การดูแลของเขาที่มีต่อเธออาจเนื่องมาจากมิตรภาพที่พวกเขามีมาตั้งแต่เด็กจนโต หรืออาจเป็นเพราะทั้งสองครอบครัวคบกันมานานหลายชั่วอายุคน เขาจึงมองเธอเป็นเหมือนน้องสาวของเขา ดังนั้น ไม่ว่าจะได้แต่งงานกันหรือไม่ เขาก็จะใจดีกับเธอเช่นนี้เสมอ ที่ตลกคือ เธอกลับตกหลุมรักเขาทั้งๆที่เป็นแบบนี้ เสิ่นหยินอู้หลับตาลงโดยหัวเราะเยาะเย้ยให้แก่ตัวเอง และไม่มองที่ฉินเย่อีกต่อไป คุณนายฉินตื่นขึ้นมาตอนสองทุ่ม ทันทีที่เธอตื่นขึ้นมา เสิ่นหยินอู้ก็นอนเท้าคางอยู่ที่ข้างเตียงของเธอ ทั้งคู่หันหน้าประสานสายตากันและดูประหม่าอย่างมาก “คุณย่า ตื่นแล้วหรอคะ รู้สึกยังไงบ้างคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ? หิวไหมคะ?” คุณนายฉินมองดูใบหน้าขาวเนียนเล็กๆที่อยู่ตรงหน้าเธอ ด้วยความเป็นห่วงหยินอู้ ดวงตาของเธอจึงเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหม่า เธออดไม่ได้ที่จะยกมุมริมฝีปากขึ้นแล้วส่ายหัวเบาๆ สาวน้อยคนนี้ทำให้เธอมีความสุขจริงๆ เมื่อเสิ่นหยินอู้เห็นเธอส่ายหัวและไม่พูดอะไร เสิ่นหยินอู้ก็เลียริมฝีปากของเธอด้วยความประหม่า แล้วจึงยื่นมือไปด้านหน้าของคุณนายฉินเพื่อทำท่าทาง “คุณย่าคะ มองหนูนะ นี่กี่นิ้วคะ?” คุณนายฉินเห็นเธ
“กลับไปเถอะ พาหยินอู้กลับไปพักผ่อน ที่นี่มีพยาบาลแค่พยาบาลมาดูแลก็พอแล้ว” เธอเพิ่งตื่น แต่เธอก็ต่อต้านการมาอยู่เป็นเพื่อนของพวกเขาเช่นนี้ ซึ่งนั่นทำให้เสิ่นหยินอู้สับสน หลังจากได้ยินคำพูดของคุณย่า ฉินเย่ก็ไม่ขยับตัว เขาเพียงเม้มริมฝีปากบางของเขาแล้วนั่งลงตรงนั้น ใบหน้าอันหล่อเหลาแสดงอารมณ์ที่อึมครึมออกมา “ฉินเย่ คุณไม่ฟังที่ย่าพูดเลยหรอ?” ฉินเย่ขมวดคิ้ว เสิ่นหยินอู้รีบมาขวางเขาไว้ที่ด้านหน้า และพูดเบาๆว่า "คุณย่าคะ คุณย่ากำลังกังวลอะไรอยู่ใช่ไหมคะ? บอกพวกเราได้ไหมคะ?" หลังจากที่เธอหมดสติไป การที่เธอพูดคำพูดดังกล่าวทำให้เสิ่นหยินอู้เป็นกังวลมากยิ่งขึ้น “ย่าไม่ได้กังวลอะไร ย่าแค่รู้สึกว่าย่าแก่ขึ้น และสภาพจิตใจของย่าก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ย่าแค่ไม่อยากรบกวนพวกหนูให้ต้องมาหาย่าตลอดเวลา” คุณนายฉินถอนหายใจ ท่าทีของเธอที่มีต่อเสิ่นหยินอู้นั้นยังคงอ่อนโยนมาก "หยินอู้ ที่จริงแล้วสำหรับย่าน่ะ มันไม่สำคัญหรอกว่าจะได้รับการผ่าตัดหรือไม่" เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเสิ่นหยินอู้ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก “ทำไมมันจะไม่สำคัญล่ะคะ? คุณย่า มันไม่สำคัญตรงไหนกันคะ? สภาพร่างกายของคุณย่า
หลังจากออกจากห้องผู้ป่วย ฉินเย่ก็พาเธอออกไป ต้องใช้แรงอย่างมากในการที่จะสลัดมือของเขาออกไปได้ “ฉินเย่ คุณทำอะไรน่ะ?” ฉินเย่จ้องมองเธอด้วยสายตาที่อ่อนล้า "วันนี้เรากลับกันก่อนเถอะ" เสิ่นหยินอู้ขมวดคิ้ว “คุณไม่เห็นหรอว่าท่าทีของคุณย่าเมื่อกี้เป็นยังไง? เธออยากออกไปจากโรงพยาบาล เธอไม่ต้องการอยู่ที่นี่” หลังจากที่คิดได้เมื่อครู้นี้ เสิ่นหยินอู้เดาว่าคุณย่าฉิน กังวลว่าการกลับบ้านจะสร้างปัญหาให้กับญาติของเธอ ดังนั้นเธอจึงอยู่ได้แค่ที่โรงพยาบาลเท่านั้น เธออยากกลับไป แต่เธอไม่กล้า เสิ่นหยินอู้รู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก เธอมาเยี่ยมคุณย่าทุกสุดสัปดาห์ แต่เธอไม่เคยสังเกตเห็นถึงอารมณ์ของคุณย่าเลย หากเธอรู้เร็วกว่านี้ เธอคงจะพาคุณย่ากลับบ้านไปดูแลได้เร็วกว่านี้ ก่อนการผ่าตัดในวันนี้ คุณย่าก็คงจะไม่ต้องเป็นลมไปสินะ? “ผมรู้” เสียงของฉินเย่อเบาลง “แต่คุณก็เห็นแล้วหนิว่าอารมณ์ของคุณย่าไม่ดี แถมยังโกรธผมด้วย” เมื่อนึกถึงบางอย่างขึ้นได้ ฉินเย่ก็เสริม "แต่ไม่ได้โกรธคุณ" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง อันที่จริง เมื่อครู่นี้ที่คุณย่าพูดคำพูดเชิงลบเหล่านั้น ทั้งหมดล้ว
ดังนั้นการเก็บกวาดมันจึงไม่ได้ยุ่งยาก หลังจากที่เสิ่นหยินอู้อธิบายเสร็จ เธอก็วางสายไป ในขณะเดียวกันโทรศัพท์ของฉินเย่ก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่ไพเราะดังขึ้นในรถที่ปิดอยู่ ซึ่งค่อนข้างกะทันหันเล็กน้อย เดิมทีเสิ่นหยินอู้มีรอยยิ้มที่ริมฝีปากของเธอ แต่หลังจากได้ยินเสียงเรียกเข้านี้ เธอก็ชะงักไปชั่วคราว จากนั้นรอยยิ้มบนริมฝีปากของเธอก็ค่อยๆจางหายไป เธอเอนหลังพิงที่นั่งแล้วหันมองออกไปนอกหน้าต่าง นอกจากเสียงเรียกเข้าในรถแล้ว มันก็ไม่มีเสียงอื่นใดอีก ทันใดนั้นบรรยากาศก็เปลี่ยนไป และฉินเย่ก็สังเกตเห็นมันเช่นกัน เขาใช้หางตามองไปที่เสิ่นหยินอู้แล้วพูดว่า "เสิ่นนั่วนั่ว ช่วยผมรับโทรศัพท์หน่อย" เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วจึงปฏิเสธเขา "คุณก็รับเองสิ" "ผมกำลังขับรถอยู่" “คุณก็จอดรถไว้ข้างถนนแล้วค่อยรับก็ได้หนิ” ฉินเย่โกรธกับคำพูดของเธอ "มันยากขนาดนั้นเลยเหรอที่คุณจะรับสายแทนผม?" "ก็ไม่หรอก" อย่างไรเสียมันเป็นเช่นนี้ไปแล้ว เสิ่นหยินอู้ไม่สนใจและพูดออกมาตรงๆ "แต่ฉันไม่อยากช่วยคุณ" เมื่อเห็นท่าทางที่เย่อหยิ่งจองหองของเธอ ฉินเ
ตามที่คิดไว้ ไม่นานหลังจากนั้น ฉินเย่ก็ถูกคำพูดและน้ำเสียงที่อ่อนโยนของคุณแม่จัดการ “โอเค คืนนี้ผมกับหยินอู้จะไปรับคุณย่ากลับบ้าน พ่อกับแม่ไม่จำเป็นต้องไปที่โรงพยาบาลแล้ว กลับบ้านเถอะครับ” “รับคุณย่ากลับบ้านหรอ?” เมื่อได้ฟังที่ฉินเย่พูด คุณแม่ฉินก็ดูเหมือนจะมีความรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา จึงถามกลับไปว่า“ตอนนี้หยินอู้อยู่ข้างๆลูกไหม?” ฉินเย่ไม่ได้ตอบกลับไปว่าหยินอู้อยู่หรือไม่อยู่ แต่เขากลับชายตาไปมอง และใช้สายตาบอกใบ้ว่าหยินอู้อยู่ข้างๆเขา อย่างไรเสีย โทรศัพท์ได้ถูกเปิดลำโพงไว้ หยินอู้จึงได้ยินทุกๆอย่างที่ทั้งสองคนคุยกัน ดังนั้นหยินอู้จึงเรียกคุณแม่ฉินเพื่อเป็นการทักทาย“คุณแม่” เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณแม่ฉินก็หัวเราะออกมาอย่างอ่อนโยน“ที่แท้ ยัยหนูน้อยของแม่ก็อยู่ด้วยนี่เอง เรื่องที่ต้องดูแลคุณย่าหนูคงเหนื่อยแย่เลย”“ไม่เหนื่อยเลยค่ะ ขอบคุณคุณแม่ที่เป็นห่วงนะคะ” ถึงแม้คุณแม่ฉินจะไม่ได้ดีกับหยินอู้เท่าคุณนายฉิน แต่เธอก็รักษามารยาทที่ควรมีต่อหยินอู้ได้อย่างดีเยี่ยม คุณแม่ฉินไม่เคยใช้คำพูดที่รุนแรงกับหยินอู้เลย ตอนที่ได้ยินว่าทั้งสองคนจะแต่งงาน เธอก็ได้แต่ประหลาดใจเล็กน้อย“น
เสิ่นหยินอู้มองไปรอบๆ และค่อนข้างพอใจ "เอาต้นไม้สีเขียวมาวางเพิ่มสักหน่อย เปลี่ยนสีของผ้าม่านให้ดูหรูหราขึ้นอีกนิด แล้วก็ช่วยจุดกำยานที่ช่วยให้นอนหลับสบายขึ้นด้วยนะคะ" คนรับใช้ตอบตกลง หนึ่งชั่วโมงกว่าต่อมา ทั้งสองคนออกเดินทางเพื่อไปรับคุณนายฉินกลับจากโรงพยาบาล เมื่อหลานชายและหลานสะใภ้บอกเธอว่าพวกเขาจะไปรับเธอกลับมาอยู่ที่บ้าน ในช่วงที่รอพวกเขามาสองชั่วโมงนี้ อารมณ์ของคุณนายฉินก็ทั้งรู้สึกมีความสุขและหดหู่ ความสุขก็คือ ในที่สุดเธอก็สามารถออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ที่หดหู่คือสภาพที่เธอเป็นอยู่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าการกลับไปจะเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้พวกเขา ไม่ว่าภายในบ้านจะเพียบพร้อมเพียงใด นั่นก็ไม่ใช่โรงพยาบาล พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะต้องมาคิดเกี่ยวกับตัวเธอเองมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม เธอสับสนอยู่ไม่นาน จากนั้นก็ได้ยินเสียงของพยาบาลดังเข้ามา “คุณนายคะ คุณผู้ชายฉินและคุณหญิงมารับแล้วค่ะ” หลังจากได้ยินเช่นนั้น คุณนายฉินก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาในทันที แต่พยาบาลทั้งสองกลับดีใจมาก และพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มว่า "คุณนายคะ พวกเราได้เก็บของทุกอย่างไว้ให้คุณนายเรียบร้อยแล้วค่ะ" คุณ
หัวใจของเสิ่นหยินอู้เต้นรัว ในชั่วขณะนั้น เธอไม่รู้ว่าจะตอบคุณย่าฉินอย่างไร เธอกวาดสายตาไปมองไปที่ฉินเย่ พวกเขาที่อยู่แถวหลังยังมองเห็นเจียงฉูฉู่ได้ ไม่ต้องพูดถึงฉินเย่ที่ขับรถอยู่ข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้นเจียงฉูฉู่ยังคงเป็นคนที่เขาชอบ ดังนั้นเขาจึงควรสนใจเธอมากกว่านี้ อย่างที่คิด ฉินเย่ชะลอรถในเสี้ยววิ จากนั้นก็หยุดรถที่หน้าประตูคฤหาสน์ ทันทีที่รถหยุด เจียงฉูฉู่ก็ถือกระเป๋าไว้ในมือแล้วเดินอ้อมไปทางฝั่งที่นั่งคนขับ เธอยื่นมือเล็กๆออกมาแล้วเคาะกระจกรถ กระจกรถถูกเปิดออก เจียงฉูฉู่ส่งยิ้มที่แสนหวานให้ เสียงของเธออ่อนโยนมาก “เย่ คุณกลับมาแล้วหรอ คุณย่าเป็นยังไงบ้าง? ขอโทษนะ ถึงคุณบอกฉันว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่ฉันก็ยังอยากแวะมาถามด้วยตัวเอง” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็ลากสายตาไปมองที่ด้านหลังเพราะเธอไม่เห็นเสิ่นหยินอู้จากฝั่งที่นั่งข้างๆคนขับ เธอเดาว่าถ้าหยินอู้อยู่ เธอจะต้องอยู่ที่เบาะหลังอย่างแน่นอน ภายในใจของเธอยังคงรู้สึกภาคภูมิใจ ขณะที่กำลังคิดว่าเย่คงจะไม่ให้ใครนั่งข้างๆที่นั่งคนขับเพราะจะเก็บมันไว้ให้เธอ เธอก็เห็นคนสองคนนั่งอยู่ที่เบาะหลัง คนหนึ่งคือเสิ่นหยินอู้ และอีกค
แต่ถ้าจะให้เขาพูด เสิ่นหยินอู้กลัวว่าเขาจะมีพิรุธ ดังนั้น เสิ่นหยินอู้จึงเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อนว่า "ตอนนี้ยังไม่ดึกมากหรอก เธอขึ้นมาบนรถก่อนเถอะ วันนี้คุณย่ากลับบ้านมาพอดี เข้าไปนั่งคุยกันข้างในสักพัก เดี๋ยวฉันจะให้คนขับรถขับไปส่งเธอทีหลัง” เธอเชิญชวนเจียงฉูฉู่ด้วยน้ำเสียงที่สงบ เจียงฉูฉู่มองไปที่เสิ่นหยินอู้ เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คาดคิดว่าหยินอู้จะเป็นฝ่ายที่เอ่ยปากออกมาก่อน แต่ในไม่ช้าเธอก็เข้าใจและพยักหน้า “หยินอู้ ขอบใจนะ” หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็เดินอ้อมไปที่ที่นั่งด้านหลังแล้วเปิดประตูรถ พวกเธอทั้งหมดผอมมาก ดังนั้นมันจึงไม่เป็นปัญหาสำหรับผู้หญิงสามคนในการนั่งด้วยกันที่เบาะหลังรถ เสิ่นหยินอู้นั่งข้างคุณนายฉินมาโดยตลอดตั้งแต่เธอขึ้นรถมา ดังนั้นเมื่อเธอนั่งตรงกลาง พื้นที่ข้างๆจึงมีที่เหลืออยู่มาก หลังจากขึ้นรถแล้ว เจียงฉูฉู่ก็ทักทายคุณนายฉินอย่างอบอุ่น เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ไปนั่งตรงที่นั่งข้างๆคนขับ โชคดีที่เจียงฉูฉู่ก็ฉลาดพอตัวเช่นกัน “ฉูฉู่ ย่าขอบใจที่หนูตั้งใจถ่อมาถึงที่นี่เพื่อหญิงแก่ๆแบบย่านะจ๊ะ” คุณนายฉินสุภาพกับเธอมาก และทั้งสอง