ ฉันจะอยู่ข้างนอกและไม่ให้คุณย่าเห็นฉันอย่างแน่นอน ทันทีที่คุณย่าฟื้น ฉันจะรีบออกไปทันที และจะไม่เข้าไปเด็ดขาด” ท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตนของเธอทำให้ฉินเย่ขมวดคิ้ว เธอเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้แท้ๆ และเธอไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลย ฉินเย่ต้องการที่จะตอบตกลงกับเธอ แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ต้องหยุดการกระทำของเขาเอาไว้เพราะอาการป่วยของคุณย่า “ฉูฉู่ คุณย่ายังไม่เข้าห้องผ่าตัด”
น้อยครั้งที่เจียงฉูฉู่จะใส่อารมณ์ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน เธอมักจะอ่อนโยนและเป็นมิตรอยู่เสมอ เพราะเธอหน้าตาสะสวยบวกกับนิสัยดี เธอจึงเป็นเทพธิดาในสายตาของทุกคนมาโดยตลอด ดังนั้น เมื่อจู่ๆเธอก็โกรธขึ้นมา ทุกคนก็ตกตะลึงและมองดูเธอด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน บริเวณรอบๆนั้นก็เงียบไปชั่วขณะ ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของทุกคนและในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ จู่ๆเจียงฉูฉู่ก็เรียกสติกลับคืนมาได้และตระหนักได้ว่าเธอเพิ่งทำอะไรลงไปเมื่อครู่นี้ ริมฝีปากสีแดงของเธอขยับ และสุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงเปลี่ยนไปพูดว่า "ฉันขอโทษ เมื่อกี้ฉันอารมณ์ไม่ดีก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่ได้น่ะ ฉันขอโทษนะ" เพื่อรักษาภาพเทพธิดาที่อยู่ในใจของทุกคนไว้ เจียงฉูฉู่จึงทำได้เพียงขอโทษพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ดวงตาของเธอก็แดงก่ำ และน้ำตาของเธอที่เหมือนไข่มุกเม็ดใหญ่ๆก็ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย ในตอนแรก ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำพูดนั้นของเธอ แต่หลังจากได้ยินคำขอโทษอย่างต่อเนื่องและน้ำตาของเธอ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกสงสารขึ้นมา “ฉูฉู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าร้องไห้เลยนะ” "ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เธอบอกพวกเราได้นะ พวกเราจะช่วยเธอเอง" “ใช
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน
ฉินเย่เม้มริมฝีปาก สีหน้าไม่พอใจปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่หล่อเหลา ราวกับว่าเขาไม่เห็นด้วยกับคำพูดของเธอ เสิ่นหยินอู้ทำได้เพียงใช้แรงดึงมือของเธอออกมาเท่านั้น ทันใดนั้นสายตาของฉินเย่ก็แสดงความเจ็บปวดออกมาเล็กน้อย เสิ่นหยินอู้: "..." ขณะที่เธอพยายามจะเอามือออกมา เผยจ้าวเหิงก็พูดขึ้นว่า: "ประธานฉิน คุณหนูเสิ่น เราต้องรีบไปสนามบิน ขอตัวก่อนนะครับ" ทันทีที่เขาพูดจบ เผยจ้าวเหิงก็ถือโอกาสนี้จับมือของโจวชวงชวงและพาเธอออกไป "เฮ้เฮ้..." โจวชวงชวงคิดไม่ถึงว่าเขาจะจูงเธอออกไปเช่นนี้ หลังจากตอบสนองได้แล้ว เธอก็ตะโกนบอกเสิ่นหยินอู้: "หยินอู้ งั้นไว้เจอกันที่จีนนะ ฉันจะไปหาเธอหลังจากที่ฉันจัดการเรื่องทุกอย่างเสร็จแล้ว"เสิ่นหยินอู้โบกมือให้เธอ “โอเค ไว้เจอกันที่จีนนะ” โจวชวงชวงถูกเผยจ้าวเหิงพาออกไป เหลือเพียงฉินเย่กับเสิ่นหยินอู้เท่านั้นที่อยู่ ณ ตรงนั้น หลังจากเงียบไปหลายวินาที เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับเขาว่า: "พวกเขาไปกันแล้ว ทำไมคุณยังไม่ปล่อยมือล่ะ?" หลังจากได้ยิน ฉินเย่ก็ก้มศีรษะลงไปมองมือที่ทั้งสองจับกันอยู่ จากนั้นก็ยกมุมปากขึ้นอย่างน่ามอง “แล้วทำไมต้องปล่อยมือด้ว
ในเวลานี้หญิงสาวทั้งสองดูเศร้ามาก ดังนั้นฉินเย่จึงยืนเงียบๆอยู่ที่ประตูและไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเธอ หนึ่งนาที... สองนาที... จนกระทั่งห้านาทีผ่านไป ฉินเย่เลิกคิ้วอย่างเหลืออดเล็กน้อย ต้องกอดกันนานขนาดนั้นเลยเหรอ? เธอคงไม่ได้คิดจะแย่งหยินอู้ไปจากเขาจริงๆใช่ไหม? "อะแฮ่ม" เสียงกระแอมที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันดึงให้ทั้งสองกลับมาจากความคิด เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เสิ่นหยินอู้จึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่ทำเสียงนั้นออกมาคือฉินเย่ เขายืนอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่พวกเธอ ท่าทางราวกับว่าเขาอยู่ที่นี่มาสักพักหนึ่งแล้ว ในเวลานี้ โจวชวงชวงรีบคลายอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว "ประธานฉิน" "อืม" ฉินเย่ก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไป "พวกคุณกำลังคุยอะไรกันอยู่?" แม้ว่าเธอจะเป็นผู้หญิง แต่โจวชวงชวงก็รู้สึกได้ถึงความหึงหวงที่แผ่ออกมาจากร่างกายของฉินเย่อย่างอธิบายไม่ได้ เธอรู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่เธอยังคงตอบเขาด้วยความจริงใจ: "ไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่จะไปแล้ว ก็เลยมาบอกลาเธอ" ในตอนนี้ ฉินเย่ประหลาดใจเล็กน้อย “คุณจะไปแล้วเหรอ?” อาจเป็นเพราะเธอเพิ่งได้เจอหยินอู้เมื่อคืนนี้ แต่วันนี