หลังจากที่การแสดงสิ้นสุดลง ทุกคนก็เข้าไปข้างใน พ่อบ้านยังขอให้พ่อครัวเตรียมอาหารให้คุณนายฉินไว้อีกด้วย แน่นอนว่าเขาปฏิบัติตามมาตรฐานอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากตอนนี้ก็ดึกแล้ว คุณนายฉินจึงควบคุมปริมาณการกิน หลังจากทานไปได้สองสามคำ เธอก็วางช้อนลง “ขอบคุณทุกคนที่ตั้งใจทำทุกอย่างในวันนี้นะ” หลังจากนั้น คุณนายฉินก็เตรียมตัวที่จะไปอาบน้ำ เสิ่นหยินอู้ต้องการไปช่วย แต่ก็ถูกคุณนายฉินตีไปที่มือของเธอเบาๆ “จะช่วยทำไม ก็แค่อาบน้ำเอง ย่าไม่ใช่คนที่ขยับตัวเองไม่ได้ซะหน่อย” เสิ่นหยินอู้ต้องการพูดอะไรบางอย่างอีก แต่คุณนายฉินก็หันไปมองเจียงฉูฉู่แล้วพูดเบาๆว่า "ฉูฉู่ นี่ก็ดึกแล้ว คืนนี้หนูพักที่นี่ดีกว่าไหม? ย่าจะได้ให้หยินอู้บอกให้คนรับใช้ทำความสะอาดห้องรับแขกให้ " เจียงฉูฉู่ที่ยังคงรับประทานอาหารอย่างเหม่อลอย เมื่อจู่ๆเธอก็ถูกเรียกชื่อ เธอก็ส่ายหัวในทันทีและพูดว่า "ไม่ดีกว่าค่ะคุณย่าฉิน มันไม่เหมาะสำหรับหนูที่จะพักที่นี่หรอกค่ะ" คุณนายฉิน "มีอะไรไม่เหมาะสมงั้นเหรอ? ยังไงซะที่นี่ก็มีห้องให้พักตั้งมากมาย เรื่องทำความสะอาดน่ะไม่ได้ยากอะไรหรอก อีกอย่าง หนูก็เป็นถึงผู้มีพระคุณของตร
เจียงฉูฉู่มองไปที่ฉินเย่ด้วยสีหน้าสมเพชเล็กน้อย "เย่ เมื่อกี้ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่า? ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้ว่าเธอจะโกรธ ฉันว่าฉันกลับไปน่าจะดีกว่า" หลังจากพูดจบ เจียงฉูฉู่ก็ลุกขึ้นยืนและรีบเดินออกไปทางด้านนอกอย่างรีบร้อน เมื่อเดินผ่านฉินเย่ แขนของเธอก็ถูกดึงฉินเย่ดึงไว้ เขาขมวดคิ้วและพูดว่า "ผมให้คุณอยู่ที่นี่ คุณก็อยู่ที่นี่สิ คุณไม่ต้องไปสนใจในสิ่งที่เธอพูดหรอก" "แต่……" “คุณผู้ชายครับ ห้องของคุณหนูเจียงเก็บกวาดเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ” จู่ๆพ่อบ้านก็เข้ามาและขัดจังหวะ ว่าไงนะ? เก็บกวาดเสร็จแล้วเหรอ? เจียงฉูฉู่มองไปที่พ่อบ้านคนนั้นด้วยความประหลาดใจ เมื่อครู่นี้พวกเขาออกไปได้เพียงไม่กี่นาที พวกเขาทำความสะอาดเสร็จอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไร? ได้เก็บกวาดอย่างเรียบร้อยดีจริงๆหรือ? "อืม" ตอนนี้ฉินเย่ไม่มีอารมณ์ที่จะมาสนใจเรื่องนี้ เขาก้มหัวลงแล้วพูดกับเจียงฉูฉู่ว่า "คุณตามพ่อบ้านไปที่ห้อง นี่มันก็ดึกมากแล้ว จะได้พักผ่อนไวๆ" หลังจากพูดจบ ฉินเย่ก็เดินก้าวยาวๆตามไปในทิศทางที่เสิ่นหยินอู้จากไป "เย่……" แม้เจียงฉูฉู่จะตะโกนเรียกเขา เขาก็ไม่ได้ยิน และทิ้งเธอไว้ข้างหลังอย่างไม่แยแส
ในสภาพอากาศเช่นนี้ ต่อให้จะมีเสื้อคลุมหนาๆสวมอยู่บนตัวของเธอ เธอก็สัมผัสได้ถึงความเย็นที่แผ่ออกมาจากผนังห้องน้ำ บนไหล่ของเธอมีมือของฉินเย่กดไว้อยู่ มือของเขาทั้งหนักและทรงพลัง เขาจับเธอไว้แน่น ทำให้เธอไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ เสิ่นหยินอู้พยายามดิ้นรนอยู่หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถหลุดพ้นจากมือของฉินเย่ได้ และเธอก็เหนื่อยจนหายใจหอบออกมา เธอเงยหน้าขึ้นและจ้องไปยังคนที่อยู่ตรงหน้าที่จับเธอไว้อยู่ จากนั้นก็หอบออกมาอย่างเย็นชา "นี่คุณกำลังทำอะไรบ้าอยู่? โดนฉันพูดแทงใจดำไปก็เลยโกรธจนเป็นบ้าแบบนี้ขึ้นมารึไง?" ฉินเย่จ้องเธอด้วยสีหน้าอึมครึม ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้ามีดวงตาที่สว่างไสวคู่หนึ่งซึ่งเปล่งประกายมากยิ่งขึ้นภายใต้แสงไฟที่สอดส่องลงมาในห้องน้ำ มันสวยงดงามจับใจราวกับว่าเป็นเศษเสี้ยวของแสงดาว จมูกของเธอโด่งมากและริมฝีปากสีชมพูของเธอเต็มไปด้วยความแวววาวมีเสน่ห์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหล แต่ปากที่สวยงามเช่นนี้กลับพูดคำพูดที่แทงใจเป็นอย่างมากออกมา มันแทงใจเสียจนสร้างความเจ็บปวดในหัวใจ ความเจ็บปวดนั้นเจ็บปวดมากจนคนที่ฟังคนอดไม่ได้ที่จะอุดปากเล็กๆของเธอไว้ เพื่อที่จะทำให้เธอพูดออกมาไม่ได้อี
“เข้าใจผิด?” สิ่งที่เธอเห็นด้วยตาของเธอเอง เขากล้าที่จะบอกว่ามันเป็นความเข้าใจผิดงั้นเหรอ? ฉินเย่มองไปยังผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเขาและรู้ได้ในทันทีว่าอารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันของเธอนั้นคงเป็นเพราะเธอเข้าใจผิดว่าเขากับเจียงฉูฉู่ไปค้างคืนด้วยกันข้างนอก จากนั้นภายในอกของเขาก็ไม่ได้รู้สึกหนักใจมากเช่นนั้นอีกต่อไป สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนขึ้นมามาก ไม่ดูแย่เหมือนเมื่อครู่ เขาเม้มริมฝีปากบางๆแล้วอธิบายว่า "เรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิดนะ ในคืนนั้น..." เขากำลังจะอธิบายให้เสิ่นหยินอู้ฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น แต่เสิ่นหยินอู้กลับรีบขัดจังหวะเขาหลังจากได้ยินว่าเขากำลังจะพูดเกี่ยวกับคืนนั้น “เกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น ฉันไม่ได้สนใจเลยสักนิด คุณไม่จำเป็นต้องมาบอกฉันหรอก” มาพูดอะไรว่าไม่ได้ค้างคืนกับเจียงฉูฉู่ แล้วก็ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด เขาคิดว่าเธอเขาจะหลอกเธอได้เพราะเธอไม่ได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเองงั้นเหรอ? น่าเสียดายที่เขาต้องผิดหวัง เธอไปที่นั่นและเห็นเจียงฉูฉู่ไปรับเขาและจากไปด้วยตาของเธอเอง เขาไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน และในวันถัดมาก็ไปโรงพยาบาลสาย แม้แต่ผีสางเทวดาก็ยังรู้
ฉินเย่ขมวดคิ้วด้วย ภายในดวงตาสีดำของเขามีแสงแห่งความเย็นชาฉายอยู่ ความกดดันที่ออกมาจากร่างเขานั้นรุนแรงมากจนเสิ่นหยินอู้คิดว่าเขากำลังจะทำอะไรบางอย่างอีกครั้ง เขาหันกลับและเดินออกไป ในขณะที่เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอก็ยกมุมปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน เจียงฉูฉู่ยืนรออยู่ด้านนอกประตู นิ้วทั้งสิบของเธอประสานกันแน่น หากเมื่อครู่นี้เธอได้ยินไม่ผิด เสียงของฉินเย่นั้นดูหงุดหงิดมาก เขาหงุดหงิดมากจนดูเหมือนว่าเรื่องสำคัญของเขาถูกขัดจังหวะกะทันหัน ท่าทางเช่นนี้ทำให้เจียงฉูฉู่หวาดกลัวอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเธอจะบอกว่าเป็นเธอไปตั้งนานแล้ว ฉินเย่ก็ยังไม่มาเปิดประตู ภายในใจของเจียงฉูฉู่จึงคาดเดาอะไรไม่ได้ เขากำลังทำอะไรอยู่ในห้องกันนะ และทำไมนานขนาดนี้ถึงยังไม่มาเปิดประตูอีก? จิตใจของเจียงฉูฉู่เริ่มอยู่ไม่เป็นสุขและในที่สุดประตูตรงหน้าเธอก็เปิดออกเธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปที่ฉินเย่อย่างจริงจังในทันที อืม เสื้อผ้าของเขายังเหมือนเดิมกับตอนก่อนขึ้นไปที่ชั้นบน ยังไม่ได้ถอดแจ็กเก็ต แต่ดูเหมือนว่าจะมีรอยยับเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เจียงฉูฉู่บอกตัวเองในใจอย่างรวดเร็วว่าเป็นเรื่อง
มีเพียงพวกเธอสองคนเท่านั้นที่อยู่บริเวณตู่เสื้อผ้าและชั้นวางของขนาดใหญ่ เจียงฉูฉู่มองไปที่เธอและไม่รีบร้อนในการเลือกเสื้อผ้า เมื่อเห็นฉูฉู่จ้องมองเธอตลอด เสิ่นหยินอู้เดาว่าเธอมีอะไรบางอย่างจะพูด แต่เจียงฉูฉู่ไม่ได้ริเริ่มที่จะพูดก่อน ดังนั้นเธอจึงรอ อย่างที่คิด ไม่กี่วินาทีต่อมา เจียงฉูฉู่ไม่สามารถยับยั้งตัวเองได้และพูดด้วยเสียงเบาๆว่า "เสิ่นหยินอู้ เธอผิดสัญญา" หลังจากได้ เสิ่นหยินอู้ก็ชะงักไปชั่วคราว “ฉันไปผิดสัญญาตอนไหน??” เจียงฉูฉู่จ้องไปที่ริมฝีปากสีแดงของเธออย่างไม่ลดละ “เธอขึ้นมาข้างบน เธอมีสีลิปสติก” เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ในที่สุดเสิ่นหยินอู้ก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าสิ่งที่เธอหมายถึงคือสีลิปสติกของเธอได้หายไปแล้ว เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ดูเหมือนเธอก็ไม่มีอะไรจะปฏิเสธได้เช่นกัน “งั้น เธอก็ผิดสัญญาสินะ เสิ่นหยินอู้ เธอไว้ใจไม่ได้เลยจริงๆ” "ไม่" เสิ่นหยินอู้ส่ายหัว "ฉันไว้ใจได้มาก ถ้าไม่ใช่เพราะคุณย่า ฉันคงไม่เข้าหาเขาก่อน"เจียงฉูฉู่รู้สึกแทงใจมากกับคำพูดเหล่านี้ และเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความดูถูกในทันที "เธอหมายความว่าเย่เป็นคนที่เข้าหาเธอก่อนรึไง?" เสิ่นหยิน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็จ้องมองไปที่เขา "เกี่ยวอะไรกับคุณหละ?" "……"“คุณมาที่นี่แค่สองสามนาทีก็มาถามฉันแล้ว กลัวว่าฉันจะไปรังแกเธอเหรอ?” เสิ่นหยินอู้ถามอย่างติดตลก ฉินเย่ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจ “ผมไม่ได้หมายถึงอะไรแบบนั้น” “แล้วหมายความว่ายังไง? เรื่องระหว่างผู้หญิงก็ต้องรายงานให้คุณรู้ด้วยเหรอ?” ฉินเย่มองออกว่าเธอไม่ได้มีอารมณ์ที่ดีต่อเขาในตอนนี้ ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก นอกเหนือจากการที่ต้องแสดงต่อหน้าคุณย่าแล้ว เธอทำกับเขาเหมือนกับคนแปลก ซึ่งนั่นทำให้ฉินเย่ไม่มีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบนี้มาก่อน พวกเขาเข้ากันได้ดีมากแท้ๆ เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้พูดอะไร เสิ่นหยินอู้ก็หยิบเสื้อผ้าเพื่อไปอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จ เธอก็ตรงไปที่เตียงเพื่อพักผ่อน กระบวนการทั้งหมดนี้เหมือนกับว่าฉินเย่ไม่มีตัวตนอยู่ ฉินเย่ที่ถูกเมินจึงไปอาบน้ำด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง จากนั้นจึงเข้านอนด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง แม้ว่าทั้งสองจะนอนบนเตียงเดียวกัน แต่ตรงกลางเตียงขนาดใหญ่ก็มีหมอนข้างวางอยู่ เช่นเดียวกับแม่น้ำฉู่และอาณาจักรฮั่น แม้จะมีเรื่องราวท
เสิ่นหยินอู้กำลังเตรียมตัวที่จะดื่มนม คนรับใช้กลับยกชามซุปหัวปลามา “คุณผู้หญิง เช้านี้ทานสิ่งนี้นะคะ” ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยมีการเสิร์ฟซุปในเวลาอาหารเช้าเท่าไรนัก โดยปกติแล้วจะเป็นน้ำผลไม้ นม และอื่นๆ เนื่องจาก ที่จริงแล้วเสิ่นหยินอู้เป็นคนที่ใส่ใจในจรูปร่างของเธอ ดังนั้น อาหารที่พ่อครัวที่บ้านทำให้เธอโดยส่วนใหญ่แล้วจึงเป็นอาหารที่คำนวณแคลอรี่มาดีแล้ว แต่เมื่อเห็นซุปหัวปลาในวันนี้ เสิ่นหยินอู้ก็ไม่แปลกใจเลย คุณนายฉินกลับมาแล้ว พ่อครัวจึงต้องปรับสูตรอาหาร แต่นี่อาจไม่ใช่ประเด็น คงจะเป็นคุณนายฉินที่ให้คนรับใช้ยกมาให้เธอทาน อย่างที่คิด เมื่อเธออ้ำอึ้ง คุณนายฉินจึงยิ้มและพูดว่า "หนูผอมเกินไปแล้ว ทานซุปสักหน่อยเพื่อเติมเต็มร่างกายนะจ๊ะ" เสิ่นหยินอู้มองไปที่ชามซุปปลาแล้วจึงพยักหน้า "ขอบคุณนะคะคุณย่า" นานๆครั้งคงไม่เป็นไร ถ้าอ้วนก็อ้วนขึ้นอีกหน่อยจะเป็นไรไป และตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เหมือนเมื่อก่อน เธอจำเป็นต้องทานอาหารที่มีสารอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นจริงๆ เมื่อนึกถึงจุดนี้ เสิ่นหยินอู้ก็หยิบช้อนขึ้นมาแล้วก้มหัวลงเพื่อตักซุปปลา เธอกำลังจะเอาซุปปล
แม้ว่าในที่สุดเขาก็พบเธอ แต่ใครจะกล้ารับประกันกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นได้? "พอได้แล้ว" เมื่อเห็นเธอกัดริมฝีปากล่างและคิดจะพูดอะไรอื่นอีก ฉินเย่ก็เอามือใหญ่โอบไปที่เอวบางของเธอ "ไม่ต้องคิดแล้ว ในเมื่อผมเลือกที่จะอยู่ นั่นก็หมายความว่าผมมั่นใจ" “แต่... เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรทำตั้งแต่แรกนะ” “นั่วนั่ว” ฉินเย่เรียกชื่อเธอด้วยเสียงแผ่วเบา “การจะทำอะไรสักอย่างน่ะ ไม่มีคำว่าควรหรือไม่ควร มีแต่เต็มหรือไม่เต็มใจเท่านั้นแหละ” “ถ้าคุณรู้สึกเสียใจกับเรื่องที่ผมจะอยู่ที่นี่จริงๆ งั้นหลังจากที่ผมกลับไปที่จีนแล้วก็ลองคิดเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานะให้ผมดูดีกว่าไหม?” เสิ่นหยินอู้เข้าใจในทันทีว่าเขาหมายถึงเรื่องการเรียกชื่อ เขาต้องการให้เด็กทั้งสองหยุดเรียกเขาว่าลุงเย่มู่และเรียกเขาว่าพ่อแทน หรือจะบอกว่า ที่เขาทำมามากขนาดนั้นก็เพียงเพื่อความปรารถนาเล็กๆน้อยๆเช่นนี้งั้นหรอ? เมื่อเธอคิดได้เช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็นิ่งไป แล้วพูดว่า "คุณจะไม่บอกพวกเขางั้นหรอ?" ริมฝีปากของฉินเย่โค้งขึ้นเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบกลับคำพูดของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พูดเบาๆว่า: "ครั้งนี้ ผมจะไม่ไปเจอพวกเข
คำพูดทางจิตวิทยาเช่นนี้... ถ้าเขาบอกว่าเขาชอบลุงโม่ไป๋มากกว่า ถึงตอนนั้น... เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นซือเหนียนก็พูดว่า: "ลุงโม่ไป๋อยู่กับพวกเรามานานกว่า" เมื่อได้ยิน ฉินเย่ก็กลั้นหายใจ "ถ้างั้น……" “แต่ลุงเย่มู่มาดูไลฟ์สดของเราบ่อยๆแล้วก็ให้รางวัลเราตลอดเลยด้วย” คำพูดประโยคหลังทำให้หัวใจที่กำลังจมดิ่งลงไปของฉินเย่ลอยกลับขึ้นมาอีกครั้ง เดิมทีเขาคิดว่าตามความคิดของซือเหนียน เขาคงจะหมดโอกาสแล้ว แต่เขาไม่ได้คาดหวังว่าคำพูดของซือเหนียนจะเปลี่ยนไป ซึ่งมันไม่ต่างกับเป็นการทำให้หัวใจของฉินเย่ลุกเป็นไฟ "แล้วไงต่อ?" ฉินเย่ยังคงรู้สึกประหม่ามากในขณะที่เขาถามคำถามนี้ออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะสนใจความคิดของเด็กคนหนึ่งมากขนาดนี้ เพราะกลัวว่าเด็กคนนี้จะไม่เลือกเขาแต่ไปเลือกคนอื่นแทน "ก็……"เสิ่นซือเหนียนจงใจพูดเสียงยาว เมื่อเห็นว่าการหายใจของฉินเย่ดูเหมือนจะติดๆขัดๆขึ้นมา เขาก็คิดว่ามันค่อนข้างน่าขันเล็กน้อย เขาจงใจเอียงศีรษะแล้วพูดว่า: "ลุงเย่มู่กับลุงโม่ไป๋เสมอกันครับ" เสมอกัน? ฉินเย่ตกตะลึง “เสมอกันงั้นเหรอ?” “ลุงเย่มู่ หรือว่าลุงคิดว่าลุงจะแพ้ลุงโม่ไป๋เหรอครั
“ซือเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของซือเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เขาถามว่ามีคุณสมบัติมากพอหรือไม่ ไม่ใช่ยินยอมหรือไม่ แม้ว่าเสิ่นซือเหนียนจะยังเด็ก แต่ความรู้ที่เขาได้เรียนมาก็มากมายพอสมควร ดังนั้นเขาจึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฉินเย่พูดได้อย่างรวดเร็ว เขาตกตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะพูดว่า "เอ่อ...ต้องดูว่าหม่ามี๊จะยอมหรือไม่ยอมครับ" “ลุงเย่มู่หมายความว่า ถ้าไม่เกี่ยวกับหม่ามี๊ เอาแค่ความเห็นของเหนียนเหนียนเองที่เป็นความคิดที่จากใจจริงที่สุด เหนียนเหนียนคิดว่าลุงเย่มู่มีคุณสมบัติมากพอที่จะมาเป็นพ่อของเหนียนเหนียนกับเหมิงเหมิงไหม?” เสิ่นซือเหนียน: "..." "ไม่ต้องกลัว" มือใหญ่ของฉินเย่วางลงบนไหล่ของเขาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: "แค่พูดความจริงก็พอ" สิ่งที่ซือเหนียนต้องการจะพูดอาจทำให้ฉินเย่ไม่พอใจจริงๆ แม้ว่าลุงเย่มู่จะทำอะไรให้พวกเขามากมายในช่วงที่ผ่านมานี้ บวกกับที่ก่อนหน้านี้เขาเข้ามาดูพวกเขาในห้องไลฟ์สดเสมอ ความยิ่งใหญ่ของชื่อ 'ลุงเย่มู่เฉิน' ยังคงทรงพลังมากสำหรับเด็กน้อยสองคน ตัวอย่างเช่น คนแปลกหน้าคนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นพ่อแท้ๆของพวกเขา แต่หากไม่มีฉา
จากคำอธิบายของเสิ่นหยินอู้ เด็กน้อยทั้งสองเชื่อว่าตอนนี้โม่ไป๋กำลังป่วยอยู่ และจะดีขึ้นในอนาคต จนกว่าจะถึงตอนนั้น เขาจะยังคงเป็นลุงโม่ไป๋ของพวกเขา หลังจากได้รู้เรื่องนี้ เห็นได้ชัดว่าเด็กน้อยทั้งสองมีความสุขมาก ในเวลานี้ฉินเย่เข้ามาพอดี ทั้งสองจึงเข้าไปเกาะแกะเขา แน่นอนว่าเด็กน้อยทั้งสองยังคงเรียกเขาว่าลุงเย่มู่ เสิ่นซือเหนียนน่ะไม่เท่าไร แต่เสิ่นเหมิงเหมิงกลับไม่คิดอะไรเลย เธอถึงกับเอื้อมมือไปทางฉินเย่เพื่อที่จะให้เขาอุ้ม ฉินเย่ไม่ได้คิดอะไร เมื่อเห็นว่าเธอต้องการให้เขาอุ้ม เขาก็คุกเข่าลงไปหาเธอ เสิ่นหยินอู้เห็นเช่นนั้นจึงรีบเดินเข้าไป “เหมิงเหมิง ลุงเย่มู่ยังบาดเจ็บอยู่” เพียงประโยคเดียวมันก็ทำให้เหมิงเหมิงหยุดการกระทำของเธอลง และมองไปที่ฉินเย่อย่างว่างเปล่า จากนั้นจึงรีบดึงมือของเธอกลับมา จู่ๆเด็กสาวตัวน้อยก็หยุดพูด และถึงกับถอยหลังไปสองก้าวเพื่อเลี่ยงไม่ให้ฉินเย่แตะต้องเธอได้ การกระทำของเธอทำให้ฉินเย่ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า "มันเป็นแค่แผลเล็กๆน้อยๆเอง อีกอย่าง เธอยังตัวเล็กขนาดนี้ คงไม่ทำให้แผลของผมแย่ลงหรอกมั้ง?" เ
หลังจากได้ยินเช่นนั้น หลี่มู่ถิงก็พูดเสริมในทันที: "ใช่ครับ คุณหนูเสิ่น ประธานฉินพูดถูก การไม่มีข่าวอะไรเลยเป็นเรื่องที่ดีที่สุด สบายใจเถอะครับ เราจะตรวจสอบต่อไป ถ้ามีโอกาสช่วยเขาออกมา เราก็จะทำอย่างเต็มที่แน่นอน” แม้ว่าพวกเขาจะพยายามปลอบใจเธออย่างเต็มที่ แต่อารมณ์ของเสิ่นหยินอู้ก็ไม่ดีขึ้นเลย เธอเอนตัวพิงไปกับหน้าต่างและมองไปในที่ไกลๆด้วยความสงบ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆเรื่องถึงกลายมาเป็นเช่นนี้ได้ ในตอนแรกทุกคนต่างก็ยังใช้ชีวิตตามปกติของตัวเองอยู่เลยแท้ๆ แต่จู่ๆเรื่องก็กลับร้ายแรงขึ้นมาเช่นนี้“หม่ามี๊ เป็นอะไรไปหรอคะ?” เสียงของเด็กน้อยทั้งสองดังมาจากด้านหลัง ดึงเสิ่นหยินอู้ให้กลับมามีสติอีกครั้ง เมื่อเธอได้สติ เธอก็เห็นเด็กน้อยสองคนมองเธอด้วยความเป็นห่วง “เหมิงเหมิง เหนียนเหนียน”พวกเขาทั้งสองเดินเข้าไปหาเธอพร้อมๆกันและกอดเธอไว้ “หม่ามี๊คะ ช่วงนี้หม่ามี๊ดูไม่แฮปปี้เลยนะคะ” ใช่สิ เธอออกมาแล้ว แต่ทำไมเธอถึงยังไม่มีความสุขล่ะ อาจเป็นเพราะเรื่องราวยังไม่ได้คลี่คลายลงอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อหน้าลูกๆทั้งสอง เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถแสดงออกมาให้ชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเ
ฉินเย่สัญญาว่าจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ให้เธอ รวมถึงอาการบาดเจ็บของผู้ช่วยเฉินด้วย คนของเขาสามารถจัดการเรื่องอะไรต่างๆได้อย่างรวดเร็วมาก ในวันถัดมา เสิ่นหยินอู้ก็ได้รับข่าวคราวล่าสุดของพวกโม่ไป๋ เขาก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แต่ยังไม่มีร่องรอยของผู้ช่วยเฉินเลย “ไร้ร่องรอยงั้นเหรอ?” หลังจากที่เสิ่นหยินอู้ได้ยินเช่นนั้น เธอก็มีลางสังหรณ์แย่ๆขึ้นมาทันที เมื่อตอนที่เธอยังอยู่ที่บ้านของโม่ไป๋ ผู้ช่วยเฉินก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวัน จากนั้นเมื่อเธอถามถึงเขา เขาจึงปรากฏตัวขึ้น แต่เมื่อเขาปรากฏตัว เขากลับได้รับบาดเจ็บสาหัส สิ่งสำคัญคืออาการบาดเจ็บของเขาหนักแค่ไหน เสิ่นหยินอู้ไม่สามารถรับรู้ได้เลย เป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะถอดเสื้อของเขาออกมาเพื่อดูว่าเขาได้รับบาดเจ็บแค่ไหน ต่อมาเขาปล่อยเธอและพาเธอออกมา หลังจากที่เขากลับไป โม่ไป๋ก็คงจะยิ่งไม่เกรงใจเขามากขึ้น ตอนนี้... ไม่รู้เลยว่าเขาจะเป็นเช่นไร นอกจากนี้ โม่ไป๋ยังได้รับบาดเจ็บ เขาคงจะโกรธมากและระบายความโกรธทั้งหมดที่มีใส่ผู้ช่วยเฉินหรือไม่? และที่นี่คือที่ต่างประเทศ ถ้าหากว่า... เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ เสิ่นหยินอู้ก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ
คาดไม่ถึงเลยว่าผู้ชายจะมีด้านนี้เหมือนกัน เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็หันไปมองเขา “ฉันไม่ได้อึดอัด แต่ตอนนี้คุณบาดเจ็บอยู่ คุณไม่ได้ต้องพักผ่อนเหรอ?” "อืม" ฉินเย่พยักหน้า: "ผมอยากให้คุณอยู่เป็นเพื่อนผม" เสิ่นหยินอู้ถอนหายใจ: "เมื่อคืนนี้ฉันอยู่กับคุณทั้งคืนไปแล้วไม่ใช่เหรอ?" เขาคงจะไม่ได้คิดที่จะให้เธออยู่กับเขาไปตลอดใช่ไหม? เธอยังต้องไปดูแลลูกๆ “นั่วนั่ว” เขาดึงเธอเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ผมเป็นคนป่วย ต้องการคนอยู่ด้วยในระยะยาว" เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ขัดขืน ฉินเย่ก็ดึงเธอขึ้นไปนั่งบนตักเขาแล้วเอามือพยุงไว้ที่เอวของเธอ ก่อนที่เธอจะทันได้โต้ตอบ เธอก็ตกเข้าไปในอ้อมแขนของเขาแล้ว ฉินเย่ก้มศีรษะลงและโน้มตัวเอาหน้าลงไปซุกไว้ที่ซอกคอของเธอ เขาสูดดมกลิ่นของเธอด้วยความละโมบ ลมหายใจอันร้อนรุ่มที่ออกมาทั้งหมดถูกปล่อยออกมาที่ซอกคอของเสิ่นหยินอู้ เธอรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็วและกระตุกหลายครั้ง หลังจากนั้นไม่นาน ดูเหมือนว่าฉินเย่จะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เขาประทับริมฝีปากบางที่นุ่มนิ่มของเขาลงไปบนซอกคอของเธอ เมื่อเธอรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้น ในที่สุดเสิ่นหยินอ
เขาคว้าโทรศัพท์ไปทั้งเครื่อง เสิ่นหยินอู้ไม่ได้จับโทรศัพท์เลย เธอไม่กล้าแย่งมันคืนมาเพราะกลัวว่าระหว่างการแย่งชิงโทรศัพท์กันจะทำให้บาดแผลของเขาฉีกกว้างขึ้น “บทลงโทษอะไรกัน? ต่อให้คุณจะพูดไม่เหมาะสม แต่ก็มันไม่เกี่ยวอะไรกับบาดแผลของคุณเลย” น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะพูดอย่างไร ฉินเย่ก็เหมือนจะไม่ได้ยินเธอ ราวกับว่าเขายินยอมที่จะรับบทลงโทษของตัวเอง เมื่อเห็นท่าทางที่นิ่งเฉยของเขา เสิ่นหยินอู้ก็พูดได้เพียงว่า: "ต่อให้คุณจะลงโทษตัวเอง แต่ก็ใช้วิธีอื่นก็ได้" วิธีอื่นเหรอ? ในที่สุดฉินเย่ก็เงยหน้าขึ้นแล้วมองเธอ “แล้วคุณว่า ต้องลงโทษแบบไหนล่ะ?”เสิ่นหยินอู้คิดอย่างจริงจังอยู่สักพัก "วิธีลงโทษคุณน่ะมี แต่ไม่ใช่ตอนนี้ รอหลังจากที่แผลคุณหายดีแล้วก่อนเถอะ" “งั้นหลังจากลงโทษแล้ว คุณจะยกโทษให้ผมได้ไหม?” “เรื่องนี้ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีนะ” คำพูดที่เขาพูดในวันนี้มันทำให้เธอโกรธมากจริงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไรอีก “เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน ฉันจะโทรตามคุณหมอมาทำแผลให้คุณใหม่” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฉินเย่ก็ยื่นโทรศัพท์ให้เธอหลังจ
รวมถึงโม่ไป๋ด้วย การที่เขาลักพาตัวเธอไปอย่างกะทันหันก็เป็นสิ่งที่เธอคาดไม่ถึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ฉินเย่พูดในตอนนี้ทำให้เสิ่นหยินอู้ตื่นตระหนกขึ้นมา แต่ในไม่ช้าเธอก็สงบลง “เรื่องนี้ยังไม่ได้เกิดขึ้นเลยนะ มันไม่เหมาะสมที่คุณที่จะยกตัวอย่างแบบนี้ขึ้นมา” คำตอบของเธอทำให้สายตาของฉินเย่มืดลงเล็กน้อย “เป็นเพราะผมยกตัวอย่างที่ไม่เหมาะสมหรือเพราะคุณไม่สามารถตอบคำถามของผมได้เลย หรือจะบอกว่าคำตอบของคุณก็เหมือนกับที่ผมคิดไว้” เมื่อได้ยิน เสิ่นหยินอู้ก็เม้มริมฝีปาก เธอพยายามจินตนาการถึงภาพนี้ในหัว หากฉินเย่ลักพาตัวเธอ และให้เธอกับลูกๆอยู่ด้วยกันกับเขาไปตลอดชีวิตเท่านั้น ไม่ได้ ต่อให้จะเป็นเขา แต่เธอก็รับไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ว่าพวกเขาจะสนิทสนมเพียงใด เธอก็ไม่สามารถยอมรับเรื่องที่พวกเขาทำผิดกฎหมายได้ เมื่อคิดเช่นนั้น เสิ่นหยินอู้ก็ไม่สนใจว่าคำพูดถัดไปจะทำร้ายจิตใจของฉินเย่หรือไม่ เธอพูดออกมาตรงๆ “ใช่ คุณพูดถูก ถ้าคุณลักพาตัวฉัน ฉันก็จะไม่อยู่กับคุณ” ดวงตาของฉินเย่มืดลง “แต่ในอีกความหมายหนึ่ง การที่ฉันไม่อยู่กับคุณมันก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจะไปอยู่กับเขา ถ้าฉันจะอยู่กับคุณมัน