เจียงฉูฉู่โทรมาหาเขาในเวลานี้ก็เพื่อที่จะถามเขาว่าเขาหย่าร้างเรียบร้อยแล้วหรือไม่งั้นหรอ?- ที่นอกห้องผู้ป่วย ฉินเย่จงใจเดินออกไปไกลๆก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา "เย่?" เสียงของเจียงฉูฉู่ดังมาจากปลายสาย แม้ว่าฉินเย่จะอารมณ์ไม่ดี แต่เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดีขึ้นเมื่อต้องพูดกับเจียงฉูฉู่ "อืม ทำไมเช้าขนาดนี้?" เจียงฉูฉู่พูดอย่างเป็นกังวลจากปลายสายว่า "จริงๆแล้วฉันตื่นมานานมากแล้วหละ เมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน ฉันกังวลมากนะ คุณย่าเป็นยังไงบ้าง? เข้าห้องผ่าตัดแล้วรึยัง? เย่ ฉันรู้ว่ามันอาจจะไม่ค่อยดีที่จะขออะไรในตอนนี้ แต่ฉันก็เป็นห่วงคุณย่า ฉันขอ... ไปดูด้วยได้ไหม? สบายใจได้ ฉันจะอยู่ข้างนอกและไม่ให้คุณย่าเห็นฉันอย่างแน่นอน ทันทีที่คุณย่าฟื้น ฉันจะรีบออกไปทันที และจะไม่เข้าไปเด็ดขาด” ท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตนของเธอทำให้ฉินเย่ขมวดคิ้ว เธอเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้แท้ๆ และเธอไม่ควรได้รับการปฏิบัติเช่นนี้เลย ฉินเย่ต้องการที่จะตอบตกลงกับเธอ แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ต้องหยุดการกระทำของเขาเอาไว้เพราะอาการป่วยของคุณย่า “ฉูฉู่ คุณย่ายังไม่เข้าห้องผ่าตัด”
น้อยครั้งที่เจียงฉูฉู่จะใส่อารมณ์ เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คน เธอมักจะอ่อนโยนและเป็นมิตรอยู่เสมอ เพราะเธอหน้าตาสะสวยบวกกับนิสัยดี เธอจึงเป็นเทพธิดาในสายตาของทุกคนมาโดยตลอด ดังนั้น เมื่อจู่ๆเธอก็โกรธขึ้นมา ทุกคนก็ตกตะลึงและมองดูเธอด้วยสีหน้าที่แตกต่างกัน บริเวณรอบๆนั้นก็เงียบไปชั่วขณะ ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของทุกคนและในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ จู่ๆเจียงฉูฉู่ก็เรียกสติกลับคืนมาได้และตระหนักได้ว่าเธอเพิ่งทำอะไรลงไปเมื่อครู่นี้ ริมฝีปากสีแดงของเธอขยับ และสุดท้ายเธอก็ทำได้เพียงเปลี่ยนไปพูดว่า "ฉันขอโทษ เมื่อกี้ฉันอารมณ์ไม่ดีก็เลยควบคุมอารมณ์ไม่ได้น่ะ ฉันขอโทษนะ" เพื่อรักษาภาพเทพธิดาที่อยู่ในใจของทุกคนไว้ เจียงฉูฉู่จึงทำได้เพียงขอโทษพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกัน ดวงตาของเธอก็แดงก่ำ และน้ำตาของเธอที่เหมือนไข่มุกเม็ดใหญ่ๆก็ไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย ในตอนแรก ทุกคนต่างตกตะลึงกับคำพูดนั้นของเธอ แต่หลังจากได้ยินคำขอโทษอย่างต่อเนื่องและน้ำตาของเธอ พวกเขาทั้งหมดก็รู้สึกสงสารขึ้นมา “ฉูฉู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่ อย่าร้องไห้เลยนะ” "ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น เธอบอกพวกเราได้นะ พวกเราจะช่วยเธอเอง" “ใช
“ฉูฉู่ ไม่ต้องกังวลนะ เรื่องนี้น่ะ พวกเราจะทวงความยุติธรรมกลับคืนมาให้กับเธอย่างแน่นอน” “พวกเธออย่าเป็นแบบนี้สิ…” เจียงฉูฉู่มองไปยังเพื่อนๆที่อยู่ตรงหน้าเธอด้วยดวงตาสีแดงก่ำ และพูดเบาๆว่า "ฉันรู้ว่าพวกเธอหวังดีกับฉัน แต่ตอนนี้หยินอู้ยังดูแลคุณย่าของเย่อยู่ที่โรงพยาบาล เธอคงหวังดีแหละ” ทุกคนฟังที่ฉูฉู่พูด “จริงหรอ? งั้นรอจนกว่ายัยนั่นจะดูแลคุณย่าเสร็จ ถึงตอนนั้นพวกเราจะสอนบทเรียนให้กับมันเพื่อระบายความโกรธให้กับเธออย่างแน่นอน” เจียงฉูฉู่ทำอะไรไม่ถูกเป็นอย่างมาก "พวกเธอไม่ต้องทำเรื่องที่น่าอับอายแบบนี้แทนฉันหรอก รอให้ฉันไปคุยกับเธอเองในภายหลังจะดีกว่านะ" หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็เช็ดน้ำตาของเธอ จากนั้นก็ส่งรอบยิ้มที่ดูฝืนๆให้กับทุกคน “เอาหละ พวกเรามาจัดการมื้อเย็นของวันนี้กันดีกว่า โชคดีที่ฉันเตรียมมาเยอะ ถ้าไม่พอ ฉันจะเรียกคนมาส่งเพิ่ม” "ฉูฉู่……" “เรื่องเมื่อกี้น่ะไม่ต้องพูดถึงแล้ว วันนี้เราจะไม่กลับบ้านจนกว่าจะเมา ลืมเรื่องแย่ๆไปซะ” เจียงฉูฉู่เปิดขวดไวน์แดง จากนั้นก็หันไปหยิบถ้วยออกมาจากตู้ไวน์ เพื่อนๆต่างมองดูเธอ แล้วก็หันไปมองหน้ากันและฝังความโกรธแค้นเอาไว้ภายในใจ
การดูแลของเขาที่มีต่อเธออาจเนื่องมาจากมิตรภาพที่พวกเขามีมาตั้งแต่เด็กจนโต หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองครอบครัวคบกันมานานหลายชั่วอายุคน เขาจึงมองเธอเป็นเหมือนน้องสาวของเขา ดังนั้น ไม่ว่าจะได้แต่งงานกันหรือไม่ เขาก็จะใจดีกับเธอเช่นนี้เสมอ ที่ตลกคือ เธอกลับตกหลุมรักเขาทั้งๆที่เป็นแบบนี้ เสิ่นหยินอู้หลับตาลงโดยหัวเราะเยาะเย้ยให้แก่ตัวเอง และไม่มองที่ฉินเย่อีกต่อไป คุณนายฉินตื่นขึ้นมาตอนสองทุ่ม ทันทีที่เธอตื่นขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ก็นอนเท้าคางอยู่ที่ข้างเตียงของเธอ ทั้งคู่หันหน้าประสานสายตากันและดูประหม่าอย่างมาก “คุณย่า ตื่นแล้วหรอคะ รู้สึกยังไงบ้างคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ? หิวไหมคะ?” คุณนายฉินมองดูใบหน้าขาวเนียนเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าเธอ ด้วยความเป็นห่วงหยินอู้ ดวงตาของเธอจึงเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหม่า เธออดไม่ได้ที่จะยกมุมริมฝีปากขึ้นแล้วส่ายหัวเบาๆ สาวน้อยคนนี้ทำให้เธอมีความสุขจริงๆ เมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นเธอส่ายหัวและไม่พูดอะไร เสิ่นหยินอู้ก็เลียริมฝีปากของเธอด้วยความประหม่า แล้วจึงยื่นมือไปด้านหน้าของคุณนายฉินเพื่อทำท่าทาง “คุณย่าคะ มองหนูนะ นี่กี่นิ้วคะ?” คุณนายฉินเห็นเธ
“กลับไปเถอะ พาหยินอู้กลับไปพักผ่อน ที่นี่มีพยาบาลแค่พยาบาลมาดูแลก็พอแล้ว” เธอเพิ่งตื่น แต่เธอก็ต่อต้านการมาอยู่เป็นเพื่อนของพวกเขาเช่นนี้ ซึ่งนั่นทำให้เสิ่นหยินอู้สับสน หลังจากได้ยินคำพูดของคุณย่า ฉินเย่ก็ไม่ขยับตัว เขาเพียงเม้มริมฝีปากบางของเขาแล้วนั่งลงตรงนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาแสดงอารมณ์ที่อึมครึมออกมา “ฉินเย่ คุณไม่ฟังที่ย่าพูดเลยหรอ?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว เสิ่นหยินอู้รีบมาขวางเขาไว้ที่ด้านหน้า และพูดเบาๆว่า "คุณย่าคะ คุณย่ากำลังกังวลอะไรอยู่ใช่ไหมคะ? บอกพวกเราได้ไหมคะ?" หลังจากที่เธอหมดสติไป การที่เธอพูดคำพูดดังกล่าวทำให้เสิ่นหยินอู้เป็นกังวลมากยิ่งขึ้น “ย่าไม่ได้กังวลอะไร ย่าแค่รู้สึกว่าย่าแก่ขึ้น และสภาพจิตใจของย่าก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ย่าแค่ไม่อยากรบกวนพวกหนูให้ต้องมาหาย่าตลอดเวลา” คุณนายฉินถอนหายใจ ท่าทีของเธอที่มีต่อเสิ่นหยินอู้นั้นยังคงอ่อนโยนมาก "หยินอู้ ที่จริงแล้วสำหรับย่าน่ะ มันไม่สำคัญหรอกว่าจะได้รับการผ่าตัดหรือไม่" เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก “ทำไมมันจะไม่สำคัญล่ะคะ? คุณย่า มันไม่สำคัญตรงไหนกันคะ? สภาพร่างกายของคุณย่า
หลังจากออกจากห้องผู้ป่วย ฉินเย่ก็พาเธอออกไป ต้องใช้แรงอย่างมากในการที่จะสลัดมือของเขาออกไปได้ “ฉินเย่ คุณทำอะไรน่ะ?” ฉินเย่จ้องมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนล้า "วันนี้เรากลับกันก่อนเถอะ" เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว “คุณไม่เห็นหรอว่าท่าทีของคุณย่าเมื่อกี้เป็นยังไง? เธออยากออกไปจากโรงพยาบาล เธอไม่ต้องการอยู่ที่นี่” หลังจากที่คิดได้เมื่อครู้นี้ เสิ่นหยินอู้เดาว่าคุณย่าฉิน กังวลว่าการกลับบ้านจะสร้างปัญหาให้กับญาติของเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ได้แค่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น เธออยากกลับไป แต่เธอไม่กล้า เสิ่นหยินอู้รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก เธอมาเยี่ยมคุณย่าทุกสุดสัปดาห์ แต่เธอไม่เคยสังเกตเห็นถึงอารมณ์ของคุณย่าเลย หากเธอรู้เร็วกว่านี้ เธอคงจะพาคุณย่ากลับบ้านไปดูแลได้เร็วกว่านี้ ก่อนการผ่าตัดในวันนี้ คุณย่าก็คงจะไม่ต้องเป็นลมไปสินะ? “ผมรู้” เสียงของฉินเย่อเบาลง “แต่คุณก็เห็นแล้วหนิว่าอารมณ์ของคุณย่าไม่ดี แถมยังโกรธผมด้วย” เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ ฉินเย่ก็เสริม "แต่ไม่ได้โกรธคุณ" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง อันที่จริง เมื่อครู่นี้ที่คุณย่าพูดคำพูดเชิงลบเหล่านั้น ทั้งหมดล้ว
ดังนั้นการเก็บกวาดมันจึงไม่ได้ยุ่งยาก หลังจากที่เสิ่นหยินอู้อธิบายเสร็จ เธอก็วางสายไป ในขณะเดียวกันโทรศัพท์ของฉินเย่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่ไพเราะดังขึ้นในรถที่ปิดอยู่ ซึ่งค่อนข้างกะทันหันเล็กน้อย เดิมทีเสิ่นหยินอู้มีรอยยิ้มที่ริมฝีปากของเธอ แต่หลังจากได้ยินเสียงเรียกเข้านี้ เธอก็ชะงักไปชั่วคราว จากนั้นรอยยิ้มบนริมฝีปากของเธอก็ค่อยๆจางหายไป เธอเอนหลังพิงที่นั่งแล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง นอกจากเสียงเรียกเข้าในรถแล้ว มันก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก ทันใดนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนไป และฉินเย่ก็สังเกตเห็นมันเช่นกัน เขาใช้หางตามองไปที่เสิ่นหยินอู้แล้วพูดว่า "เสิ่นนั่วนั่ว ช่วยผมรับโทรศัพท์หน่อย" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงปฏิเสธเขา "คุณก็รับเองสิ" "ผมกำลังขับรถอยู่" “คุณก็จอดรถไว้ข้างถนนแล้วค่อยรับก็ได้หนิ” ฉินเย่โกรธกับคำพูดของเธอ "มันยากขนาดนั้นเลยเหรอที่คุณจะรับสายแทนผม?" "ก็ไม่หรอก" อย่างไรเสียมันเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจและพูดออกมาตรงๆ "แต่ฉันไม่อยากช่วยคุณ" เมื่อเห็นท่าทางที่เย่อหยิ่งจองหองของเธอ ฉินเ
ตามที่คิดไว้ ไม่นานหลังจากนั้น ฉินเย่ก็ถูกคำพูดและน้ำเสียงที่อ่อนโยนของคุณแม่จัดการ “โอเค คืนนี้ผมกับหยินอู้จะไปรับคุณย่ากลับบ้าน พ่อกับแม่ไม่จำเป็นต้องไปที่โรงพยาบาลแล้ว กลับบ้านเถอะครับ” “รับคุณย่ากลับบ้านหรอ?” เมื่อได้ฟังที่ฉินเย่พูด คุณแม่ฉินก็ดูเหมือนจะมีความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา จึงถามกลับไปว่า“ตอนนี้หยินอู้อยู่ข้างๆลูกไหม?” ฉินเย่ไม่ได้ตอบกลับไปว่าหยินอู้อยู่หรือไม่อยู่ แต่เขากลับชายตาไปมอง และใช้สายตาบอกใบ้ว่าหยินอู้อยู่ข้างๆเขา อย่างไรเสีย โทรศัพท์ได้ถูกเปิดลำโพงไว้ หยินอู้จึงได้ยินทุกๆอย่างที่ทั้งสองคนคุยกัน ดังนั้นหยินอู้จึงเรียกคุณแม่ฉินเพื่อเป็นการทักทาย“คุณแม่” เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณแม่ฉินก็หัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยน“ที่แท้ ยัยหนูน้อยของแม่ก็อยู่ด้วยนี่เอง เรื่องที่ต้องดูแลคุณย่าหนูคงเหนื่อยแย่เลย”“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ ขอบคุณคุณแม่ที่เป็นห่วงนะคะ” ถึงแม้คุณแม่ฉินจะไม่ได้ดีกับหยินอู้เท่าคุณนายฉิน แต่เธอก็รักษามารยาทที่ควรมีต่อหยินอู้ได้อย่างดีเยี่ยม คุณแม่ฉินไม่เคยใช้คำพูดที่รุนแรงกับหยินอู้เลย ตอนที่ได้ยินว่าทั้งสองคนจะแต่งงาน เธอก็ได้แต่ประหลาดใจเล็กน้อย“น